หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิติราษฎร์ฉบับที่ 24 จดหมายจาก "ปิยบุตร แสงกนกกุล" ถึง "แก้วสรร อติโพธิ" วิพากษ์กฎหมายหรือกฎหมู่ ?

“J’apprenais du moins que je n’étais du côté des coupables, des accusés, que dans la mesure exacte où leur faute ne me causait aucun dommage. Leur culpabilité me rendait éloquent parce que je n’en étais pas la victime. Quand j’étais menacé, je ne devenais pas seulement un juge à mon tour, mais plus encore : un maître irascible qui voulait, hors de toute loi, assommer le délinquant et le mettre à genoux.”



“... การที่โดดเข้าไปช่วยเหลือจำเลยนั้นก็เพราะอาชญากรรมของเขาไม่เป็นภัยต่อสวัสดิการของผม ผมแก้คดีของเขาด้วยอรรถาธิบายอันไพเราะจับใจ เพราะผมไม่ได้เป็นผู้รับเคราะห์จากการกระทำของเขา ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาอาจเป็นอันตรายต่อผม เมื่อนั้นผมจะจัดการพิพากษาเขาทันที ยิ่งกว่านั้นก็พร้อมจะกลายเป็นคนคลั่งอำนาจ กฎหมายว่าอะไร กูไม่ฟัง จำจะต้องลงโทษมันให้ได้”



Albert Camus, La Chute, Gallimard, 1956, p.66.

สำนวนแปลโดย ตุลจันทร์ ใน อัลแบร์ กามู, มนุษย์สองหน้า, สำนักพิมพ์สามัญชน, ๒๕๔๓, หน้า ๖๘.
.......................................................................................................
- ๑ -



“กฎหมาย”



วัฒนธรรมการเมืองไทยในทุกวันนี้ มักอ้าง “กฎหมาย” กันเป็นสรณะ หากต้องการเสริมสร้างความชอบธรรมให้แก่การกระทำของตน ก็ต้องอ้างกฎหมาย เช่นกัน หากต้องการทำลายความชอบธรรมของการกระทำของศัตรู ก็ต้องอ้างว่าการกระทำนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย การเถลิงอำนาจของ “กฎหมาย” เป็นส่วนหนึ่งของชัยชนะอุดมการณ์ประชาธิปไตย-เสรีนิยม-นิติรัฐ เมื่อประเทศไทยอยู่ในสังคมโลก จึงไม่อาจตกขบวน “นิติรัฐ-ประชาธิปไตย” ได้ 1





เราจึงพบเห็นบุคคลจำนวนมากหยิบยกคำใหญ่ๆโตๆจำพวก “นิติรัฐ” “นิติธรรม” “เคารพกฎหมาย” “กฎหมายเป็นใหญ่” “ปกครองโดยกฎหมาย” “ศาลตัดสินแล้วเป็นที่สุด ทุกคนต้องยอมรับ” เพื่ออ้าง "กฎหมาย-กระบวนการยุติธรรม-คำพิพากษา" ไว้อุดปากฝ่ายตรงข้าม และสร้างความชอบธรรมให้ฝ่าย ตนเอง โดยจงใจไม่พูดถึงที่มาอันอุบาทว์ของ “กฎหมาย” ปัจจัยรอบด้านของ "กฎหมาย" เนื้อหาของ “กฎหมาย” ไม่อนาทรร้อนใจต่อการใช้กฎหมายแบบเสมอภาค



การแสดงออกของคนจำนวนมากว่าไม่ยอมรับกระบวนการทางกฎหมายที่เกิดขึ้นจากคณะรัฐประหาร ไม่ใช่เรื่อง “การเมือง” มารังแก “กฎหมาย” ไม่ใช่เรื่อง “กฎหมู่” อยู่เหนือกฎหมาย แต่เป็นเรื่องที่คนจำนวนมากต้องการ “โต้” ว่าสิ่งที่พวกท่านอ้างว่าเป็น “กฎหมาย” นั้น เป็น “กฎหมาย” จริงหรือ? หรือมันเป็น “กฎหมู่” ที่ใส่เสื้อผ้า “กฎหมาย?





“กฎหมู่”



หากเชื่อว่าในประเทศไทยนี้มี “กฎหมู่” จริง “กฎหมู่” ก็คงมิได้มีเพียงแต่ “กฎหมู่ชินวัตร” เท่านั้น ยังมีกฎหมู่อีกหลายตระกูล “กฎหมู่” ของบางตระกูลได้ทำลายระบอบประชาธิปไตย “กฎหมู่” ของบางตระกูลได้ตัดตอนบอนไซไม่ให้ประชาธิปไตยตามอุดมการณ์ของคณะราษฎร ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ได้เจริญเติบโตงอกงามในสังคมไทย และ “กฎหมู่” อีกหลายประเภทอาจสร้างความเสียหายต่อประเทศอย่างมหาศาล



รัฐประหารเพื่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็น “กฎหมู่” หรือไม่?



คณะรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ แล้วประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ๒๕๔๙ เป็น “กฎหมู่” หรือไม่?



คณะรัฐประหารรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของตนเองและการกระทำต่อเนื่อง ตามมาตรา ๓๖ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๙ 2 เป็น “กฎหมู่” หรือไม่?



คณะรัฐประหารนิรโทษกรรมตนเองและพรรคพวกตามมาตรา๓๗ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๙3 เป็น “กฎหมู่” หรือไม่?



คณะรัฐประหารออกประกาศ คปค ฉบับที่ ๒๗ ข้อ ๓4 เป็น “กฎหมู่” หรือไม่?



“กฎหมาย” ที่เกิดจากน้ำมือของคณะรัฐประหาร เป็น “กฎหมู่” หรือไม่?



ที่มาและเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ เป็น “กฎหมู่” หรือไม่?



มาตรา ๓๐๙ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐5 เป็น “กฎหมู่” หรือไม่?



กระบวนการใช้ “กฎหมาย” เป็นเครื่องมือจนนำมาสู่การยุบพรรคการเมืองหลายพรรค ตัดสิทธินักการเมืองหลายคน เป็น “กฎหมู่” หรือไม่?





คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เกิดขึ้นจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารเป็น “กฎหมู่” หรือไม่?



ขบวนการ “ตลก ภิวัตน์” เป็น “กฎหมู่” หรือไม่?



สาธุชนพึงพิจารณาได้เอง



ข้าพเจ้าเห็นว่า ด้วยความสามารถและความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ มนุษย์จึงไม่ควรมีความจำที่สั้นจนเกินไปนัก มนุษย์ผู้มีเหตุมีผลต้องตระหนักรู้ได้ถึงเหตุการณ์ที่กฎหมายถูกนำไปใช้อย่างบิดเบี้ยว ทั้งการตราตัวบทกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับนิติรัฐ-ประชาธิปไตย ทั้งการใช้และการตีความกฎหมายขององค์กรผู้มีอำนาจไปในทิศทางที่ไม่สนับสนุนนิติรัฐ-ประชาธิปไตย และก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรม ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนับแต่รัฐประหาร ๑๙ กันยา ๔๙





การพิจารณาให้ความเห็นในเชิงคุณค่าต่อเรื่องใดก็ตาม โปรดพิจารณาให้สม่ำเสมอและเป็นมาตรฐานเดียวกันด้วย มิใช่ติดตั้งสวิตช์ตัดไฟ พร้อมเปิด-ปิดได้ตามสถานการณ์ เรื่องหนึ่งเปิดสวิตช์ “นิติรัฐ” เต็มที่ พออีกเรื่องหนึ่ง กลับปิดสวิตช์ “นิติรัฐ” ทิ้งเสีย



น่าเสียดาย ถ้าคนเหล่านี้ “ขยันขันแข็ง” กับการต้านรัฐประหาร ต้านรัฐประหารได้สักเสี้ยวหนึ่ง ต้านกระบวนการทางกฎหมายที่บิดเบี้ยวมาตั้งแต่รัฐประหาร ๑๙ กันยา ๔๙ ได้สักครึ่งหนึ่งของสิ่งที่พวกเขากำลังกระเหี้ยนกระหือรือกระทำกันอยู่... ก็คงดี





ข้าพเจ้าเห็นว่าบุคคลเหล่านี้ควรกลับมาทบทวน ตั้งสติ ลดอัตตา และแอมบิชันส่วนตนลงเสียบ้าง มิใช่ตั้งคำตอบไว้ในใจ ฝังลงไปในสมอง ลึกเข้าไปในจิตสำนึกว่ามันผิด มันโกง มันชั่ว ข้าขออาสาเข้ามาจัดการมันเอง เมื่อจัดการมันแล้ว ได้ผลสำเร็จมาบางส่วน ก็จะตามราวีมันต่อ เพื่อสนองตอบจิตสำนึกของตน เพื่อขับเน้นว่าสิ่งที่ข้าคิดนั้นมันถูก สิ่งที่ข้าทำนั้นมันดี เมื่อข้าอาสาเข้ามาทำงานนี้แล้ว ผลงานที่ข้าร่วมรังสรรค์ขึ้นต้องเดินหน้าไปให้ถึงจุดหมาย วิธีคิดแบบนี้มีแต่พาไปสู่อันตราย ข้าพเจ้าเป็นคนไม่สันทัดเรื่องพระเรื่องศาสนา แต่ครั้งนี้ขอยืมคำพระมาใช้บ้าง : “ปล่อยวาง”





คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม.๑/๒๕๕๓ เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๓





ต่อคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม.๑/๒๕๕๓ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “คดียึดทรัพย์ทักษิณ” นั้น คณะนิติราษฎร์เมื่อครั้งยังเป็นกลุ่ม ๕ อาจารย์ได้ออกแถลงการณ์ ทั้งฉบับเต็ม (http://www.enlightened-jurists.com/directory/74/Tk.html) และฉบับย่อ (http://www.enlightened-jurists.com/directory/75/concise.html) แสดงความไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว ตั้งแต่ต้นกำเนิดของคดีซึ่งมีที่มาจากรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙, ข้อสงสัยในความเป็นกลางของ คตส.ในฐานะเป็นองค์กรที่มีหน้าที่ไต่สวน, เนื้อหาของคดีเกี่ยวกับข้อกล่าวหาทั้ง ๕ กรณีว่าเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือ, การเชื่อมโยงข้อกล่าวหาทั้ง ๕ กรณีว่าเป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตลอดจนผลลัพธ์ของคดีที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นของแผ่นดิน ข้าพเจ้าจึงไม่ขอกล่าวซ้ำอีก







ภายหลังศาลฎีกาฯได้พิพากษาให้ยึดทรัพย์ คำพิพากษานี้ไม่ได้ส่งผลสะเทือนถึงจำนวนเงิน ๔๖,๐๐๐ ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ เท่านั้น แต่ยังเกิดผลข้างเคียงทางการเมืองตามมาอีกด้วย บุคคลจำนวนหนึ่งพยายามนำแต่ละท่อน แต่ละส่วน แต่ละวรรค แต่ละตอนของคำพิพากษานี้มาขยายผล ก็เพียงเพื่อต้องการจะเอากันให้ตาย จะไล่บี้ให้ไม่เหลือที่เดิน จะต้อนเขาให้จนมุมจนไม่อาจผยองได้อีก โดยอ้างว่าที่กระทำไปนั้น พวกตนไม่ได้คิดแก้แค้น ไม่ได้คิดร้าย แต่ต้องทำตาม “นิติรัฐ”





ข้าพเจ้าเห็นว่าคำพิพากษาฉบับนี้มีจุดกำเนิดมาจากความไม่ปกติ การนำคำพิพากษานี้มาใช้เป็นบรรทัดฐาน นำเนื้อความในคำพิพากษามาใช้บางท่อนบางตอนเพื่อประโยชน์ในการจัดการศัตรูทางการเมือง จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ด้วยความเคารพต่อศาลฯ ข้าพเจ้าเห็นว่าหากต้องการนำคำพิพากษานี้มาใช้ คงใช้ได้แต่เพียงการศึกษาและวิจารณ์ถึงความไม่ถูกต้องตามหลักวิชา



เกี่ยวกับคำพิพากษานี้ นายแก้วสรร อติโพธิ ได้ปกป้องการกระทำของ คตส. ในแง่ที่มาของ คตส. ว่า



“ถามว่ากระบวนการดำเนินคดีของคตส.ตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง ส่วนที่บอกว่าคตส.ตั้งโดยคมช. ถามว่าคตส.เอากระบวนการไหนมากล่าวโทษทักษิณ คมช.ไม่ได้เขียนอำนาจอะไรเป็นพิเศษเขาให้เราใช้อำนาจตามกระบวนการกฎหมายปกติและมีมาตรฐานไม่เคยขัดรัฐธรรมนูญ พอขึ้นศาลคมช.ก็ไม่ได้เขียนอำนาจ การพิจารณาคดีของศาลใหม่ เป็นการพิจารณาแบบเดียวกับคดีของนายรักเกียรติ เป็นมาตรฐานเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า คตส.ตั้งโดยมาตรฐานเดียวกับป.ป.ช. และคดีที่คตส.เข้าไปตรวจสอบก็ไม่ใช่คดีใหม่ มีอยู่แล้วที่ปปช. สตง. เราเอาคดีนี้มาแล้วก็ใช้อำนาจกำหมายตามปกติ มันจึงไม่ใช่เหตุผลที่จะมาบอกว่ากระบวนการดำเนินคดีไม่ชอบ ทางฝ่ายนักกฎหมายทักษิณก็บอกว่าทฤษฎีต้นไม้พิษผล ก็ต้องเป็นพิษ ตรงนี้ไปจำใครมาก็ไม่รู้ เพราะทฤษฎีตรงนี้มาจากศาลสูงของสหรัฐว่าหากกระบวนการดำเนินคดีใดเป็นไปโดยมิชอบ เช่นเอาหลักฐานจากการลักลอบดักฟังโทรศัพท์จำเลย มาลงโทษจำเลย ศาลทั่วไปในสากลก็จะชี้ว่าทำไม่ได้ และผลผลิตที่ได้คือคำพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ก็จะต้องถูกปฏิเสธตามไปด้วย ซึ่งสภาพความไม่ชอบด้วยกระบวนการเช่นนี้ หาได้เกิดขึ้นในคดี คตส.เลย”6





ข้าพเจ้าขออนุญาตให้ความเห็นว่า กระบวนการยุติธรรมสำคัญทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการสืบสวนสอบสวนอันเป็นต้นธาร จนถึงคำพิพากษาที่เป็นปลายธาร ดังที่ปรากฏในแถลงการณ์ของพวกเราว่า :

.............................................................................................................

