วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554
เลือกตั้ง-ทางเลือกเดียว
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
การเลือกตั้งไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ไม่มีกระบวนการเข้าสู่ตำแหน่งอะไรที่ดีไปกว่าการเลือกตั้ง เพียงแต่ว่าการเลือกตั้งอย่างเดียวไม่พอ... ไม่พอที่จะทำให้สังคมใดเป็นประชาธิปไตย, ไม่พอที่จะแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาซึ่งจะมีผลในระยะยาว รวมทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง, ไม่พอที่จะให้ความชอบธรรมแก่อำนาจได้ตลอดไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การซื้อเสียงเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกตั้งของไทยมาหลายทศวรรษแล้ว (ว่ากันว่าเกิดหรือระบาดอย่างหนักมาแต่ต้นทศวรรษ 2520) แต่อย่าเข้าใจผิดว่า การซื้อเสียงหรือจำนวนเงินที่ซื้อเสียงเป็นปัจจัยชี้ขาดว่าใครจะได้รับเลือกตั้ง
มีงานวิจัยที่ทำโดยบุคคลต่างๆ และองค์กรต่างๆ มาหลายครั้ง และในทุกภาคของประเทศไทย ต่างพบตรงกันว่าปัจจัยสำคัญในส่วนแรกๆ ที่ชาวบ้านใช้ในการตัดสินใจเลือกผู้สมัคร จะวนเวียนกันอยู่ในปัจจัยดังต่อไปนี้คือ ความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือการเข้าถึงได้, พรรคที่ผู้สมัครสังกัด, ความสามารถในการบริหาร, ประสบการณ์ของผู้สมัคร และเงินที่ได้รับแจก ปัจจัยใดจะมาเป็นอันดับหนึ่งอาจแปรเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ แต่ปัจจัยเงิน ไม่เคยมีความสำคัญขึ้นมาเป็นลำดับที่หนึ่งหรือสองเลย
แน่นอนว่า เงินเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญ แต่เงินได้กลายเป็นสัญลักษณ์ว่าผู้สมัคร (หรือที่จริงเครือข่ายหาเสียงของผู้สมัคร) ให้ความสำคัญแก่ชาวบ้านหรือไม่ (ชาวบ้านใช้คำว่ามีน้ำใจต่อกันหรือไม่) สัญลักษณ์นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงิน ผู้สมัครที่สัญญาจะให้มากกว่ากลับแพ้เลือกตั้งเกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่ขึ้นอยู่กับว่าชาวบ้านพอใจกับปัจจัยประการอื่นๆ ที่จะตัดสินใจเลือกผู้สมัครหรือไม่ แจกเงินหรือรับเงินเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ตัดสินใจไปแล้ว เพื่อแสดงน้ำใจเท่านั้น
ฉะนั้นการพูดว่า ส.ส.บ้านนอกล้วนแต่ซื้อเสียงมาทั้งนั้น จึงเป็นการนำข้อเท็จจริงที่ไร้บริบทมากล่าว ด้วยความเขลาหรืออคติก็ตาม แต่ทำให้เกิดข้อสรุปที่ไร้เหตุผลของคนชั้นกลางทั่วไปว่าด้วยเหตุดังนั้น ส.ส.เหล่านั้นจึงไม่ใช่ "ผู้แทนราษฎร" จริง ความเห็นของเขาไม่ต้องฟัง และไม่ต้องมี ส.ส.เช่นนั้น เราก็เป็นประชาธิปไตยได้ เพราะแทนที่จะมีการเลือกตั้ง เรามอบหมายให้คนที่น่าไว้วางใจ เช่น ตุลาการ, คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นพิเศษ ฯลฯ แต่งตั้งบุคคลขึ้นเป็น ส.ส.ก็ได้
ความเข้าใจผิดหรือความเข้าใจอย่างฉาบฉวยเกี่ยวกับการเลือกตั้ง (โดยเฉพาะนอกเขตเมืองใหญ่) ทำให้คนชั้นกลางไทยจำนวนมาก โน้มเอียงไปสู่ความเชื่อมั่นในการแต่งตั้งมากกว่าการเลือกตั้ง
นี่เป็นทั้งโมหาคติและโลภาคติ
โมหาคติก็เพราะรู้ไม่จริงดังที่กล่าวแล้ว
โลภาคติก็เพราะรู้อยู่แล้วว่า บุคคลที่ได้รับ "แต่งตั้ง" คือคนที่มีผลประโยชน์, โลกทรรศน์ และฉันทาคติทางการเมืองอย่างเดียวกับตัว
