หน้าเว็บ

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557


ระบบรัฐเดี่ยว (Unitary State)


                “รัฐเดี่ยว” เป็นรัฐที่มีศูนย์กลางอำนาจในการตรากฎหมาย การบริหารราชการแผ่นดิน และการกำหนดนโยบายในการบริหารประเทศเพียงแห่งเดียว ได้แก่ การมีรัฐบาล และรัฐสภาเดียว โดยภายในระบบแบบนี้ การใช้อำนาจ และการตัดสินใจต่างๆ ปรากฏว่าได้กำหนดออกมาจากศูนย์กลางเป็นสำคัญ ทั้งนี้ เพื่อทำให้รัฐนั้นมีเอกภาพ และถึงแม้ว่ารัฐเดี่ยวอาจจะมีลักษณะกระจายอำนาจ (Decentralized) ภายในอยู่ด้วยก็ตาม แต่รัฐก็เป็นองค์กรผู้ถืออำนาจสูงสุดไว้เพียงผู้เดียว ดังนั้น การจัดตั้งหน่วยงานอื่นขึ้นมาภายในรัฐก็เพื่อกระจายอำนาจทางการปกครองและการบริหารของตนไปให้ท้องถิ่น แต่มิได้เป็นการสร้างศูนย์กลางอำนาจใหม่ขึ้นให้มีอำนาจเหนือรัฐ หรือมีอำนาจเสมอเท่ากันกับรัฐ ดังนั้น การจัดตั้งหรือสถาปนาองค์กรปกครอง การเปลี่ยนสถานะและรูปแบบขององค์กรปกครอง การยุบรวมองค์กรปกครองเข้าด้วยกัน และการยกเลิกองค์กรปกครอง ต่างๆ ล้วนกระทำได้โดยอาศัยอำนาจของรัฐและรัฐบาลกลางทั้งสิ้น ตัวอย่างรัฐเดี่ยวได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อังกฤษ ฝรั่งเศส

Cr.ฐานข้อมูลการเมืองการปกครองสถาบันพระปกเกล้า
ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรทัย ก๊กผล

ref : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=680450948671970&set=a.635185743198491.1073741828.635168943200171&type=1&theater 30/01/2014

สหพันธรัฐ (Federation)


                 รัฐรวมในแบบสหพันธรัฐเป็นการรวมตัวของรัฐต่างๆ โดยการสร้างรัฐขึ้นมาใหม่ให้มีอำนาจอธิปไตยอยู่เหนือรัฐเดิมที่มารวมตัวกันนั้น โดยที่รัฐต่างๆ ที่รวมตัวกันจะสละอำนาจอธิปไตยของตนให้แก่รัฐที่สร้างขึ้นใหม่นี้ เพื่อทำหน้าที่แทนตน ตัวอย่างของระบบรัฐแบบนี้ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกานับจากปี 1789 เป็นต้นมาตราบจนปัจจุบัน

                 ระบบสหพันธรัฐทำให้เกิดมีรัฐ 2 ระดับขึ้นภายในโครงสร้างภายในของรัฐรวมนั้นเสมอ ได้แก่ รัฐระดับบน คือ รัฐที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งมักจะเรียกกันว่า รัฐบาลกลาง หรือรัฐ สหพันธ์ และรัฐระดับล่าง ได้แก่รัฐสมาชิกต่างๆ นั่นเอง ซึ่งมักจะเรียกกันว่า มลรัฐ หรือ รัฐ

                 องค์กรต่างๆ ภายใต้ระบบสหพันธรัฐจะมีโครงสร้างที่ซับซ้อน รวมทั้งการมี องค์กรที่มีชื่อเรียกเดียวกัน และมีการหน้าที่ในลักษณะเดียวกัน แบ่งออกเป็น 2 ระดับเสมอ เช่น รัฐสภา จะมีทั้งรัฐสภาในระดับสหพันธ์ และรัฐสภาในระดับรัฐ เช่นเดียวกับรัฐบาล และศาล เป็นต้น ซึ่งจะมีศาลสูงทั้งของรัฐ และศาลสูงของสหพันธรัฐดำรงอยู่คู่ขนานกัน