“๑.๔. หลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม (Right to fair trial) และหลักการว่าด้วยกระบวนการทางกฎหมายที่ดี (Due process of law) ถือเป็นหลักการพื้นฐานในนิติรัฐ-ประชาธิปไตย เมื่อกระบวนการทางกฎหมายไม่ถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้จากกระบวนการนั้นก็ย่อมไม่ถูกต้องไปด้วย จริงอยู่ อาจกล่าวกันว่ากระบวนการยุติธรรมในคดีนี้ ไม่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นในชั้นของ คตส. แต่ยังต้องดำเนินต่อไปยังชั้นอัยการสูงสุด และสุดท้ายเป็นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ทำหน้าที่พิพากษา กระบวนการเหล่านี้อาจมีบางท่านถือว่าให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาโต้แย้งคัดค้านได้เต็มที่ และการพิจารณาคดีโดยศาลฎีกาฯซึ่งจัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ มีความเป็นกลางและอิสระ ก็เป็นหลักประกันแก่ผู้ถูกกล่าวหาว่าจะได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมแล้ว







๑. ๕. ถึงกระนั้น คณาจารย์ทั้งห้าก็ยังเห็นว่า ต้นธารของกระบวนการยุติธรรมในคดีนี้เริ่มต้นจากรัฐประหาร ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นที่มาของการแต่งตั้ง คตส. เป็นที่มาของการให้อำนาจมากมายในการตรวจสอบทรัพย์สินแก่ คตส. เป็นที่มาของการแต่งตั้งบุคคลไปดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อ คปค.ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ และการรัฐประหารก็เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดทางอาญา มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต และเป็นสิ่งแปลกปลอมในรัฐเสรีประชาธิปไตย ประกอบกับพิจารณาทางความเป็นจริงก็เห็นว่าคดีที่ คตส.เลือกขึ้นมาพิจารณาก็ล้วนแล้วแต่เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ข้อเท็จจริงเหล่านี้ ย่อมชี้ให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมในคดีนี้เริ่มต้นจากความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายดุจกัน





๑. ๖ หากแม้นยอมเชื่อกันตามประเพณีของระบบกฎหมายไทยที่ว่า เมื่อคณะรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อนั้นคณะรัฐประหารก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ มีอำนาจออกรัฐธรรมนูญใหม่หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญเก่า ตลอดจนการออกกฎหมายและยกเลิกกฎหมายได้ คณาจารย์ทั้งห้าก็ยังคงเห็นว่า เมื่อรัฐประหารเกิดขึ้นแล้ว และคณะรัฐประหารได้ให้กำเนิดผลิตผลทางกฎหมายจำนวนมาก จนกระทั่งวันหนึ่งมีการจัดตั้งระบบกฎหมายชุดใหม่ผ่านการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ องค์กรผู้ใช้บังคับกฎหมายทั้งหลาย ก็ต้องพิจารณาใช้และตีความผลิตผลทางกฎหมายของคณะรัฐประหารเสียใหม่ให้เป็นไปในทางที่เป็นธรรม คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าองค์กรผู้บังคับใช้กฎหมายทั้งปวงควรจะต้องปฏิเสธรัฐประหารและผลผลิตของคณะรัฐประหารด้วยการไม่นำประกาศ คปค.มาใช้บังคับและไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมที่ริเริ่มจากคณะรัฐประหาร





๒. ความเป็นกลางขององค์กรที่ทำหน้าที่ไต่สวน







๒. ๑ หลักความเป็นกลางของเจ้าหน้าที่ถือเป็นหลักกฎหมายทั่วไปในกฎหมายมหาชน เพื่อให้กระบวนการพิจารณาคดีเป็นธรรม คู่กรณีต้องได้รับการประกันว่าเรื่องของตนจะถูกพิจารณาโดยบุคคลที่มีความเป็นกลาง หากพบว่ามีบุคคลที่ไม่เป็นกลางในการพิจารณาเรื่องใด บุคคลนั้นต้องถอนตัวออกจากการพิจารณา และคำสั่งที่เกิดจากการพิจารณาโดยบุคคลที่ไม่เป็นกลางย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย







๒. ๒ ความไม่เป็นกลางปรากฏได้ใน ๒ ลักษณะ (๑) ความไม่เป็นกลางทางภาวะวิสัย คือ ลักษณะซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นกลางจากภายนอก แม้บุคคลนั้นจะมีใจที่เป็นกลางเพียงใดก็ตาม หากสภาพภายนอกเป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัยว่าอาจไม่เป็นกลาง ก็ถือได้ว่าบุคคลนั้นไม่เป็นกลาง เช่น เป็นคู่กรณีเสียเอง เป็นคู่สมรส เป็นบุตร เป็นพี่น้อง เป็นญาติ (๒) ความไม่เป็นกลางทางอัตวิสัย คือ ลักษณะความไม่เป็นกลางโดยตัวของมันเอง ซึ่งเกิดจากจิตใจ ทัศนคติ ความเชื่อส่วนบุคคล พฤติกรรม รสนิยม หรือการกระทำของบุคคลนั้น เช่น ความลำเอียง ความโกรธ ความโลภ มีผลประโยชน์ขัดกัน มีทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์ต่อคู่กรณีอย่างประจักษ์ชัด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความไม่เป็นกลางนี้มิใช่เกิดจากเพียงเหตุระแวงหรือคาดเดาเอาเอง แต่ต้องเป็นเหตุที่แสดงให้เห็นประจักษ์ชัดและมีสภาพร้ายแรงเพียงพอที่จะเห็นได้ว่าอาจทำให้การพิจารณาไม่เป็นกลางได้







๒. ๓ หลักความเป็นกลางในระบบกฎหมายของนานาอารยประเทศ เรียกร้องอย่างเคร่งครัดทั้งกับเจ้าหน้าที่และผู้พิพากษา คำพิพากษาศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปและศาลภายในวางหลักไว้ว่า บุคคลที่มีทัศนคติหรือเคยแสดงความคิดเห็นไปในทางที่เป็นปฏิปักษ์ในเรื่องหนึ่ง ต่อมาบุคคลนั้นมีโอกาสพิจารณาเรื่องทำนองเดียวกัน เช่นนี้ย่อมถือว่าบุคคลนั้นมีสภาพ “ไม่เป็นกลาง” ในการพิจารณาเรื่องนั้น เช่น เจ้าหน้าที่หรือผู้พิพากษาเคยแสดงความเห็นไปในทางเหยียดผิว ต่อมามีโอกาสพิจารณาเรื่องหรือคดีที่จำเลยเป็นคนผิวสี (คำวินิจฉัยศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป CEDH 23 avril 1986, Remli c/ France) หรือ เจ้าหน้าที่หรือผู้พิพากษาได้ให้ความเห็นผ่านทางสื่อสาธารณะว่าคู่กรณีหรือจำเลยมีความผิด ต่อมาเจ้าหน้าที่หรือผู้พิพากษามีโอกาสพิจารณาเรื่องนั้น (คำวินิจฉัยศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป CEDH 28 novembre 2002, Lavents c/ Lettonie) หรือนายกเทศมนตรีเคยให้ความเห็นไว้ว่าตำแหน่งเลขานุการประจำเทศบาลไม่เหมาะกับเพศหญิง ต่อมานายกเทศมนตรีได้เป็นประธานกรรมการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งเลขานุการประจำเทศบาล (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดฝรั่งเศส CE 9 novembre 1966, Commune de Clohars-Carnoët c/ Demoiselle Podeur) เป็นต้น





คำวินิจฉัยของศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปที่อาจนำมาเทียบเคียงได้อีกกรณีหนึ่ง คือ คำวินิจฉัยในคดี Incal c/ Turquie, 9 juin 1988 และ Ergin c/ Turquie, 4 mai 2006 ซึ่งวางหลักไว้ว่า พลเรือนต้องถูกดำเนินคดีอาญาในศาลทหารพิเศษซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาซึ่งแต่งตั้งโดยทหารเอง ศาลลักษณะนี้ย่อมไม่เป็นกลางและไม่เป็นอิสระ





จะเห็นได้ว่า หลักความเป็นกลางเป็นหลักการที่นานาอารยประเทศให้ความสำคัญและเคร่งครัดมาก เพราะกระบวนการยุติธรรมไม่ได้สำคัญที่ “อำนาจ” ที่บังคับการให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปเท่านั้น แต่กระบวนการยุติธรรมต้องสร้างความมั่นใจให้แก่คู่กรณีและสาธารณชนว่าพวกเขาจะได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการดังกล่าว สมดังคำกล่าวของ Lord Hewart (๑๘๗๐-๑๙๔๓) ผู้พิพากษาอังกฤษว่า “ความยุติธรรมต้องไม่เพียงถูกมอบให้ แต่ความยุติธรรมต้องถูกมองเห็นว่ามอบให้”





๒. ๔ ในคดีนี้ ผู้ถูกกล่าวหาคัดค้านอนุกรรมการไต่สวน (นายกล้านรงค์ จันทิก, นายบรรเจิด สิงคะเนติ, นายแก้วสรร อติโพธิ) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความไม่เป็นกลางทางอัตวิสัยว่าอนุกรรมการไต่สวนเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ถูกกล่าวหาทำให้การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ศาลฎีกาฯเห็นว่าการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนทั้งสามคนชอบด้วยกฎหมายแล้ว การให้เหตุผลของศาลในกรณีนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นโดยละเอียดว่าอนุกรรมการไต่สวนทั้ง ๓ คน ปราศจากความไม่เป็นกลางอย่างไร ศาลฎีกาฯเพียงแต่อธิบายยกถ้อยคำพรรณนาโดยนำบทบัญญัติมาตรา ๔๖ ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และข้อ ๑๑ ของระเบียบ ป.ป.ช.ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการไต่สวน พ.ศ.๒๕๔๗ มาไล่เรียงทีละข้อว่า “บุคคลที่ต้องห้ามมิให้เป็นอนุกรรมการไต่สวน... ได้แก่ บุคคลผู้รู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่กล่าวหามาก่อน หรือมีส่วนได้เสียในเรื่องที่กล่าวหา หรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้กล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวหา” และศาลก็แปลความ-ยกตัวอย่างว่า “การรู้เห็นเหตุการณ์จำกัดเฉพาะการเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องโดยตรงในเหตุการณ์หรือพฤติการณ์ที่กล่าวหานั้น เช่น การมีส่วนร่วมในการดำเนินการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาด้านโทรคมนาคมต่างๆที่มีการกล่าวหาในคดีนี้ เป็นต้น” จากนั้นศาลก็นำพฤติกรรม-การกระทำของอนุกรรมการทั้งสามซึ่งถูกสงสัยว่าอาจจะไม่เป็นกลางมาเทียบ แล้ววินิจฉัยว่า การกระทำของนายกล้านรงค์ “เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย” “เป็นการแสดงออกโดยใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” “เป็นการดำเนินการโดยใช้ความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ” การกระทำของนายบรรเจิด “เป็นการแสดงออกในฐานะนักวิชาการและประชาชน” และ “เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย” การกระทำของนายแก้วสรรเป็นการ “แสดงความคิดเห็นทางวิชาการ และเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความชอบธรรมตามสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรอง ไม่มีเหตุโกรธเคืองเป็นการส่วนตัวกับผู้ถูกกล่าวหา ทั้งไม่มีส่วนรู้เห็นเหตุกาณ์โดยตรงเกี่ยวกับเรื่องที่มีการกล่าวหา”