ดังนั้น หากสภาเต็มไปด้วย ส.ส.แต่งตั้ง ก็จะมี "ผู้แทน" ฝ่ายตัวอยู่หนาแน่นในสภา ย่อมปกป้องผลประโยชน์และจุดยืนของตนได้ดีกว่าสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
ความไม่พร้อมจะอยู่อย่างประนีประนอมผลประโยชน์และโลกทรรศน์อันหลากหลายของสังคม-เขาได้บ้าง แต่เราไม่เสียเกินไป หรือเราได้บ้าง แต่เขาไม่เสียเกินไป-ทำให้คนชั้นกลางระดับกลางและสูงของไทยในปัจจุบัน เป็นศัตรูตัวฉกาจของระบอบประชาธิปไตย
บัดนี้ การชิงอำนาจระหว่างชนชั้นนำด้วยกันเอง ได้อาศัยโมหาคติและโลภาคติของคนชั้นกลางนี้ปลุกปั่นให้ "ปิดเทอม" ทางการเมือง ด้วยข้ออ้างว่าการเลือกตั้งจะไม่แก้ปัญหาอะไร ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องพิสูจน์ว่าการ "ปิดเทอม" และการแต่งตั้งจะแก้ปัญหาอะไรได้ เป็นการพูดเอาแต่ฝ่ายเดียว เพราะรู้อยู่แล้วว่าโมหาคติและโลภาคติของคนชั้นกลางระดับกลางและสูงจะไม่ทำให้ผู้ฟังตั้งคำถามในเชิงกลับกันดังกล่าว
คิดกันโดยปราศจากโมหาคติและโลภาคติ การเลือกตั้งก็ตาม การแต่งตั้งก็ตาม ย่อมไม่แก้ปัญหาอะไรทั้งนั้น เพราะการเลือกตั้งหรือการแต่งตั้งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตัดสินใจ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งหรือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้ง มีโอกาสจะเข้าใจปัญหาผิดหรือถูกได้เท่าๆ กัน, ตัดสินใจเลือกทางแก้ผิดหรือถูกได้เท่าๆ กัน, ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวได้เท่าๆ กัน
จะเลือกตั้งดี หรือจะแต่งตั้งดี จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาทั้งคู่ แต่เป็นการเลือกว่าจะใช้กระบวนการอะไรในการตัดสินใจแก้ปัญหา
ฉะนั้นถ้าจะเปรียบเทียบวิธีการทั้งสอง ก็ต้องเปรียบเทียบกระบวนการตัดสินใจภายใต้วิธีการทั้งสอง ไม่ใช่ไปสรุปเอาเองว่าการเลือกตั้งจะแก้ปัญหาด้วยแนวทางนี้ และการแต่งตั้งจะแก้ปัญหาด้วยวิธีการนี้ (น่าสังเกตด้วยว่า ม็อบที่เสนอให้ "ปิดเทอม" ไม่เคยบอกว่า การแต่งตั้งจะแก้ปัญหาอย่างไร แม้แต่ระบุว่าอะไรคือปัญหาก็ยังไม่ชัดด้วยซ้ำ มีแต่การปลุกระดมให้วางใจและศรัทธาต่อบุคคลอย่างมืดบอดเท่านั้น)
สิ่งที่ต่างกันอย่างสำคัญในวิธีการทั้งสองคือ กระบวนการตัดสินใจว่าใช้แนวทางอะไรในแก้ปัญหาต่างหาก
การเลือกตั้งนำมาซึ่งเวทีเปิด ไม่เฉพาะแต่ผ่านหีบบัตรเลือกตั้งเท่านั้น แต่รวมถึงการเคลื่อนไหวในภาคสังคมต่างๆ นับตั้งแต่การผลักดัน, ควบคุม, กรั่นกรอง ผ่านสื่อที่ต้องเป็นอิสระเสรีจริง, ผ่านการให้สัมภาษณ์ของบุคคล, ผ่านรายการสนทนาทางทีวีหรือสื่ออื่น, ผ่านการรวมกลุ่มเพื่อส่งความเห็นของกลุ่มแก่สังคมในวงกว้าง, ผ่านการประชุมทั้งในเชิงวิชาการและเชิงการเมือง และแน่นอนผ่านการชุมนุมด้วย เป็นเวทีเปิดที่คนทุกกลุ่ม ตั้งแต่นายทุนขนาดใหญ่, ผู้ประกอบการรายย่อย, ไปจนถึงชาวบ้านธรรมดา และคนชั้นกลางระดับกลางและสูงทั่วไป
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สังคมทั้งหมดสามารถเข้ามาร่วมกันแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย, ขัดแย้งกันอย่างเปิดเผย และเลือกจะประนีประนอมกันได้ในประเด็นต่างๆ อย่างเปิดเผย ทั้งหมดนี้ทำกันได้บนเวทีสาธารณะซึ่งมีหลายรูปแบบดังที่กล่าวแล้ว ยิ่งเราสามารถยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่ปิดกั้นการแสดงความเห็นอย่างอิสระเสรีลง เวทีเปิดของสังคมก็จะยิ่งผลิตความเห็นและทางเลือกนานาชนิดได้มโหฬาร