                 ภายในโครงสร้างของรัฐรวม ทั้งรูปแบบสมาพันธรัฐ และสหพันธรัฐนี้ จะเห็นได้ว่า องค์กรปกครองท้องถิ่น กล่าวโดยทั่วไปแล้ว จะไม่มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลกลางโดยตรง เนื่องด้วยมีมลรัฐ หรือรัฐขวางกั้นอยู่ตรงกลาง

                 กล่าวในอีกนัยหนึ่งก็คือ การปกครองท้องถิ่นภายในรัฐรวม เป็นกิจการของมลรัฐ และมีความสัมพันธ์โดยตรงกับมลรัฐ มากกว่าจะเกี่ยวข้องกับสหพันธรัฐ หรือรัฐบาลกลาง ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีความแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการปกครองท้องถิ่นภายในโครงสร้างของระบบรัฐเดี่ยว ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้

                 จากความแตกต่างข้างต้น จึงเป็นประเด็นที่มักมีการอภิปรายและโต้เถียงกันมาเป็นเวลาช้านานว่า การปกครองท้องถิ่นภายในโครงสร้างรัฐเดี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นภายในโครงสร้างรัฐรวม แบบใดจะดีกว่ากัน แบบใดจะเป็นประชาธิปไตยมากกว่ากัน หรือมีความเป็นอิสระ และสอดคล้องกับหลักการปกครองตนเองของประชาชน (Local Self Government) ได้ดีกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มของรัฐเดี่ยวนั้น มักจะมีข้ออ่อนด้อยมากกว่า เนื่องด้วยเงื่อนไขในการควบคุมดูแลการปกครองท้องถิ่นของรัฐเดี่ยวนั้นมีเป็นจำนวนมากและเป็นไปโดยตรง ส่งผลในเชิงเปรียบเทียบทำให้ผู้ปกครองของรัฐเดี่ยวมักใช้ คำว่ารัฐรวมเป็นโวหารและเป็นประเด็นโจมตีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น มักจะกล่าวกันว่า หากมีการกระจายอำนาจมากเกินไปจะส่งผลให้รัฐเดี่ยวหมดสิ้นไปและกลายเป็นรัฐรวม เป็นต้น

                 อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนี้ แนวทางการปฏิบัติของรัฐเดี่ยวกับรัฐรวม ปรากฏว่ามีลักษณะเคลื่อนเข้าหากันมากขึ้น กล่าวคือ รัฐเดี่ยวจำนวนหนึ่งได้นำหลักการบางอย่างของรัฐรวมเรียกได้ว่า แนวคิดสหพันธรัฐนิยม (Federalism) นำมาใช้ ตัวอย่างเช่น หลักเรื่องการกระจายอำนาจทางการเมือง (Devolution) เพื่อให้ความเป็นอิสระแก่องค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นอย่างสูงในการปกครองตนเองในลักษณะเดียวกับรัฐรวม กล่าวคือ นอกจากมีรัฐสภาในระดับชาติแล้ว ยังมีการจัดตั้งรัฐสภาขึ้นในระดับภูมิภาคหรือในระดับท้องถิ่นขนาดใหญ่ รวมทั้งมีการเปิดให้ฝ่ายบริหารท้องถิ่นมีอำนาจและมีสถานะทางการเมืองเสมอๆ กับการปกครองของรัฐบาลกลาง อาทิเช่น การปกครองท้องถิ่นของประเทศอังกฤษ และของประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น