๒. ๕ คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่า การกระทำใดจะถือว่าไม่เป็นกลางทางอัตวิสัยหรือไม่ ต้องพิจารณาจากลักษณะและเนื้อหาของการกระทำนั้นเป็นรายกรณีไป การกระทำของบุคคลหนึ่งในอดีตซึ่งถูกสงสัยว่าจะส่งผลต่อความไม่เป็นกลางของบุคคลนั้นในการปฏิบัติหน้าที่ แม้การกระทำในอดีตนั้นจะเป็นการกระทำตามกฎหมาย หรือเป็นการใช้เสรีภาพทางวิชาการ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ปราศจากข้อสงสัยในเรื่องความเป็นกลาง จะเห็นได้ว่าศาลไม่ได้ยกเหตุผลหรืออธิบายให้เห็นชัดเลยว่าการกระทำของบุคคลทั้งสามมีความเป็นกลางหรือไม่ ศาลเพียงแต่บอกว่า “เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย” “เป็นการแสดงออกโดยใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” “เป็นการดำเนินการโดยใช้ความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ” “เป็นการแสดงออกในฐานะนักวิชาการและประชาชน” “เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย” “เป็นการแสดงความเห็นทางวิชาการ วิพากษ์วิจารณ์ด้วยความชอบธรรม ไม่มีเหตุโกรธเคืองเป็นการส่วนตัว ไม่มีส่วนรู้เห็นเหตุกาณ์โดยตรง” เหตุผลเหล่านี้ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าพฤติกรรมหรือการกระทำเหล่านี้จะไม่ได้แสดงถึง “ความไม่เป็นกลาง” ของบุคคลทั้งสาม ตรงกันข้าม สมมติว่าหากพิจารณาโดยเนื้อแท้แล้วการกระทำนั้นยังคงมีสภาพร้ายแรงเพียงพอที่จะเห็นได้ว่าอาจทำให้การพิจารณาไม่เป็นกลางได้ อย่างไรเสียก็คือ “ ความไม่เป็นกลาง” แม้การกระทำนั้นจะเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย หรือเป็นการใช้เสรีภาพทางวิชาการก็ตาม







๒. ๖ เป็นที่ทราบกันดีว่า คตส. แต่งตั้งโดย คปค. ภายหลังจากที่ คปค.รัฐประหารรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณฯ ในครั้งแรก คปค. แต่งตั้ง คตส. (ตามประกาศ คปค. ฉบับที่ ๒๓) โดยมีนายสวัสดิ์ โชติพานิช เป็นประธาน และกรรมการอีก ๗ คน ประกอบด้วยผู้ดำรงตำแหน่งตามหน่วยงานต่างๆ หกวันให้หลัง คปค. กลับออกประกาศยกเลิก คตส. ชุดดังกล่าว และแต่งตั้ง คตส. ชุดใหม่ โดยกำหนดชื่อตัวบุคคลเป็นกรรมการ คตส. รวม ๑๒ คน (ตามประกาศ คปค ฉบับที่ ๓๐) เมื่อพิจารณาถึงรายชื่อกรรมการแต่ละคน ก็ชวนให้สงสัยว่าเหตุใด คปค.ต้องยกเลิก คตส.ชุดเดิม (ซึ่งกำหนดจากตำแหน่ง) และตั้ง ๑๒ คนนี้ (กำหนดเป็นบุคคลเฉพาะเจาะจง) เป็น คตส. ชุดใหม่ เมื่อ คตส. กำเนิดจากการแต่งตั้งของ คปค. และ คปค.เป็นผู้ก่อการรัฐประหารรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะที่ คตส. เลือกพิจารณาตรวจสอบเฉพาะเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ความข้อนี้ย่อมเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยถึงความไม่เป็นกลางของ คตส. ต่อการพิจารณาเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ฯได้





๒.๗. เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมและทัศนคติของคตส.และอนุกรรมการไต่สวนทั้งสามคน ในแง่การให้ความเห็นเป็นปฏิปักษ์กับพ.ต.ท.ทักษิณฯหลายครั้งทั้งก่อนและระหว่างดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ คตส. การร่วมชุมนุมและขึ้นเวทีอภิปรายกับกลุ่มพันธมิตรฯซึ่งต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณฯ การอภิปรายและเขียนบทความวิจารณ์การดำเนินนโยบายของพ.ต.ท.ทักษิณ (ใน ๕ กรณีตามคำร้องในคดีนี้) ไปในทางไม่เห็นด้วยและเห็นว่าน่าจะส่อทุจริตและใช้อำนาจโดยมิชอบ (ตัวอย่างรูปธรรม คือ เอกสารความยาว ๓๒ หน้าในชื่อ “หยุดระบอบทักษิณ” ที่นายแก้วสรร อติโพธิ เป็นหนึ่งในผู้จัดทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหัวข้อที่ ๓ “ระบอบทักษิณ โกงกินชาติบ้านเมือง”) การจัดงานเลี้ยงอำลาเนื่องในโอกาส คตส.หมดวาระ โดยจัดทำชื่อรายการอาหารล้อเลียนนโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าข้อเท็จจริงเหล่านี้ควรที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบด้วย”

..................................................................................................................



ข้าพเจ้าเห็นว่า บางครั้งการประเมินเชิงคุณค่าเรื่องความยุติธรรมอาจไม่ได้ยากจนเกินไป หากเพียงเราลองสมมติว่าถ้าตนเองถูกกระทำอย่างนั้นบ้าง ยังจะว่าเป็นความยุติธรรม ยังจะว่าเป็นกฎหมายอีกหรือไม่ 7







หากยังไม่เห็นภาพ ก็ลองสมมติดูว่า คณะรัฐประหารได้ตั้งคณะกรรมการคณะหนึ่งขึ้นมาเป็นการเฉพาะเพื่อสอบสวนคดีของนายแก้วสรรฯ กรรมการแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ไม่ชอบนายแก้วสรรฯทั้งสิ้น แม้คณะรัฐประหารจะกำหนดว่าเมื่อคณะกรรมการชุดนี้สอบสวนแล้วเสร็จให้ส่งเรื่องไปยังศาลเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไปก็ตาม ถามว่านายแก้วสรรฯยังคิดว่ายุติธรรมหรือไม่ หรืออีกสักตัวอย่าง เอาให้แคบเข้าไปอีกสักหน่อย นายแก้วสรรฯถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยซึ่งประกอบไปด้วยกรรมการที่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับนายแก้วสรรฯ ไม่ชอบนายแก้วสรรฯ มีทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์กับนายแก้วสรรฯชัดเจน เช่นนี้ นายแก้วสรรฯจะว่ากระบวนการสอบสวนทางวินัยนี้มีความเป็นกลางและจะมอบความยุติธรรมให้นายแก้วสรรฯได้หรือไม่?





อนึ่ง ข้าพเจ้าขอสารภาพว่าเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๔๓ ข้าพเจ้าได้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ด้วยการไปลงคะแนนเสียงให้นายแก้วสรร อติโพธิ ผู้สมัครหมายเลข ๓๕ (ข้าพเจ้าจำได้แม่นยำ เพราะเป็นการใช้สิทธิครั้งแรกในชีวิตของข้าพเจ้า) นอกจากนั้นข้าพเจ้ายังเชิญชวนให้สมาชิกในครอบครัวของข้าพเจ้าไปลงคะแนนให้นายแก้วสรรฯอีกด้วย ที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้ มิใช่หมายมาลำเลิกบุญคุณแต่ประการใด เมื่อข้าพเจ้าลงคะแนน ข้าพเจ้าได้พินิจพิเคราะห์อย่างถ้วนถี่และได้ลงคะแนนไปตามจิตสำนึกของข้าพเจ้า และเมื่อครั้งนายแก้วสรรฯ เป็นสมาชิกวุฒิสภาก็ได้ทำประโยชน์อยู่หลายประการ ข้าพเจ้าจึงมิได้รู้สึกว่าการลงคะแนนของข้าพเจ้าเป็น “บุญ” แล้วต่อมาข้าพเจ้ารู้สึก “บาป” จึงต้องเขียนประกาศนิติราษฎร์ฉบับนี้เพื่อ “ล้างบาป” ข้าพเจ้าเพียงแต่อ่านความเห็นและเห็นการกระทำของนายแก้วสรรฯ ณ เวลานี้ แล้วไม่เห็นด้วย จึงเขียนแย้ง ก็เท่านั้นเอง



- ๒ -



ในห้วงเวลานี้ ประเด็น “นิรโทษกรรม” เริ่มปรากฏเป็นข้อถกเถียงในสังคมไทย ข้าพเจ้าเห็นว่าการนิรโทษกรรมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ นั้น นอกจากจะไม่ชัดเจนว่าใคร เหตุการณ์ใด ที่นับรวมอยู่ในขอบเขตของการนิรโทษกรรมแล้ว การนิรโทษกรรมยังไม่ถูกต้องตามหลักวิชาอีกด้วย เพราะ การนิรโทษกรรม คือ มีการกระทำที่เป็นความผิดแล้วมีการตรากฎหมายในภายหลังเพื่อกำหนดว่าการกระทำนั้นไม่เป็นความผิดแล้ว ในเมื่อเดินหน้าเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ การกระทำใดที่ถือเป็นความผิดอันเนื่องมาจาก “กฎหมาย” ของคณะรัฐประหาร ไม่ควรถือว่าเป็นความผิด เมื่อไม่เป็นความผิด ย่อมไม่มีอะไรให้นิรโทษ ในขณะเดียวกันผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของอำนาจรัฐตลอดช่วงเวลาเกือบ ๕ ปี พวกเขาต้องได้รับการเยียวยา





ถ้าไม่นิรโทษกรรม แล้วเราควรทำอย่างไร?
นิติราษฎร์ฉบับที่ 24 จดหมายจาก "ปิยบุตร แสงกนกกุล" ถึง "แก้วสรร อติโพธิ" วิพากษ์กฎหมายหรือกฎหมู่ ?


ความคิดหนึ่งที่ยังมิเคยปรากฏในการถกเถียง แต่ในหมู่ผู้ก่อตั้งคณะนิติราษฎร์เริ่มหยิบยกมาสนทนากัน คือ การประกาศให้รัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และ “ผลิตผล” ของคณะรัฐประหาร เป็นการกระทำที่เป็นโมฆะ หรือเป็นการกระทำที่ไม่เคยปรากฏขึ้น แน่นอน อาจมีคนโต้แย้งโดยหยิบยกหลักความมั่นคงแห่งนิติฐานะมาใช้อ้างว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากรัฐประหาร ๑๙ กันยา มีจำนวนมาก มีผลทางกฎหมายผูกพันบุคคลหลายคน หากประกาศให้รัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และ “ผลิตผล” ของคณะรัฐประหารเสมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นเลยแล้วล่ะก็ ย่อมส่งผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่กระทบคนจำนวนมากและก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาล อีกทั้งในความเป็นจริงแล้ว คงไม่อาจลบล้างเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นแล้วได้ครบถ้วน ความข้อนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า หากเรื่องใดไม่อาจเยียวยาย้อนหลังให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้จริง หรือหากเรื่องใดพิจารณาแล้วว่าสมควรให้มีผลดำรงอยู่ในระบบกฎหมายต่อไป ก็สามารถกำหนดความสมบูรณ์ให้แก่เรื่องนั้นๆได้เป็นรายกรณี แต่หลักใหญ่ใจความ คือ ต้องประกาศให้เป็นสัญลักษณ์ว่า “รัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙” ไม่ถูกต้อง ไม่ควรให้ดำรงอยู่ต่อไปในระบบกฎหมาย



แล้วการประกาศให้รัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และ “ผลิตผล” ของคณะรัฐประหาร เป็นการกระทำที่เป็นโมฆะหรือเป็นการกระทำที่ไม่เคยปรากฏขึ้น สมควรทำเมื่อไร? และด้วยวิธีใด? ข้าพเจ้าเห็นว่า เรื่องจังหวะเวลาย่อมขึ้นกับบริบททางการเมืองเป็นสำคัญ ส่วนเรื่องวิธีการทำนั้น หากต้องการความชอบธรรมทางประชาธิปไตยสูง ก็อาจจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่าเห็นด้วยกับการประกาศเช่นว่านี้หรือไม่ หากต้องการความชอบธรรมทาง



ประชาธิปไตยสูงขึ้นไปอีก ก็อาจจัดให้มีการออกเสียงลงประชามติ ๒ รอบ รอบแรก เป็นการออกเสียงลงประชามติว่าเห็นสมควรให้จัดให้มีการออกเสียงลงประชามตินี้หรือไม่ หากเสียงข้างมากเห็นด้วย ก็จัดการออกเสียงลงประชามติรอบที่สองว่า เห็นด้วยกับการประกาศเช่นว่านี้หรือไม่ ส่วนรูปแบบของประกาศนั้น ถ้าต้องการตัดปัญหาเรื่องลำดับชั้นทางกฎหมาย ก็ควรทำในรูปของรัฐธรรมนูญ







ในส่วนของความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ประชาชนตลอด ๕ ปีที่ผ่านมา (เช่น ผู้เสียหายจากการชุมนุมของทั้งสองข้าง และการสลายการชุมนุมของทั้งสองข้าง) รัฐบาลต้องชดใช้เยียวยาจ่ายค่าชดเชยในเบื้องต้นไปก่อน โดยไม่ต้องพิจารณาว่าการกระทำนั้นถือเป็นความผิดตามองค์ประกอบเรื่องละเมิดหรือไม่ ทั้งนี้ ตามหลักการเรื่อง ความรับผิดของรัฐในการกระทำที่ปราศจากความผิด (La responsabilité sans faute) นั่นเอง





ในส่วนความผิดอาญา ก็ต้องสืบสอบสวนนำผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาดำเนินคดี เมื่อไรก็ตามที่ทั้งสังคมต้องการ “ให้อภัย” เพื่อยุติความขัดแย้งและเดินหน้าไปสู่ความปรองดองได้ ไม่ต้องระแวงซึ่งกันและกันว่าจะโดนเอาคืน เมื่อนั้นแหละ จึงค่อยมาตรากฎหมาย “นิรโทษกรรม” นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอันหนึ่งที่อาจนำมาใช้ได้อย่างดียิ่ง คือ การประกาศยอมรับว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดทางอาญา แต่ขาดอายุความไปแล้ว แม้สองวิธีนี้จะได้ผลลัพธ์เหมือนกัน





แต่ทั้งสองวิธีก็มีความแตกต่างโดยพื้นฐานอยู่ กล่าวคือ นิรโทษกรรม เป็นการยอมรับว่าการกระทำนั้นไม่เป็นความผิดอีกต่อไปแล้ว แต่การขาดอายุความ ยืนยันว่าการกระทำนั้นยังคงเป็นความผิดอยู่ตลอดไป เพียงแต่ดำเนินคดีไม่ได้เพราะขาดอายุความ พูดง่ายๆ คือ อันแรก ลบล้างความผิด อันหลัง ความผิดยังอยู่แต่ทำอะไรไม่ได้







ข้าพเจ้าเห็นว่า การพูดกันเรื่องนิรโทษกรรมโดยกลุ่มบุคคลที่ออกมารณรงค์ในชื่อ คนท. ณ เวลานี้ จึงผิดฝาผิดตัวอย่างยิ่ง เรื่องนิรโทษกรรมนั้น ต้องไม่ใช่นิรโทษกรรมต่อคดีต่างๆที่เป็นผลต่อเนื่องจากรัฐประหาร ๑๙ กันยา ๔๙ ต้องไม่ใช่นิรโทษกรรมต่อคดีต่างๆที่เป็นเจตจำนงของคณะรัฐประหาร เพราะ คดีเหล่านั้นเริ่มต้นจากคณะรัฐประหารซึ่งเป็นสิ่งผิด คดีเหล่านั้นจึงไม่มีผล ความผิดในสมัยรัฐประหาร ไม่ถือเป็นความผิดในสมัยประชาธิปไตย เมื่อไม่ผิด ก็ไม่ต้องนิรโทษ ตรงกันข้าม ถ้าหากจะมีนิรโทษกรรม นั่นคือในทางนิตินโยบายพิจารณาแล้วว่า เพื่อให้สังคมเดินหน้าต่อไปได้ก็ต้อง “ให้อภัย” โดยการประกาศว่าการกระทำของรัฐและบุคคลต่างๆในการสลายการชุมนุมเมื่อ ๑๐ เมษา และ ๑๙ พ.ค. ๕๓ เป็นความผิด แต่ “ให้อภัย” จึงนิรโทษกรรมให้



- ๓ -

ประกาศนิติราษฎร์ ฉบับที่ ๒๔ นี้ ข้าพเจ้าขอแนะนำนวนิยายเล่มหนึ่ง คือ La Chute ของ Albert Camus (ภาคภาษาไทยในชื่อ “มนุษย์สองหน้า” แปลโดย ตุลจันทร์)8 นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ Jean-Baptiste Clamence ผู้ประกอบอาชีพทนายความประจำปารีส แต่เขาเรียกตนเองว่า “ผู้พิพากษา-ผู้สำนึกผิด"





ข้าพเจ้าเห็นว่า เสน่ห์ของงานชิ้นนี้มีอยู่ ๒ ประการ ผู้เขียนใช้เทคนิควิธีการให้ Jean-Baptiste Clamence เล่าเรื่องแบบพูดอยู่คนเดียวตลอดเล่ม ประการหนึ่ง และการเสียดสี เหน็บแนม กระชากหน้ากากศีลธรรมจอมปลอมของมนุษย์โดยผ่านการเล่าเรื่องตนเองของ Jean-Baptiste Clamence อีกประการหนึ่ง ข้าพเจ้าชอบหลายประโยค หลายวรรค หลายตอนมาก หากนำมากล่าวไว้ทั้งหมด เกรงว่าจะเกือบหมดทั้งเล่มเป็นแน่ จึงขอยกบางส่วนเป็นตัวอย่าง ดังนี้...



........................................................................................

“... ผมตระหนักดีว่าคนเราไม่อาจอยู่ได้โดยไม่เป็นนายเหนือใครๆ มนุษย์เราทั้งมวลล้วนปรารถนาข้าทาสดุจเดียวกับต้องการอากาศบริสุทธิ์ และอำนาจบังคับบัญชาก็มิใช่อะไรอื่น หากแต่คือลมหายใจ คุณเห็นด้วยกับผมไหมล่ะ แม้กระทั่งมนุษย์ที่อัตคัดขัดสนที่สุดก็ต้องหายใจเหมือนกัน อย่างน้อยๆก็มีลูกมีเมียอยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชา หรือถ้ายังไม่แต่งงาน ก็อาจมีสุนัขเลี้ยงไว้ในครอบครองสักตัว



สำคัญอยู่ที่ว่า ต้องมีใครสักคนหนึ่งที่เถียงเราไม่ได้ คุณจำได้ไหม ผู้ใหญ่เคยสั่งสอนว่า “บุตรที่ดีย่อมไม่โต้เถียงบิดา” ผมว่าชอบกลนะครับ ถ้าไม่โต้เถียงกับคนที่เรารักในโลกนี้แล้วจะให้ไปเถียงกับใครที่ไหนเล่า แต่เมื่อพิจารณาอีกแง่หนึ่งก็เป็นคำสั่งสอนที่น่ารับฟัง เนื่องจากถ้าไม่กำหนดให้ใครเป็นผู้พูดคำสุดท้ายแล้วก็เห็นจะถกเถียงกันไปไม่รู้จักจบ ต่างคนต่างมีเหตุผล โต้กันไปตอบกันมาไม่สิ้นสุด สู้ใช้อำนาจไม่ได้ อำนาจตัดสินชี้ขาดได้รวดเร็วทันใจ ในที่สุดทวีปยุโรปของเราก็มองเห็นปรัชญาข้อนี้แล้วนะคุณ เดี๋ยวนี้เราไม่พูดกันแล้วว่า “นี่คือความคิดของข้าพเจ้า ท่านเห็นด้วยหรือไม่ประการใด” ปัจจุบันเราออกแถลงการณ์กันเลยว่า





“นี่คือสัจจะ จงรู้ไว้เถิด จะอภิปรายกันก็เชิญ แต่อีกไม่นานท่านก็จะได้เห็นเองจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าข้าพเจ้าพูดถูก”9







“... สมัยนี้คนชอบพิพากษากันไม่ย่อหย่อนไปกว่าชอบร่วมประเวณี ต่างกันก็แค่ตรงที่ว่า ในการพิพากษานั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะหย่อนสมรรถภาพ”10





“... มีหนทางปกป้องตนเองเหลืออยู่ทางเดียวเท่านั้น คือต้องรีบพิพากษาคนอื่นเสียก่อนที่เขาจะพิพากษาคุณ จะทำไงได้ล่ะครับ ในเมื่อธรรมชาติของเราทั้งหลายต่างก็คิดว่าตนเองล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นสำนึกที่ยังอยู่ในสัญชาตญาณของเรา ลึกกว่าและเหนือกว่าสำนึกด้านใดทั้งสิ้น และในอันที่จะพิทักษ์รักษาสามัญสำนึกนี้เอาไว้ เราจึงทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำ เช่น ถ้าจำเป็นต้องปรักปรำมนุษย์ทั่วทั้งโลก รวมจนถึงสวรรค์ด้วยก็ได้ เราก็จะทำเช่นนั้นโดยไม่รอช้า”11





“... ใครคนหนึ่งเคยบอกว่ามนุษย์เราแบ่งกันได้สามประเภท ประเภทหนึ่งชอบที่จะไม่มีอะไรต้องปิดบัง เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องโกหก อีกพวกหนึ่งตรงกันข้าม ชอบโกหกมากกว่าที่จะไม่มีอะไรต้องปิดบังเลย ส่วนประเภทสุดท้ายเอาทั้งนั้น โกหกก็ชอบ ปิดบังก็ชอบ”12



....................................................



การกลับมาอ่าน La Chute อีกครั้งในห้วง พ.ศ.นี้ ภาพของ Jean-Baptiste Clamence ทำให้ข้าพเจ้าหวนคำนึงถึง:



- บรรดาผู้ทรงศีลธรรม-คุณธรรม-จริยธรรมที่มีอยู่ทั่วไปหมดในสังคมไทย แต่ศีลธรรม-คุณธรรม-จริยธรรมเช่นว่านั้นต้องใช้อย่างเข้มงวดต่อบุคคลอื่น และไม่ใช้หรือใช้อย่างผ่อนปรนต่อตนเอง,



- บรรดาผู้ที่อ้างว่าตนกำลังทำความดี และ “หลงดี” จนสามารถทำอะไรก็ได้ เพราะที่ทำไปก็เพื่อ “ความดี”,



- บรรดาคน “ดัดจริต” ที่นิยมเข้าวัดวาอาราม นิยมทำบุญสุนทาน นิยมนั่งสมาธิ-เดินจงกรม-ถือศีล-กินเจ แต่ไม่อนาทรร้อนใจ (หรืออาจถึงขั้นสนับสนุน) ต่อการสังหารหมู่กลางกรุงเทพมหานครเมื่อ ๑๐ เมษายน และ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓,



- บรรดาคนที่มีทีท่าเห็นอกเห็นใจคนจน-ชาวนา-ชาวไร่-กรรมกร-คนพิการ-ผู้ด้อยโอกาส และช่วยเหลือพวกเขาเหล่านี้ในลักษณะ “สงเคราะห์” แต่ไม่สนับสนุนให้พวกเขาได้มีสิทธิ มีโอกาส ได้รับความเสมอภาค เพราะ การสงเคราะห์นั้นทำให้ตนยังคงรักษาสถานะเป็น “เทวดา” เป็น “นักบุญ” เป็น “นางฟ้า” และยังช่วย “สำเร็จความใคร่ความดี” แก่ตนเองได้อีกด้วย,



- บรรดาคนที่อ้างเหตุผล-ความจำเป็นของการกระทำของตนเองได้ในทุกเรื่อง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำนั้น, บรรดาคนที่ “แถ-กะล่อน-ปลิ้นปล้อน” หลอกทุกคน ทุกวัน ทุกเวลา จนกลายมาเป็นหลอกตนเองว่าเรื่องที่หลอกคนอื่นเป็นเรื่องจริ



ข้าพเจ้าเห็นว่า บรรดาบุคคลที่มีลักษณะทั้งหลายเหล่านี้ คือ “มนุษย์สองหน้า” แบบ Jean-Baptiste Clamenceและนวนิยายเล่มนี้ อาจช่วยเตือนใจให้เราลองส่องกระจกพิจารณาตนเองดูว่า บางที Jean-Baptiste Clamence อาจผสมปนเปอยู่ในตัวเรา



ข้าพเจ้าขอแนะนำเอกสารอีกหนึ่งชิ้นที่ปรากฏในเว็บไซต์ของพวกเรา คือ ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการพระองค์ ในภาคภาษาฝรั่งเศส การแปลอย่างครบถ้วนทั้งในแง่ความหมายและความสละสลวยในครั้งนี้ เป็นผลงานของ ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล หนึ่งในผู้ก่อตั้งคณะนิติราษฎร์ และเร็วๆนี้จะมีข้อเสนอภาคภาษาเยอรมันตามมา

ประกาศนิติราษฎร์ฉบับนี้เผยแพร่ในช่วงบรรยากาศของการเลือกตั้ง ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตแสดงความเห็นต่อการเลือกตั้งครั้งนี้สักเล็กน้อย





แน่นอน การเลือกตั้งไม่ใช่วิธีการเดียวในการนำประเทศไทยออกจากวิกฤตความขัดแย้งและเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการปรองดอง หากปรารถนาให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ ก็ยังมีภาระที่ต้องทำอีกมากมายหลายประการ เช่น การปฏิรูประบบกฎหมาย การปฏิรูปกองทัพ การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้ทันสมัยสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย การพิจารณาสอบสวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าใครเป็นผู้ฆ่าและสั่งฆ่า เป็นต้น





ถึงกระนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้ก็มิใช่ไม่มีความหมายเอาเสียเลย ข้าพเจ้าเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีของบุคคลที่ต้องการแสดงออกว่า ไม่เอารัฐประหาร ๑๙ กันยา ๔๙ ไม่เอาคณะรัฐประหาร ไม่เอารัฐธรรมนูญ ๕๐ ไม่เอาขบวนการ “ตุลาการภิวัตน์” ไม่เอาอำนาจนอกระบบ ไม่เอาการสังหารหมู่กลางมหานครเมื่อ ๑๐ เมษาและ ๑๙ พฤษภา ๕๓ เราสามารถแสดงออกอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมต่อการไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าวได้ด้วยการไม่ลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง-สนับสนุน-ได้ประโยชน์จากเรื่องเหล่านี้



ผลการเลือกตั้งอันแสดงให้เห็นเด่นชัด ย่อมเป็นสัญญาณส่งไปถึง “ทุกคน-ทุกชั้น” ในสังคมนี้ว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้คิดอย่างไร





ผลการเลือกตั้งอันเป็นที่ประจักษ์ชัดอย่างยิ่ง ย่อมกระตุ้นเตือนให้บุคคลบางกลุ่มได้ฉุกคิดบ้างว่า หากปรารถนาให้สังคมนี้เดินหน้าต่อไปข้างหน้าได้ ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ก็ต้องนำผลการเลือกตั้งนี้ไปพิจารณาหาทางปรับปรุงตัวเองบ้าง





แต่หากพวกเขาไม่สังเกตเห็นสัญญาณที่สะท้อนผ่านผลการเลือกตั้ง ยังคงดึงดันคิดใช้วิธีแบบเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า



ข้าพเจ้าก็ขอนำวรรคทองของอันโตนิโอ กรัมชี่ใน Prison Notebooks มาพูดแทนว่า :





"The crisis consists precisely in the fact that the old is dying and the new cannot be born; in this interregnum a great variety of morbid symptoms appear".