ในส่วนของรัฐรวมเอง ก็ปรากฏว่าได้มีการนำหลักแนวคิดเรื่องศูนย์กลางนิยม (Centralism) ของรัฐเดี่ยวมาใช้เช่นกัน เช่น ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ได้มีการจัดตั้งสำนักงานของรัฐบาลกลาง หรือรัฐบาลสหพันธ์เป็นจำนวนมากในระดับมลรัฐ และในพื้นที่ต่างๆ ขององค์กร ปกครองท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐบาลกลาง หรือรัฐบาลสหพันธ์ดังกล่าว เช่น สำนักงานตำรวจ สหพันธ์ หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของสหพันธ์ และหน่วยงานด้านสวัสดิการของสหพันธ์ เป็นต้น เมื่อมีการจัดตั้งขึ้นแล้ว ก็มักจะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับองค์กรปกครองท้องถิ่น ซึ่งพิจารณาได้ว่าเป็นไปเพื่อกระชับอำนาจจากมลรัฐเข้าสู่รัฐบาลกลางในระดับที่สูงมากขึ้น ในสภาพการณ์เช่นนี้ องค์กรปกครองท้องถิ่น จึงมีแนวโน้มที่จะดำเนินภายใต้กรอบ ข้อแนะนำ และกฎกติกาทางการคลังของรัฐบาลกลางมากขึ้นกว่าที่ดำเนินการตามกรอบของรัฐบาลมลรัฐดังแต่ก่อน
การเปลี่ยนแปลงของสหพันธรัฐดังกล่าว ทำให้เกิดมีการแยกแยะในรายละเอียดได้ว่า ประเทศสหพันธรัฐแบบดั้งเดิมมีลักษณะเด่นเป็นแบบทวิลักษณ์ (Dual Federalism) กล่าวคือ รัฐบาลสหพันธ์จะดำรงอยู่ในระดับชั้นบน และดำเนินกิจการเฉพาะเรื่องการต่างประเทศ การทหาร และการคลังเท่านั้น เรื่องกิจการภายในต่างๆ ตกเป็นของรัฐบาลมลรัฐทั้งหมด อย่างไรก็ดี รูปแบบในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นไปตามรูปแบบดั้งเดิมเสียแล้ว เนื่องด้วยเกิดรูปแบบสหพันธรัฐใหม่ (New Federalism) ซึ่งรัฐบาลสหพันธ์ หรือรัฐบาลกลางได้ขยายบทบาทและกลไกของตนลงไปดำเนินการเรื่องสวัสดิการ การรักษาความสงบเรียบร้อย การศึกษา สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซ้อนทับลงไปพัวพันกับกิจการของรัฐบาลมลรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น

                 กล่าวได้ว่า การพิจารณารูปแบบของรัฐว่าเป็นรัฐเดี่ยว หรือรัฐรวมนั้น ยังคงมีความสำคัญและมีคุณประโยชน์ เนื่องด้วยเป็นหลักการและเป็นแนวทางในการพิจารณาว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศนั้น สัมพันธ์โดยตรงกับรัฐบาลในระดับใด และการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ ดำเนินการโดยหน่วยงานระดับใด อย่างไรก็ดี การศึกษาเรื่องรูปแบบของรัฐนี้ เราควรที่จะพิจารณาในรายละเอียดด้วยว่า รัฐเดี่ยว หรือรัฐรวมนั้น มีการจัดแบ่งอำนาจแบบรวมศูนย์ หรือว่าเป็นแบบกระจาย เนื่องด้วยรัฐเดี่ยวที่มีการกระจายอำนาจทั้งในทางการเมือง การบริหาร และการคลัง ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากในเวลานี้ ในทางกลับกันรัฐรวมที่มีการรวมศูนย์หรือกระชับอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง ก็มีพัฒนาการเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปัจจุบันนี้ เช่นเดียวกัน ดังนั้น ความเป็นอิสระขององค์กรปกครองท้องถิ่นของรัฐเดี่ยวอาจไม่ได้มีน้อยกว่าองค์กรปกครองท้องถิ่นของรัฐรวม เหมือนดังที่มีได้การกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้สมัยก่อนๆ

Cr.ฐานข้อมูลการเมืองการปกครองสถาบันพระปกเกล้า
ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรทัย ก๊กผล
ref : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=680453922005006&set=a.635185743198491.1073741828.635168943200171&type=1