--------------------------------------------------------------------------

เชิงอรรถ





1. โปรดดู ปิยบุตร แสงกนกกุล, “กฎหมาย” กับ “อุดมการณ์”, วารสารฟ้าเดียวกัน, ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑ มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๔; “การปรับเปลี่ยนลักษณะของกฎหมายในยุคหลังสมัยใหม่”, วารสารฟ้าเดียวกัน, ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๔ ตุลาคม – ธันวาคม ๒๕๕๒; “ผลกระทบและข้อวิจารณ์ต่อวาทกรรม "นิติรัฐ", ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๒; “อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ กับการแทรกแซงการเมืองในนามของกฎหมาย”, ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑; ประกาศนิติราษฎร์ ฉบับที่ ๔, www.enlightened-jurists.com/blog/8/Fourth-Enlightened-Statement.html



2. มาตรา ๓๖ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๔๙ “บรรดาประกาศและคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ได้ประกาศหรือสั่งในระหว่างวันที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ จนถึงวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปใดและไม่ว่าจะประกาศหรือสั่งให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ ให้มีผลใช้บังคับต่อไปและให้ถือว่าประกาศหรือคำสั่ง ตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้นไม่ว่าการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้นจะกระทำก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นประกาศหรือคำสั่งหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ



3. มาตรา ๓๗ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๔๙ “บรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ของหัวหน้าและคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมตลอดทั้งการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าวหรือของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือของผู้ซึ่งได้รับคำสั่งจากผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันได้กระทำไป เพื่อการดังกล่าวข้างต้นนั้น การกระทำดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการรวมทั้งการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอย่างอื่น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อนหรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง”




4. ประกาศ คปค. ฉบับที่ ๒๗ ข้อ ๓ “ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอื่นที่ทำหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใดเพราะเหตุกระทำการต้องห้าม ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น มีกำหนดห้าปี นับแต่วันที่มีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมือง”


5. มาตรา ๓๐๙ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ “บรรดาการใดๆ ที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๔๙ ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว ไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้”


6. http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20110607/394275/แก้วสรร:อย่าเอาการเมืองมารังแกกฎหมาย.html



7. ความคิดทำนองนี้ปรากฏอยู่ในงานหลายชิ้นของ Paul Ricœur โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Paul Ricœur, Soi-même comme un autre, Seuil, 1990 งานชิ้นนี้ Ricœur กลับไปหาจริยศาสตร์เชิงหน้าที่ของ Kant, จินตภาพเรื่อง "Veil of Ignorance" (ม่านแห่งความเขลา) ของ John Rawls (โปรดดูประกาศนิติราษฎร์ ฉบับที่ ๑๙) และจริยศาสตร์เรื่องความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันตามกฎทอง (Golden Rule) ของ Hillel ว่า “จงปฏิบัติต่อผู้อื่นดังที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเอง” และ “จงอย่าปฏิบัติต่อผู้อื่นดังที่ตนไม่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเอง”



8. อัลแบร์ กามู, มนุษย์สองหน้า, แปลโดย ตุลจันทร์, สำนักพิมพ์สามัญชน, ๒๕๔๓.



9. หน้า ๕๗-๕๘.



10. หน้า ๘๔.



11. หน้า ๘๗.



12. หน้า ๑๑๕.


Ref : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1307942540&grpid=no&catid=no&subcatid=0000 13-06-2011

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

เลือกตั้ง-ทางเลือกเดียว

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

การเลือกตั้งไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ไม่มีกระบวนการเข้าสู่ตำแหน่งอะไรที่ดีไปกว่าการเลือกตั้ง เพียงแต่ว่าการเลือกตั้งอย่างเดียวไม่พอ... ไม่พอที่จะทำให้สังคมใดเป็นประชาธิปไตย, ไม่พอที่จะแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาซึ่งจะมีผลในระยะยาว รวมทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง, ไม่พอที่จะให้ความชอบธรรมแก่อำนาจได้ตลอดไป

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การซื้อเสียงเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกตั้งของไทยมาหลายทศวรรษแล้ว (ว่ากันว่าเกิดหรือระบาดอย่างหนักมาแต่ต้นทศวรรษ 2520) แต่อย่าเข้าใจผิดว่า การซื้อเสียงหรือจำนวนเงินที่ซื้อเสียงเป็นปัจจัยชี้ขาดว่าใครจะได้รับเลือกตั้ง

มีงานวิจัยที่ทำโดยบุคคลต่างๆ และองค์กรต่างๆ มาหลายครั้ง และในทุกภาคของประเทศไทย ต่างพบตรงกันว่าปัจจัยสำคัญในส่วนแรกๆ ที่ชาวบ้านใช้ในการตัดสินใจเลือกผู้สมัคร จะวนเวียนกันอยู่ในปัจจัยดังต่อไปนี้คือ ความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือการเข้าถึงได้, พรรคที่ผู้สมัครสังกัด, ความสามารถในการบริหาร, ประสบการณ์ของผู้สมัคร และเงินที่ได้รับแจก ปัจจัยใดจะมาเป็นอันดับหนึ่งอาจแปรเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ แต่ปัจจัยเงิน ไม่เคยมีความสำคัญขึ้นมาเป็นลำดับที่หนึ่งหรือสองเลย

แน่นอนว่า เงินเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญ แต่เงินได้กลายเป็นสัญลักษณ์ว่าผู้สมัคร (หรือที่จริงเครือข่ายหาเสียงของผู้สมัคร) ให้ความสำคัญแก่ชาวบ้านหรือไม่ (ชาวบ้านใช้คำว่ามีน้ำใจต่อกันหรือไม่) สัญลักษณ์นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงิน ผู้สมัครที่สัญญาจะให้มากกว่ากลับแพ้เลือกตั้งเกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่ขึ้นอยู่กับว่าชาวบ้านพอใจกับปัจจัยประการอื่นๆ ที่จะตัดสินใจเลือกผู้สมัครหรือไม่ แจกเงินหรือรับเงินเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ตัดสินใจไปแล้ว เพื่อแสดงน้ำใจเท่านั้น

ฉะนั้นการพูดว่า ส.ส.บ้านนอกล้วนแต่ซื้อเสียงมาทั้งนั้น จึงเป็นการนำข้อเท็จจริงที่ไร้บริบทมากล่าว ด้วยความเขลาหรืออคติก็ตาม แต่ทำให้เกิดข้อสรุปที่ไร้เหตุผลของคนชั้นกลางทั่วไปว่าด้วยเหตุดังนั้น ส.ส.เหล่านั้นจึงไม่ใช่ "ผู้แทนราษฎร" จริง ความเห็นของเขาไม่ต้องฟัง และไม่ต้องมี ส.ส.เช่นนั้น เราก็เป็นประชาธิปไตยได้ เพราะแทนที่จะมีการเลือกตั้ง เรามอบหมายให้คนที่น่าไว้วางใจ เช่น ตุลาการ, คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นพิเศษ ฯลฯ แต่งตั้งบุคคลขึ้นเป็น ส.ส.ก็ได้

ความเข้าใจผิดหรือความเข้าใจอย่างฉาบฉวยเกี่ยวกับการเลือกตั้ง (โดยเฉพาะนอกเขตเมืองใหญ่) ทำให้คนชั้นกลางไทยจำนวนมาก โน้มเอียงไปสู่ความเชื่อมั่นในการแต่งตั้งมากกว่าการเลือกตั้ง

นี่เป็นทั้งโมหาคติและโลภาคติ

โมหาคติก็เพราะรู้ไม่จริงดังที่กล่าวแล้ว



โลภาคติก็เพราะรู้อยู่แล้วว่า บุคคลที่ได้รับ "แต่งตั้ง" คือคนที่มีผลประโยชน์, โลกทรรศน์ และฉันทาคติทางการเมืองอย่างเดียวกับตัว

ดังนั้น หากสภาเต็มไปด้วย ส.ส.แต่งตั้ง ก็จะมี "ผู้แทน" ฝ่ายตัวอยู่หนาแน่นในสภา ย่อมปกป้องผลประโยชน์และจุดยืนของตนได้ดีกว่าสภาที่มาจากการเลือกตั้ง

ความไม่พร้อมจะอยู่อย่างประนีประนอมผลประโยชน์และโลกทรรศน์อันหลากหลายของสังคม-เขาได้บ้าง แต่เราไม่เสียเกินไป หรือเราได้บ้าง แต่เขาไม่เสียเกินไป-ทำให้คนชั้นกลางระดับกลางและสูงของไทยในปัจจุบัน เป็นศัตรูตัวฉกาจของระบอบประชาธิปไตย

บัดนี้ การชิงอำนาจระหว่างชนชั้นนำด้วยกันเอง ได้อาศัยโมหาคติและโลภาคติของคนชั้นกลางนี้ปลุกปั่นให้ "ปิดเทอม" ทางการเมือง ด้วยข้ออ้างว่าการเลือกตั้งจะไม่แก้ปัญหาอะไร ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องพิสูจน์ว่าการ "ปิดเทอม" และการแต่งตั้งจะแก้ปัญหาอะไรได้ เป็นการพูดเอาแต่ฝ่ายเดียว เพราะรู้อยู่แล้วว่าโมหาคติและโลภาคติของคนชั้นกลางระดับกลางและสูงจะไม่ทำให้ผู้ฟังตั้งคำถามในเชิงกลับกันดังกล่าว

คิดกันโดยปราศจากโมหาคติและโลภาคติ การเลือกตั้งก็ตาม การแต่งตั้งก็ตาม ย่อมไม่แก้ปัญหาอะไรทั้งนั้น เพราะการเลือกตั้งหรือการแต่งตั้งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตัดสินใจ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งหรือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้ง มีโอกาสจะเข้าใจปัญหาผิดหรือถูกได้เท่าๆ กัน, ตัดสินใจเลือกทางแก้ผิดหรือถูกได้เท่าๆ กัน, ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวได้เท่าๆ กัน

จะเลือกตั้งดี หรือจะแต่งตั้งดี จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาทั้งคู่ แต่เป็นการเลือกว่าจะใช้กระบวนการอะไรในการตัดสินใจแก้ปัญหา

ฉะนั้นถ้าจะเปรียบเทียบวิธีการทั้งสอง ก็ต้องเปรียบเทียบกระบวนการตัดสินใจภายใต้วิธีการทั้งสอง ไม่ใช่ไปสรุปเอาเองว่าการเลือกตั้งจะแก้ปัญหาด้วยแนวทางนี้ และการแต่งตั้งจะแก้ปัญหาด้วยวิธีการนี้ (น่าสังเกตด้วยว่า ม็อบที่เสนอให้ "ปิดเทอม" ไม่เคยบอกว่า การแต่งตั้งจะแก้ปัญหาอย่างไร แม้แต่ระบุว่าอะไรคือปัญหาก็ยังไม่ชัดด้วยซ้ำ มีแต่การปลุกระดมให้วางใจและศรัทธาต่อบุคคลอย่างมืดบอดเท่านั้น)

สิ่งที่ต่างกันอย่างสำคัญในวิธีการทั้งสองคือ กระบวนการตัดสินใจว่าใช้แนวทางอะไรในแก้ปัญหาต่างหาก

การเลือกตั้งนำมาซึ่งเวทีเปิด ไม่เฉพาะแต่ผ่านหีบบัตรเลือกตั้งเท่านั้น แต่รวมถึงการเคลื่อนไหวในภาคสังคมต่างๆ นับตั้งแต่การผลักดัน, ควบคุม, กรั่นกรอง ผ่านสื่อที่ต้องเป็นอิสระเสรีจริง, ผ่านการให้สัมภาษณ์ของบุคคล, ผ่านรายการสนทนาทางทีวีหรือสื่ออื่น, ผ่านการรวมกลุ่มเพื่อส่งความเห็นของกลุ่มแก่สังคมในวงกว้าง, ผ่านการประชุมทั้งในเชิงวิชาการและเชิงการเมือง และแน่นอนผ่านการชุมนุมด้วย เป็นเวทีเปิดที่คนทุกกลุ่ม ตั้งแต่นายทุนขนาดใหญ่, ผู้ประกอบการรายย่อย, ไปจนถึงชาวบ้านธรรมดา และคนชั้นกลางระดับกลางและสูงทั่วไป

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สังคมทั้งหมดสามารถเข้ามาร่วมกันแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย, ขัดแย้งกันอย่างเปิดเผย และเลือกจะประนีประนอมกันได้ในประเด็นต่างๆ อย่างเปิดเผย ทั้งหมดนี้ทำกันได้บนเวทีสาธารณะซึ่งมีหลายรูปแบบดังที่กล่าวแล้ว ยิ่งเราสามารถยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่ปิดกั้นการแสดงความเห็นอย่างอิสระเสรีลง เวทีเปิดของสังคมก็จะยิ่งผลิตความเห็นและทางเลือกนานาชนิดได้มโหฬาร

ความคิดความเห็นเหล่านี้ ย่อมมีผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่มแทรกอยู่ด้วย ทั้งที่ผู้เสนออาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว แต่ไม่มีความคิดความเห็นใดๆ หรอกที่ปลอดจากอคติอย่างใดอย่างหนึ่งโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นจากใครก็ตาม ยิ่งไปคิดว่าความคิดเห็นของบางคนบางกลุ่มย่อมบริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อนด้วยอคติส่วนตัว กลับยิ่งมีอันตรายมากกว่า เพราะทำให้ไม่ใช้วิจารณญาณ

ตรงกันข้ามกับบนเวทีเปิดที่ทุกเสียงมีค่าเท่าๆ กัน ทุกคนย่อมระแวงอยู่แล้วว่าความคิดเห็นหนึ่งๆ ย่อมเจือปนด้วยอคติและผลประโยชน์ส่วนตัว ต่างฝ่ายก็จะใช้วิจารณญาณอย่างรัดกุม ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างรู้ว่า ไม่มีความคิดเห็นของใครจะผ่านไปได้เต็มร้อย ทุกฝ่ายจึงพร้อมจะประนีประนอมกับฝ่ายอื่น

จนในที่สุดก็จะได้ความคิดเห็นที่อาจไม่ใช่ดีที่สุด แต่ "เป็นไปได้" ที่สุด ตรงกับชีวิตจริงของทุกคน คือเราต่างมีชีวิตอยู่ในโลกที่เป็น "เป็นไปได้" ที่สุด ไม่ใช่ "ดี" ที่สุด

นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะซื้อเสียงมามากน้อยเพียงไร ก็ต้องจำนนต่อความคิดเห็นที่ลงตัวจนกลายเป็นเสียงเรียกร้องจากเวทีเปิดทั้งนั้น

นี่คืออำนาจและโอกาสของการต่อรอง ที่กระจายไปยังคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมอย่างเท่าเทียมกัน การต่อรองไม่ได้เป็นเพียงพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น แต่การต่อรองยังเป็นพื้นฐานสำคัญสุดของการมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคมทุกชนิด

ปัญหาต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่ในสังคมไทยเวลานี้ ไม่มีใครแก้ให้ได้ นอกจากสังคมไทยเอง ดังนั้น กระบวนการที่จะนำไปสู่แนวทางแก้ปัญหาจึงมีความสำคัญเสียยิ่งกว่าตัวแนวทางเองเสียอีก กระบวนการที่ปิดกั้นกีดกันสังคมออกไปเช่นการแต่งตั้งในภาวะ "ปิดเทอม" จะไม่อาจแก้ปัญหาได้เลยอย่างแน่นอน

การเมืองจะ "ปิดเทอม" จนใช้การแต่งตั้งได้ ก็ต้องอาศัยอำนาจนอกระบบ รัฐประหาร 19 ก.ย.49 ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ในเมืองไทยเวลานี้ไม่เหลืออำนาจนอกระบบใดๆ ที่จะสามารถให้ความชอบธรรมแก่การรัฐประหารได้ (ไม่ว่าจะเป็นรัฐประหารดังๆ หรือรัฐประหารเงียบ) และเพราะขาดความชอบธรรมอันเป็นที่ยอมรับ ก็ยิ่งต้องใช้อำนาจดิบ (ทั้งที่ผ่านหรือไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม)

ยิ่งใช้อำนาจดิบ ก็ยิ่งขาดความชอบธรรม ยิ่งขาดความชอบธรรม อำนาจที่ใช้ก็ยิ่งดิบมากขึ้น เป็นวัฏจักรทำลายตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นสุดลง ณ จุดใดจุดหนึ่ง อันมีความเป็นไปได้มากว่าเป็นจุดที่เลือดนองแผ่นดิน

ดังนั้น กระบวนการต่อรองอย่างเปิด เพื่อให้ทุกกลุ่มเข้ามาร่วมในการตัดสินใจเลือกแนวทางแก้ปัญหาจึงเกิดขึ้นไม่ได้ แนวทางการแก้ปัญหามาจากการตัดสินใจเลือกของอำนาจล้วนๆ ถึงอำนาจนั้นจะหาพันธมิตรมาได้มากสักเพียงไร ก็ยังเป็นคนส่วนน้อยของสังคมอยู่นั่นเอง เช่น ทหาร, ข้าราชการพลเรือนและเทคโนแครต, นายธนาคาร, นักธุรกิจขนาดใหญ่ และนักวิชาการบางกลุ่ม ไม่รวมแม้แต่คนชั้นกลางระดับกลางทั่วไปด้วยซ้ำ ไม่พักต้องพูดถึงคนชั้นกลางระดับล่างตามหัวเมืองทั่วประเทศ และคนชั้นล่างทั่วไป

แนวทางการแก้ปัญหาที่มาจากกระบวนการตัดสินใจแบบนี้ย่อมไม่อาจนำมาซึ่งแนวทางที่ "เป็นไปได้" อย่างแน่นอน ยิ่ง "เป็นไปได้" น้อย ก็ยิ่งต้องใช้อำนาจมาก ความชอบธรรมของผู้ได้รับการแต่งตั้งก็ไม่มี ซ้ำความชอบธรรมของแนวทางก็ยิ่งไม่มี จะเหลืออะไรในสังคมอีกเล่า นอกจากแตกแยกกันหนักมากขึ้น และหลีกไม่พ้นที่จะต้องยกกำลังมาเข่นฆ่ากัน (ซึ่งผู้ต่อต้านก็คงไม่โง่พอจะยกกำลังมาให้ฆ่าทิ้งที่สี่แยกใดในกรุงเทพฯ อีกแล้ว)

ยังจะเหลือพื้นที่สำหรับการดำเนินธุรกิจ หรือดำเนินชีวิตไปตามปกติและตามความใฝ่ฝันของแต่ละคนอีกหรือ

นายทุน, นักธุรกิจ และคนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป ถึงท่านไม่ศรัทธากับระบอบประชาธิปไตย และไม่คิดเป็นหัวหอกของพลังประชาธิปไตยในสังคมไทย แต่ท่านควรมีหัวคิด อย่างน้อยก็มีหัวคิดพอจะมองเห็นว่า ประโยชน์ของท่านอยู่ที่ไหนกันแน่


ref : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1303129342&grpid=&catid=02&subcatid=0207 19/04/2011

ประชาธิปไตยที่ถูกควบคุม

ประชาธิปไตยที่ถูกควบคุม

โดย นฤตย์ เสกธีระ max@matichon.co.th


(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 18 เมษายน 2554)

สมัยเด็กเคยเลือกหัวหน้าห้องกันไหมครับ ?

การเลือกหัวหน้าห้อง หรือ หัวหน้าชั้น เป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จักระบอบประชาธิปไตย

วิธีง่ายๆ ที่ทำคือ ให้นักเรียนในห้องเสนอชื่อเพื่อนที่ตัวเองสนับสนุน จากนั้นก็ให้นักเรียนในห้องลงคะแนนเลือกใครเป็นหัวหน้า

คนที่ได้คะแนนมากที่สุดได้เป็นหัวหน้า ส่วนคนที่ได้คะแนนรองลงมา รับตำแหน่งรองหัวหน้าห้องไป

นักเรียนที่เป็นหัวหน้ากับรองหัวหน้าก็ทำงานช่วยเหลือกันดี

นักเรียนกลุ่มที่เสนอชื่อเพื่อนทั้งสองชื่อก็สมัครสมานสามัคคีกันดี

วิธีการแบบนี้กลายเป็นประชาธิปไตยในห้องเรียน

ทีนี้เราก็เอาวิธีการในห้องเรียนมาใช้กับประเทศไทยบ้าง

เปลี่ยนจากเลือกหัวหน้าห้องมาเป็นเลือกนายกรัฐมนตรี

เราพบว่า ระบอบประชาธิปไตยในห้องกับระบอบประชาธิปไตยของประเทศแตกต่างกัน

แม้ขั้นตอนแรกจะเหมือนกันคือ ให้คนไทยเสนอชื่อคนไทยให้คนไทยเลือก

เหมือนกับให้นักเรียนเสนอชื่อนักเรียนให้นักเรียนเลือก

แต่ขั้นตอนหลังจากนั้นเริ่มห่างไกลจากประชาธิปไตยในห้องเรียนไปเรื่อยๆ

เหตุที่ห่างไกลไปเรื่อยๆ เพราะ "ครู" แทนที่จะทำหน้าที่ดูแลกระบวนการทุกอย่างให้เป็นประชาธิปไตย กลับพยายามเข้ามาแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตย

เหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจาก "ครู" เริ่มไม่ไว้วางใจ "นักเรียน" เสียแล้ว

บทบาทของ "ครู" เปลี่ยนแปลงกลายเป็น "ผู้คุม"

วันนี้ กลายเป็นว่า ทุกๆ การตัดสินใจของคนไทยจะต้องมี "ผู้คุม" คอยถือไม้เรียวกำกับ

การสรรหาตัวบุคคลที่จะแข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องผ่านความเห็นชอบของ "ผู้คุม" เสียก่อน

พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหาอะไร เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น "ผู้คุม" ยอมรับในฝีไม้ลายมือ

พรรรคขนาดกลางและขนาดย่อมอื่นๆ จะทำอะไรก็ต้องอยู่ในสายตาของ "ผู้คุม" คนเดียวกัน

หลายพรรคเช่น ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา เพื่อแผ่นดิน รวมชาติพัฒนา ฯลฯ แม้บางครั้งจะไม่พอใจพรรคประชาธิปัตย์

แต่ก็เกรงใจ "ผู้คุม" ไม่กล้าหือ

ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้นซวยกว่า เพราะมี "ผู้คุม" มากกว่า 1 คน

คนแรกอยู่ต่างประเทศ คอยกำหนดทุกอย่าง ทั้งนโยบายพรรค ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ลำดับของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ไปจนถึงกฎกติกา เช่น ต้องเขียนใบลาออกทิ้งเอาไว้ล่วงหน้า เป็นต้น

อีกคนหนึ่งอยู่ในประเทศ เป็นคนๆ เดียวกับที่คุมพรรคการเมืองอื่นๆ อยู่

"ผู้คุม" คนแรก กับ "ผู้คุม" คนหลังนี้ไม่ถูกกัน ทำให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยลำบาก เพราะไม่รู้จะเลือกใครที่ถูกใจ "ผู้คุม" ทั้งสองคน

ก่อนหน้านี้ก็เคยตามใจ "ผู้คุม" จากต่างประเทศ ผลักดันคุณสมัคร สุนทรเวช ผลักดันคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์

แต่ทั้ง "สมัคร" และ "สมชาย" ก็พลัดตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

แถมพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นที่อยู่ตอนนั้นก็พลอยถูกยุบไปอีก

เลือกตั้งคราวนี้ก็กะว่า ถ้าพบปะใครที่สมควรผลักดันเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องถาม "ผู้คุม" ในประเทศด้วยว่าเห็นชอบหรือไม่

คะเนดูว่า ถ้า "ผู้คุม" "อนุมัติ" ก็จะส่งคนนั้นเข้าประกวด

แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครที่ "ผู้คุม" ทั้งสองคนเห็นพ้องว่าสามารถเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับประเทศไทยได้

ทำไปทำมา สู้กันไปสู้กันมา ประชาชนเจ็บดับกันมามากมาย

แต่สุดท้ายประชาธิปไตยที่ควรจะอยู่ที่ประชาชน กลับตกอยู่ในมือของ "ผู้คุม"

กลายเป็นประชาธิปไตยที่ถูกควบคุมไปฉิบ


ref : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1303128908&grpid=&catid=02&subcatid=0207 19/04/2011

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

นายกฯพระราชทาน (1)
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

เสียงเรียกร้องนายกฯพระราชทานกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะต้องการนายกฯพระราชทานจริงๆ หรือเพราะต้องการใช้ข้อเรียกร้องนี้ส่งเสริมการรณรงค์ "โนโหวต-โหวตโน" (การงดใช้สิทธิในบัตรเลือกตั้ง) ก็ไม่ทราบได้ เข้าใจว่าผู้รณรงค์ต้องการคะแนน "โนโหวต" มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อทำให้รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่สูญเสียความชอบธรรมที่ได้จากการเลือกตั้งลง

เมื่อลงมาเล่นในกติกานับคะแนนรายหัว ซึ่งต้องรวมหัวที่ถูกประเมินว่าโง่ไว้ด้วย อย่างไรเสียคะแนน "งดออกเสียง" ก็ย่อมเป็นส่วนน้อยอยู่ดี จะทำลายความชอบธรรมของผู้ได้รับเลือกตั้งได้อย่างไร ตรรกะมันขัดกันเอง จึงต้องเดาต่อไปว่า ผู้รณรงค์ไม่ได้ต้องการ "ชัยชนะ" ในเกมนี้ แต่ต้องการคะแนน "งดออกเสียง" มากที่สุดเท่านั้น จำนวนของคะแนนนี้จะกลับกลายเป็นความชอบธรรมของผู้รณรงค์ในการปิดถนน หรือยึดทำเนียบและสนามบินในวันข้างหน้า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลขึ้นในอนาคตก็ตาม เสียงของผู้รณรงค์จะยังดังอยู่เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ตำรวจยังต้องเปิดถนนด้วยวิธี "เจรจา" แทนการจับกุมส่งฟ้องศาลอย่างที่คนงานไทรอัมพ์โดนอยู่เวลานี้