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

เลื่อนเลือกตั้ง ........ ทำไม

สปป.ออกแถลงการณ์กรณี กกต.ขอ Thu, 2013-12-26 23:48 สปป.ออกแถลงการณ์ตั้งข้อสังเกตการทำหน้าที่ กกต.ในการรับสมัคร ส.ส.และขอรัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งออกไป เรียกร้อง กกต.ร่วมมือรัฐบาลจัดเลือกตั้ง รักษาประชาธิปไตย 26 ธ.ค.2556 สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) ออกแถลงการณ์ถึงการทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. โดยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างรับสมัครผู้สมัคร ส.ส.และข้อเสนอของ กกต.ที่ขอให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งออกไปโดยที่ไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญรับรองไว้ให้กระทำได้ ในแถลงการณ์ของ สปป.เรียกร้องให้ กกต.ร่วมมือกับรัฐบาลในการจัดการเลือกตั้ง และไม่โอนอ่อนต่อการกระทำที่เป็นการฉีกรัฐธรรมนูญและทำลายระบอบประชาธิปไตย ........................... แถลงการณ์สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) ฉบับที่ 3 เรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง และคณะรัฐมนตรีรักษาการในการจัดการการเลือกตั้ง ตามที่คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2556 เสนอให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ออกไป จนกว่าจะหาข้อยุติระหว่างคู่ขัดแย้งร่วมกันได้นั้น สมัชชาปกป้องประชาธิปไตยเห็นว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กกต. ไม่ได้แสดงออกถึงความเลื่อมใสที่มีต่อการเลือกตั้ง ในฐานะที่เป็นกระบวนการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ดังจะเห็นได้ว่า กกต.ไม่เคยพยายามชี้แจงยืนยันให้สังคมและคู่ขัดแย้งทางการเมืองยอมรับความสำคัญและความชอบธรรมของการเลือกตั้ง และสิทธิอันเท่าเทียมกันของประชาชนทุกหมู่เหล่าเลย ยิ่งไปกว่านั้น กกต.บางท่านยังแสดงพฤติกรรมให้สาธารณชนเห็นว่าขาดเจตจำนงที่จะดำเนินการให้เกิดการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ทั้งนี้เนื่องจากนับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร กกต.บางท่านได้พยายามเสนอว่าอาจเลื่อนการเลือกตั้งได้ และแถลงเรียกร้องให้รัฐบาลไปเจรจากับฝ่ายผู้ชุมนุม ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ของ กกต. เมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวายจากการที่ผู้ชุมนุมพยายามขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้ง กกต.ก็ไม่ได้พยายามแสวงหาช่องทางอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว เช่น การเปลี่ยนสถานที่รับสมัครเลือกตั้ง การรับสมัครเลือกตั้งออนไลน์ หรือวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ แต่กลับยังยืนยันใช้สถานที่ที่กำหนดไว้เดิมและวิธีการในการสมัครรับเลือกตั้งแบบเดิม สภาวการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพฤติกรรมของ กกต. ทำให้เกิดความกังวลขึ้นทั่วไปในหมู่ของประชาชนผู้ทรงสิทธิเลือกตั้งว่าจะเกิดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นได้หรือไม่ เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นได้จริง สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย ในฐานะส่วนหนึ่งของผู้ทรงสิทธิเลือกตั้ง จึงขอเรียกร้องให้องค์กรที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมและกฎหมายดังนี้ 1. เมื่อมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯ เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ประชาชนชาวไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนย่อมมีความชอบธรรมในการที่จะแสดงออกซึ่งความเป็นเจ้าของอำนาจรัฐผ่านการแสดงเจตนาออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯ ดังนั้น การเลื่อนการเลือกตั้งออกไป ย่อมเป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชน ประชาชนผู้ทรงสิทธิเลือกตั้งย่อมสามารถดำเนินการด้วยวิถีทางใดๆ ตามกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิเลือกตั้งอันชอบธรรมของตนได้ 2. เมื่อพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 กกต.จึงมีหน้าที่จัดการการเลือกตั้งในวันดังกล่าวให้จงได้ ไม่มีทางเลือกอื่น หากมีเหตุที่ไม่สามารถจัดการการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดได้ในวันเลือกตั้ง กกต.