และเมื่อต้องการคะแนนมากที่สุด จึงต้องดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ทางการเมืองอีก แม้ว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงปฏิเสธอย่างชัดแจ้งมาแล้วว่า ไม่ได้มีพระราชอำนาจจะทำเช่นนั้นได้

แต่ในครั้งนี้ผู้รณรงค์ไม่ได้ต้องการนายกฯพระราชทานจริง ต้องการเพียงคะแนนเสียง "โนโหวต-โหวตโน" เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ผมสนใจความคิดเรื่องนายกฯพระราชทาน (ซึ่งขอนิยามใหม่ว่า นายกฯที่อาศัย "บารมี" ของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นฐานของความชอบธรรมเพียงอย่างเดียว เพราะผมไม่มีหลักฐานระบุได้อย่างไม่มีทางปฏิเสธว่า มีนายกฯไทยคนใดบ้างที่ "พระราชทาน" ลงมาจริงๆ) เพราะผมพบว่าเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาทางการเมืองมาแต่ต้น และนายกฯพระราชทานคนใด (ตามนิยามข้างต้นนะครับ) ก็ตาม ที่ไร้เดียงสาทางการเมืองเท่ากับตัวความคิด ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จในทางการเมืองและการบริหารเลยสักคน

ความคิดเรื่องนายกฯพระราชทานนี้เกิดขึ้นครั้งแรกโดยอดีตที่ปรึกษาราชการแผ่นดินชาวอเมริกัน ผู้เคยเป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และก็เหมือนนักกฎหมายอีกมากในโลกที่คิดว่า กฎหมายคือผู้สร้างและกำกับโลก ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าหรือตถตา

ในปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ตกเป็นเป้าโจมตีวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะโครงสร้างการบริหารของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม พระเจ้าแผ่นดินย่อมเป็นผู้อำนวยการสูงสุดของฝ่ายบริหาร, นิติบัญญัติ, ตุลาการ และแต่ผู้เดียว พระองค์จึงต้องรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศทุกประการ

ราชสำนักตระหนักต่อภัยคุกคามทางการเมืองนี้อย่างดี จากการปรึกษาเป็นส่วนพระองค์ อดีตที่ปรึกษาราชการแผ่นดินผู้นี้ เสนอให้นำราชบัลลังก์หลบเสียจากเป้าวิพากษ์วิจารณ์ โดยให้ทรงแต่งตั้งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีขึ้นรับผิดชอบการบริหารแทน แต่บุคคลในตำแหน่งนี้ต้องรับผิดชอบต่อพระมหากษัตริย์แต่ผู้เดียว จึงทรงแต่งตั้งและถอดถอนได้ตามพระราชอัธยาศัย เขาเสนอรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย ซึ่งไม่ใช่รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย แต่เป็นความพยายามจะปฏิรูประบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญที่ตามมาอีกหนึ่งฉบับภายใต้ระบอบนั้น

พระมหากษัตริย์ทรงนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ปรึกษากับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะที่ดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรี ไม่มีเจ้านายพระองค์ใดเห็นชอบด้วยเลย เหตุผลที่กราบทูลก็คือไม่มีประโยชน์ดังมุ่งหวัง เพราะเมื่อทรงแต่งตั้งถอดถอนอัครมหาเสนาบดีได้เอง ถึงอย่างไรก็ยังทรงเป็นผู้รับผิดชอบต่อการบริหารแต่ผู้เดียว และยังคงเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั่นเอง

นักวิชาการบางท่านให้ความเห็นว่า เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ไม่เห็นชอบกับความคิดเรื่องนายกฯพระราชทาน ก็เพราะไม่อยากถูกกันออกไปจากอำนาจที่มีอยู่ เนื่องด้วยนายกฯพระราชทานคือผู้สัมปทานพระราชอำนาจในการบริหารไว้กับตนแต่ผู้เดียว ไม่อาจกระจายไปยังกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ได้อีก

ไม่ว่าการวิเคราะห์ของนักวิชาการเหล่านี้จะถูกต้องหรือไม่ แต่ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า ตกมาถึงปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่บุคคลอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเครือข่ายของกลุ่มชนชั้นนำระดับสูง แม้องค์ประกอบของเครือข่ายนี้อาจไม่มีความหลากหลายมากนัก แต่ก็มีบุคคลอยู่ในเครือข่ายนี้จำนวนไม่น้อย ประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชการระดับสูงที่ไว้วางพระราชหฤทัยจำนวนหนึ่ง

แต่ละคนก็มีเครือข่ายของตนเอง นับตั้งแต่ผู้เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาไปจนถึง "ศิษย์" อีกจำนวนมาก (หลายคนในกลุ่มนี้ล้วนมีรูปปั้นยืน-นั่งตากแดดตากฝนอยู่หน้ากระทรวงและกรมต่างๆ ของราชการไทยปัจจุบัน)

นายกฯพระราชทานทำให้คนเหล่านี้กลายเป็นรูปปั้นไปตั้งแต่ยังไม่ทิวงคต ไม่มีพื้นที่สำหรับบทบาททางการเมืองใดๆ ได้อีกเลย

นี่คือความไร้เดียงสาทางการเมืองข้อแรกของคำปรึกษา

กล่าวคือ เมื่อจะมีสถาบันทางการเมืองใหม่คือนายกฯพระราชทาน ก็ต้องสร้างสถาบันทางการเมืองใหม่สำหรับกลุ่มชนชั้นนำไปพร้อมกัน และถ้าฉลาดลึกซึ้งไปกว่านั้น สถาบันทางการเมืองใหม่นี้ต้องผนวกเอาชนชั้นนำอื่นๆ ที่ยังไม่ได้อยู่ในเครือข่ายสถาบันพระมหากษัตริย์เอาไว้ด้วย

นั่นคือต้องมีสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งมีบทบาทให้คำปรึกษาได้ทั้งในด้านการบริหาร, นิติบัญญัติ และตุลาการ

ในอาณานิคมอังกฤษ เกือบทุกแห่งล้วนมีสภาลักษณะนี้ ในระยะแรกอาจประชุมกันได้ต่อเมื่อผู้ว่าการฯ ขอคำปรึกษาเท่านั้น แต่มาในระยะหลังก็ถูกกดดันให้เปิดประชุมประจำ ตลอดจนริเริ่มประเด็นได้เอง แม้ว่าในระยะยาวแล้วสภาประเภทนี้ไม่ประสบความสำเร็จที่จะธำรงความเป็นเจ้าอาณานิคมไว้ได้ตลอดไป แต่ในระยะสั้นก็ช่วยทอนกำลังของฝ่ายชาตินิยมลงได้อย่างมาก เสริมความแข็งแกร่งของระบบจักรวรรดินิยมอังกฤษไว้ได้ช่วงหนึ่ง

กล่าวโดยสรุปก็คือ นายกฯพระราชทานไม่เคยอยู่ในสุญญากาศ "บารมี" ของสถาบันพระมหากษัตริย์เพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้นายกฯบริหารงานไปได้อย่างราบรื่น เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เองก็ไม่ได้อยู่ในสุญญากาศ หากมีเครือข่ายที่กว้างขวางของตนเอง ซึ่งล้วนต้องการพื้นที่ทางการเมืองสำหรับการต่อรองกับนายกฯ พระราชทานเช่นกัน

"บารมี" ของสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเริ่มฟื้นฟูขึ้นนับตั้งแต่รัฐประหาร 2490 เป็นต้นมา หมายถึงเครือข่ายที่ยิ่งกว้างขวางขึ้น และหลากหลายมากขึ้นของสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย (เช่นนอกจากงานศึกษาเรื่องโครงการพระราชดำริที่ทำได้อย่างดีแล้ว น่าจะมีใครสักคนกลับไปศึกษาประวัติของผู้ได้รับตราพระจุลจอมเกล้าฯ นับตั้งแต่ 2490 เป็นต้นมาด้วย) จนถึงทุกวันนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเครือข่ายทางสังคมและการเมืองที่กว้างใหญ่ที่สุด เชื่อมโยงทั้งทางตรงและทางอ้อมไปยังคนจำนวนมหึมาทั่วประเทศ นายกฯพระราชทานคนเดียว ไม่สามารถเป็นพื้นที่ทางการเมืองเพื่อรองรับจินตนาการทางการเมืองอันหลากหลาย และมักจะขัดแย้งกันเอง ของเครือข่ายมโหฬารนี้ได้

ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงเครือข่ายอื่นๆ ซึ่งอยู่นอกเครือข่ายสถาบันฯ อันนับวันก็ยิ่งเกิดขึ้นอย่างหลากหลายและจำนวนมาก ซึ่งไม่อาจถูกนายกฯพระราชทานริบพื้นที่ทางการเมืองซึ่งได้ผ่านการต่อสู้จนเปิดขึ้นเป็นของตนเองไปได้อย่างหน้าตาเฉย และในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมา มีเหตุที่ทำให้จำนวนมากของคนเหล่านี้ เข้าไปอยู่ในเครือข่ายที่ไม่เชื่อมโยงทางอ้อมกับเครือข่ายสถาบันฯอีกต่อไป

ความคิดเรื่องนายกฯพระราชทานจึงยิ่งเป็นความไร้เดียงสาทางการเมืองหนักขึ้นไปอีก

และด้วยเหตุดังนั้น ส่วนใหญ่ของนายกฯพระราชทาน (ตามความหมายในนิยามข้างต้น) จึงไม่ประสบความสำเร็จทางการเมือง และดังนั้นจึงล้มเหลวด้านการบริหารไปพร้อมกัน

ส่วนน้อยของนายกฯพระราชทานที่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องดำเนินกิจการทางการเมืองและการบริหาร ในลักษณะยืดหยุ่นให้เหมาะกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ, สังคม และการเมืองในยุคสมัยที่ตนดำรงตำแหน่ง โดยไม่หวังพึ่งแต่ "บารมี" ของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเดียว และด้วยเหตุดังนั้นจึงไม่มีการ "ปิดเทอม" ทางการเมือง ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ นอกจากไม่ "ปิดเทอม" แล้ว ยังเป็น "เทอม" ที่ต้องปล่อยให้การเมืองของกลุ่มต่างๆ ได้พัฒนาคลี่คลายไปไม่น้อยไปกว่าช่วงสมัยที่นายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง เพียงแต่เหล่านายกฯพระราชทานเหล่านี้ พากันคิดว่าจะสามารถกำกับควบคุมการพัฒนาคลี่คลายได้ระดับหนึ่ง

จะเห็นได้ข้างหน้าว่า นายกฯพระราชทานที่ล้มเหลวที่สุด คือคนที่ไร้เดียงสาจนไป คิดว่าเพียงแต่อาศัยพระบารมีส่วนพระองค์เท่านั้น ก็จะทำให้ "การเมือง" ยุติลงชั่วคราว เพื่อขจัดกวาดล้างบ้านเมืองให้สะอาดบริสุทธิ์จนกลับมาสู่ประชาธิปไตยได้อีก

ตอนต่อไปจะกล่าวถึงนายกฯพระราชทาน (ตามความหมายในนิยามข้างต้น) แต่ละคน เพื่อแสดงให้เห็นความไร้เดียงสาทางการเมืองของความคิดนี้ โดยเฉพาะเมื่อจะนำกลับมาใช้ใน พ.ศ.นี้
Ref : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1301902013&grpid=&catid=02&subcatid=0207 05/04/2011

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

ทางตันและทางออกของชนชั้นนำไทย (1)
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

ผมเดาไม่ออกหรอกว่า ขบวนการเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวอย่างไรในปีนี้ แต่ที่ผมแน่ใจก็คือ เขามีหนทางของเขาอย่างแน่นอน และถ้าดูจากความคึกคัก (ทั้งกิจกรรมและจำนวนผู้เข้าร่วม) ของการเคลื่อนไหว หลังจากการล้อมปราบอย่างป่าเถื่อนในเดือนพฤษภาคม 2553 แล้ว ผมก็แน่ใจด้วยว่าขบวนการเสื้อแดงในปีใหม่นี้ จะไม่อ่อนกำลังลง มีแต่จะเข้มแข็งขึ้น

ส่วนจะผูกพันกับพรรคเพื่อไทยแค่ไหนนั้นเดาไม่ถูก แต่ผมออกจะสงสัยว่า จะผูกพันกันน้อยลงมากกว่ายิ่งเหนียวแน่นขึ้น อย่างน้อยก็เพราะขบวนการเสื้อแดงไม่ต้องอาศัยเครือข่ายของนักการเมือง ในการระดมกำลังเคลื่อนไหว จะเห็นความเป็นอิสระของเสื้อแดงได้ชัด หากย้อนกลับไปคิดถึงการเคลื่อนไหวในระยะแรกๆ ของ นปช.

ตรงกันข้ามกับเสื้อแดง ผมคิดว่าการเมืองของกลุ่มชนชั้นนำกลับหมดทางพลิกแพลง มองไม่เห็นว่าเขาจะเคลื่อนไหวต่อไปอย่างไรมากไปกว่าที่ได้ทำมาแล้วตลอดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา และการณ์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่สามารถนำ "สถานะเดิม" ทางการเมืองกลับมาได้ จนถึงนาทีนี้ ผมยังมองไม่เห็นว่าพวกเขามียุทธวิธีอะไรใหม่ๆ มากไปกว่าเดิม ฉะนั้นในปีใหม่นี้เขาก็คงทำอย่างที่ได้ทำมาแล้ว และล้มเหลวที่จะดึงประเทศไทยกลับไปสู่ "ความมั่นคง" ประเภทที่พวกเขาต้องการได้

กลุ่มชนชั้นนำคาดการณ์ผิดถนัด เมื่อร่วมกันก่อรัฐประหารในปี 2549 การใช้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อเคลื่อนไหวการเมืองบนท้องถนน แม้ทำให้ความไม่พอใจต่อรัฐบาล ทรท.ซึ่งมีคุกรุ่นอยู่แล้วในหมู่คนชั้นกลางระดับบนปรากฏเป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่การรัฐประหารทำความพอใจให้เฉพาะคนกลุ่มนี้ สิ่งที่คาดการณ์ผิดก็คือ ประชาชนในส่วนอื่นจะเฉยชาต่อการรัฐประหารอย่างที่เคยเกิดขึ้น พวกเขากลับรวมตัวกันต่อต้านการรัฐประหาร อย่างช้าๆ แต่ก็หนักแน่นและเพิ่มความเข้มข้นขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งในที่สุดก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลต่อเนื่องกันมาได้ถึงสองชุด

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชนชั้นนำคาดการณ์ผิดก็คือ การเกิดขึ้นและขยายตัวอย่างกว้างขวางของคนชั้นกลางระดับล่าง ซึ่งกระจายไปทั่วแผ่นดิน ทั้งในเขตเมืองและชนบท ไม่ว่าจะมีทักษิณหรือไม่ และไม่ว่าจะมีรัฐธรรมนูญ 2540 หรือไม่ คนกลุ่มนี้ต้องการเปิดพื้นที่ทางการเมืองของตนเอง ต้องการเปลี่ยนสถานะของตนเองจากคนที่ไม่ต้องนับทางการเมือง มาเป็นกลุ่มหนึ่งซึ่งต้อง "นับ" ความสำคัญทางการเมืองไทย เสียงของเขาต้องได้รับการฟัง (และได้ยิน) จากผู้บริหารประเทศ

ช่องทางเดียวที่จะทำให้เสียงของพวกเขาได้ยินคือผ่านหีบบัตรเลือกตั้ง ขอย้ำว่าผ่านหีบบัตรเลือกตั้งไม่ใช่ผ่านการปฏิวัติ อย่าลืมว่า จำนวนไม่น้อยของคนชั้นกลางระดับล่างเหล่านี้ กำลังสะสมทุนขึ้นทีละน้อย มีความฝันที่ไม่แตกต่างจากคนชั้นกลางระดับบนว่า ครอบครัวของเขากำลังไต่ขึ้นบันไดสังคม (อย่างช้าๆ กว่า) แต่ก็กำลังไต่ขึ้น ฉะนั้นจึงไม่คาดหวังให้สังคมไทยวุ่นวายปั่นป่วนเสียจนบันไดที่เขากำลังไต่อยู่นั้นหักลงกลางคัน

แต่ช่องทางเดียวของเขาคือหีบบัตรเลือกตั้งนี่แหละ ที่ถูกกลุ่มชนชั้นนำกระทืบทำลายลง ทั้งโดยการรัฐประหาร, การเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ให้ตัวแทนของเขามีอำนาจน้อยลง, การปลดรัฐบาลของเขาลงจากตำแหน่งด้วยคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ, และจนถึงที่สุดก็คือการใช้อำนาจนอกระบบจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ขึ้น

อันที่จริงหีบบัตรเลือกตั้งไม่ใช่เงื่อนไขเพียงอย่างเดียวของประชาธิปไตยก็จริง แต่ในหมู่คนชั้นกลางระดับล่างซึ่งกำลังพยายามเปิดพื้นที่ทางการเมืองของตนเอง หีบบัตรเป็นช่องทางเดียวที่เป็นไปได้ แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธเสรีภาพของสื่อ, สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ, การประท้วงในที่สาธารณะ และเสรีภาพส่วนบุคคล ฯลฯ แต่ประชาธิปไตยที่เขาคาดหวังว่าจะช่วยให้เสียงของเขาต้องถูกนับในนโยบายระดับชาติ ต้องมีหีบบัตรเลือกตั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คำประกาศของนักวิชาการบางท่านที่คอยย้ำอยู่เสมอว่า การเลือกตั้งไม่ใช่เงื่อนไขเดียวของประชาธิปไตย จึงเป็นการประกาศความจริงที่ไร้บริบท

นับเป็นโชคดีของสังคมไทย ที่คนชั้นกลางระดับล่างซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ-สังคมที่ผ่านมา เรียกร้องเพียงแค่หีบบัตรเลือกตั้ง เพราะหีบบัตรเลือกตั้งเปิดโอกาสให้แก่การต่อรองของทุกฝ่าย โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องรักษากระบวนการประชาธิปไตยไว้ให้เข้มแข็งในสังคมและการเมืองตลอดไป หีบบัตรเลือกตั้งในสังคมประชาธิปไตยจึงไม่เคยให้สิทธิขาดแก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด สามารถจัดการทรัพยากรตามวิถีทางที่เป็นประโยชน์แก่ตนฝ่ายเดียวได้

แม้แต่ รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้รับคะแนนเสียงจากหีบบัตรเลือกตั้งอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้ง ก็ปรากฏจากการวิจัยของนักวิชาการออสเตรเลียคนหนึ่งว่า ในหมู่บ้านของภาคเหนือบางแห่ง คะแนนเสียงของพรรค ทรท.มีขึ้นมีลง และในการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายใน พ.ศ.2549 คะแนนเสียงของพรรคกลับลดลงอย่างมาก ท่ามกลางการรณรงค์ต่อต้านทักษิณในกรุงเทพฯ ซึ่งก็คือหนึ่งในกระบวนการต่อรองที่ประชาธิปไตยอนุญาตให้ทำได้

แต่น่าเสียดายที่ชนชั้นนำไทยซึ่งยึดกุมการเมืองไทยต่อเนื่องกันมาหลายทศวรรษ ต่างขาดความสามารถในการต่อรองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย พวกเขามักง่ายพอที่จะรวมหัวกันใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือ "ตัดบท" แทนที่จะสร้างกระบวนการต่อรองที่มีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้ทำได้ไม่ยากนัก เพราะส่วนใหญ่ของประชากรไทยยังไม่มีเหตุและพลังพอจะอยากมีพื้นที่ทางการเมืองในระดับชาติ การต่อรองจึงกระทำในหมู่ชนชั้นนำด้วยกันเอง พร้อมกับแสวงหาความชอบธรรมจากคนชั้นกลางระดับบนซึ่งถึงอย่างไรก็มีจำนวนน้อย และมีผลประโยชน์ผูกพันเชื่อมโยงกันอยู่กับชนชั้นนำอย่างแนบแน่นอยู่แล้ว

และการต่อรองนั้นก็หาใช่การต่อรองในกระบวนการประชาธิปไตยแต่อย่างใด

แม้กระนั้นก็ยังมีการต่อรองที่ไม่ลงตัว จนเป็นเหตุให้ต้องปะทะกันถึงขั้นนองเลือดมาหลายครั้งแล้ว นับตั้งแต่ พ.ศ.2516 เป็นต้นมา

ค่อนข้างเห็นได้ชัดว่า โอกาสที่ชนชั้นนำจะปรับตัวเพื่อเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ-สังคมที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มีความเป็นไปได้น้อยมาก เพราะพวกเขาขาดประสบการณ์ และที่สำคัญกว่านั้น คือขาดกลไกการต่อรองที่มีประสิทธิภาพในระบอบประชาธิปไตย แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาตกอยู่ในสภาพอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย เพราะเครื่องไม้เครื่องมือที่เคยใช้เพื่อกำกับควบคุมการเมืองอย่างได้ผล กลับกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้งานไม่ได้ไปเป็นส่วนใหญ่

กองทัพอาจทำรัฐประหารเมื่อไรก็ได้ แต่ก็แน่นอนว่ารัฐประหารจะไม่นำความสงบกลับคืนมาได้ การประท้วงต่อต้านอาจแพร่กระจายจนกระทั่งต้องใช้วิธีสังหารหมู่ไปทั่วทุกหัวระแหง อย่างที่ใช้กับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์, บ่อนไก่, อนุสาวรีย์, ฯลฯ ในเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา หรือเกิดภาวะไร้อาญาสิทธิ์กระจายทั่วไปทั้งบนพื้นดิน, คลื่นความถี่, พื้นที่ไซเบอร์, หรือแม้แต่พื้นที่อากาศซึ่งกระสุนฉิวเฉียดผ่านไป ฯลฯ

ภาวะเช่นนี้ย่อมทำลายทั้งผลประโยชน์ทางธุรกิจ และความน่าเชื่อถือกับความชอบธรรมของชนชั้นนำ จนสั่นคลอนโครงสร้างอำนาจถึงขั้นพื้นฐานในระยะยาว (แม้กระนั้นผมก็ไม่ปฏิเสธว่า ชนชั้นนำกลุ่มที่สายตาสั้นอาจเลือกทางนี้)

ตุลาการภิวัตน์ได้ถูกใช้มาจนถึงสุดทางเสียแล้ว ตลอดทางที่ผ่านมาได้ทำลายกระบวนการยุติธรรมของไทยไปจนไม่เหลือชิ้นดี สถาบันที่มีศักยภาพจะนำ "ระเบียบ" กลับคืนมาในยามจำเป็น สูญเสียศักยภาพนั้นไปหมด หากยังขืนใช้ต่อไป ก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับการรัฐประหาร

การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ส่งผลไปสู่คะแนนเสียงมากนัก ภายใต้โครงสร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างร้ายกาจของไทย ผลของการเติบโตทางเศรษฐกิจจึงไม่ได้กระจายไปยังคนส่วนใหญ่ หากกระจุกอยู่กับคนชั้นกลางระดับบน ซึ่งถึงอย่างไรก็เลือก "ระบบ" (the establishment) อยู่แล้ว ในขณะที่คนชั้นกลางระดับล่างไม่รู้สึกตัวว่าได้รับผลดีแต่อย่างไร บรรษัทขนาดใหญ่อาจแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นให้ลูกจ้างระดับบน แต่ไม่สามารถแบ่งปันกำไรแก่แรงงานระดับล่างได้มากนัก คนที่ทำงานในตลาดอีกหลากหลายอาชีพไม่ได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นเพียงพอจะชื่นชมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

การแทรกแซงทางการเมืองของกลุ่มคนที่มีภาวะการนำสูงเด่น หมดความศักดิ์สิทธิ์ไปนานแล้ว อย่างน้อยก็นับตั้งแต่การรัฐประหารใน พ.ศ.2549 เป็นต้นมา ว่ากันที่จริงแล้ว อะไรที่เคยเป็น "อาญาสิทธิ์" ในประเทศไทย ถูกท้าทายจนสูญเสียความชอบธรรมไปจนหมดแล้ว

สื่อกระแสหลักที่ยอมตนอยู่ภายใต้การกำกับของชนชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นทีวี, วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์ สูญเสียอิทธิพลในการชี้นำสังคม สื่อทางเลือกต่างๆ ที่แพร่หลายมากขึ้นตามลำดับ (นับตั้งแต่อินเตอร์เน็ต, ใบปลิว, ข่าวลือ และข่าวซุบซิบ และสื่อต่างประเทศ) ได้พิสูจน์ให้คนไทยจำนวนมาก ทั้งที่เป็นคนชั้นกลางระดับบนและระดับล่างเห็นว่า สื่อกระแสหลักทุกประเภทเชื่อถือไม่ได้ หรือเชื่อถือได้น้อยกว่าเสียงกระซิบข้างหูของคนแปลกหน้าด้วยซ้ำ

และเพราะหมดเครื่องมือใดๆ ในทางการเมือง ชนชั้นนำจึงไม่รู้จะกำกับควบคุมการเมืองไทยต่อไปได้อย่างไร นอกจากการใช้อำนาจดิบ เช่น การปิดเว็บนับหมื่นนับแสน, การแทรกแซงสื่ออย่างใกล้ชิด, การจับกุมคุมขังบุคคลที่คิดว่าจะเป็นอันตรายต่อตน ด้วยกฎหมายซึ่งขาดความชอบธรรม, การอุ้มฆ่า, ฯลฯ แต่ในสังคมอะไรหรือ แม้แต่ในหมู่มนุษย์ถ้ำ ที่อำนาจดิบอย่างเดียวจะสามารถผดุงอาญาสิทธิ์ของผู้ปกครองใดไว้ได้

นอกเสียจากอำนาจดิบ ชนชั้นนำหันไปใช้การปลุกเร้าอุดมการณ์หลักสามประการของรัฐไทย แต่ความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยบังคับให้ต้องนิยามสิ่งที่เรียกว่าสถาบันหลักทั้งสามนี้กันใหม่ และนั่นคือสิ่งที่ชนชั้นนำพยายามหลีกเลี่ยงที่จะทำตลอดมา

การโหมโฆษณาอย่างหนักในช่วงนี้ จึงไม่เกิดผลที่จะทำให้คนเสื้อแดงยุติการผลักดันเพื่อเปิดพื้นที่ทางการเมืองของตนได้ ในทางตรงกันข้าม



กลับอาจทำให้คนชั้นกลางระดับบนซึ่งเป็นพันธมิตรในช่วงนี้ รู้สึกระอาหรือถดถอยความศรัทธาลงไปได้

Ref : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1294659045&grpid=&catid=02&subcatid=0207 11/01/2011