ย่อมต้องใช้ดุลพินิจเลื่อนการเลือกตั้งเฉพาะเขตเลือกตั้งที่มีปัญหาออกไป และดำเนินการจัดการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งดังกล่าวในภายหลังเพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจนครบจำนวน ด้วยเหตุผลข้างต้น กกต. จึงต้องดำเนินการรับสมัครรับเลือกตั้งต่อไปตามกำหนดเวลาที่ประกาศไว้ ในกรณีที่ กกต.ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ให้เสร็จสิ้นตามกระบวนการของกฎหมายโดยถือเอาเหตุผลที่ปรากฏในแถลงการณ์ฯ เป็นข้ออ้าง รวมทั้งจะดำเนินการใดๆ ในฐานะกรรมการการเลือกตั้งเป็นรายบุคคล อันส่งผลให้การรับสมัครรับเลือกตั้งไม่เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ ย่อมถือว่า กกต.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประชาชนผู้ทรงสิทธิเลือกตั้งทุกคนซึ่งเป็นผู้เสียหายมีสิทธิแจ้งความดำเนินคดีอาญากับ กกต.ที่กระทำการดังกล่าวนี้ได้ 3. หากคณะรัฐมนตรีรักษาการยอมรับข้อเสนอของกกต. และดำเนินการให้มีเลื่อนการเลือกตั้งออกไป ทั้งๆที่ไม่มีบทบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญรองรับการดำเนินการดังกล่าว ย่อมเท่ากับว่า คณะรัฐมนตรีรักษาการจงใจใช้อำนาจหน้าที่กระทำการอันขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติบังคับให้ต้องมีการเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 45 วันแต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร การเลื่อนการเลือกตั้งทั่วไปออกไปจนเกินกว่าหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร อาจถือได้ว่าคณะรัฐมนตรีรักษาการเป็นผู้กระทำความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งประชาชนผู้ทรงสิทธิเลือกตั้งสามารถแจ้งความดำเนินคดีกับคณะรัฐมนตรีคณะนี้ได้เช่นกัน 4. เพื่อให้การดำเนินการสมัครรับเลือกตั้งดำเนินการต่อไปด้วยความเรียบร้อย ขอให้รัฐบาลอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ของ กกต. และผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้ง และขอให้ กกต.ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ในกรณีจำเป็นรัฐบาลอาจต้องสั่งการให้กองทัพเข้ามาหนุนเสริมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเร่งด่วน ทั้งนี้ การปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมให้ยึดถือตามบทกฎหมาย เป็นไปตามหลักสากล และระมัดระวังไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตกับทุกฝ่าย 5. วิกฤติที่กำลังดำเนินอยู่นี้เป็นวิกฤติของการฝ่าฝืนกฎหมาย ฉีกรัฐธรรมนูญ และทำลายระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่สามารถปล่อยให้เกิดขึ้นได้ ฉะนั้น ทั้ง กกต.และรัฐบาลจะต้องไม่ร่วมมือหรือโอนอ่อนผ่อนตามให้กับการกระทำดังกล่าว ประการสำคัญ กกต.และรัฐบาลไม่มีสิทธิหรืออำนาจที่จะฝ่าฝืนกฎหมาย ด้วยการล้มเลิกการเลือกตั้ง สุดท้าย สมัชชาปกป้องประชาธิปไตยขอย้ำว่า กกต. เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายมอบหมายหน้าที่ให้จัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม เพื่อรักษาไว้ซึ่งสิทธิของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง กกต.จึงต้องกระทำอย่างถึงที่สุดเพื่อปกป้องไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการเลือกตั้ง ยิ่งไปกว่านั้นคณะรัฐมนตรีรักษาการจะต้องยืนยันที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปอย่างเต็มที่จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่เกิดจากการเลือกตั้งเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ การพยายามทำให้การเลือกตั้งสะดุดหยุดลงจะ ไม่เป็นผลดีต่อสังคมเพราะอาจเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงระลอกใหม่ได้ ซึ่งหากเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น กกต. ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย ประการสำคัญ การเลือกตั้งคือการยืนยันต่อกลุ่มการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยว่า พวกเขาต้องยอมรับอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองของประชาชนทั้งประเทศ สิทธิของประชาชนไทยล้วนเท่าเทียมกัน การปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาของ กกต. เท่านั้น ที่จะช่วยให้สังคมไทยผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย 26 ธันวาคม 2556