ความคิดความเห็นเหล่านี้ ย่อมมีผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่มแทรกอยู่ด้วย ทั้งที่ผู้เสนออาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว แต่ไม่มีความคิดความเห็นใดๆ หรอกที่ปลอดจากอคติอย่างใดอย่างหนึ่งโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นจากใครก็ตาม ยิ่งไปคิดว่าความคิดเห็นของบางคนบางกลุ่มย่อมบริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อนด้วยอคติส่วนตัว กลับยิ่งมีอันตรายมากกว่า เพราะทำให้ไม่ใช้วิจารณญาณ
ตรงกันข้ามกับบนเวทีเปิดที่ทุกเสียงมีค่าเท่าๆ กัน ทุกคนย่อมระแวงอยู่แล้วว่าความคิดเห็นหนึ่งๆ ย่อมเจือปนด้วยอคติและผลประโยชน์ส่วนตัว ต่างฝ่ายก็จะใช้วิจารณญาณอย่างรัดกุม ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างรู้ว่า ไม่มีความคิดเห็นของใครจะผ่านไปได้เต็มร้อย ทุกฝ่ายจึงพร้อมจะประนีประนอมกับฝ่ายอื่น
จนในที่สุดก็จะได้ความคิดเห็นที่อาจไม่ใช่ดีที่สุด แต่ "เป็นไปได้" ที่สุด ตรงกับชีวิตจริงของทุกคน คือเราต่างมีชีวิตอยู่ในโลกที่เป็น "เป็นไปได้" ที่สุด ไม่ใช่ "ดี" ที่สุด
นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะซื้อเสียงมามากน้อยเพียงไร ก็ต้องจำนนต่อความคิดเห็นที่ลงตัวจนกลายเป็นเสียงเรียกร้องจากเวทีเปิดทั้งนั้น
นี่คืออำนาจและโอกาสของการต่อรอง ที่กระจายไปยังคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมอย่างเท่าเทียมกัน การต่อรองไม่ได้เป็นเพียงพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น แต่การต่อรองยังเป็นพื้นฐานสำคัญสุดของการมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคมทุกชนิด
ปัญหาต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่ในสังคมไทยเวลานี้ ไม่มีใครแก้ให้ได้ นอกจากสังคมไทยเอง ดังนั้น กระบวนการที่จะนำไปสู่แนวทางแก้ปัญหาจึงมีความสำคัญเสียยิ่งกว่าตัวแนวทางเองเสียอีก กระบวนการที่ปิดกั้นกีดกันสังคมออกไปเช่นการแต่งตั้งในภาวะ "ปิดเทอม" จะไม่อาจแก้ปัญหาได้เลยอย่างแน่นอน
การเมืองจะ "ปิดเทอม" จนใช้การแต่งตั้งได้ ก็ต้องอาศัยอำนาจนอกระบบ รัฐประหาร 19 ก.ย.49 ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ในเมืองไทยเวลานี้ไม่เหลืออำนาจนอกระบบใดๆ ที่จะสามารถให้ความชอบธรรมแก่การรัฐประหารได้ (ไม่ว่าจะเป็นรัฐประหารดังๆ หรือรัฐประหารเงียบ) และเพราะขาดความชอบธรรมอันเป็นที่ยอมรับ ก็ยิ่งต้องใช้อำนาจดิบ (ทั้งที่ผ่านหรือไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม)
ยิ่งใช้อำนาจดิบ ก็ยิ่งขาดความชอบธรรม ยิ่งขาดความชอบธรรม อำนาจที่ใช้ก็ยิ่งดิบมากขึ้น เป็นวัฏจักรทำลายตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นสุดลง ณ จุดใดจุดหนึ่ง อันมีความเป็นไปได้มากว่าเป็นจุดที่เลือดนองแผ่นดิน
ดังนั้น กระบวนการต่อรองอย่างเปิด เพื่อให้ทุกกลุ่มเข้ามาร่วมในการตัดสินใจเลือกแนวทางแก้ปัญหาจึงเกิดขึ้นไม่ได้ แนวทางการแก้ปัญหามาจากการตัดสินใจเลือกของอำนาจล้วนๆ ถึงอำนาจนั้นจะหาพันธมิตรมาได้มากสักเพียงไร ก็ยังเป็นคนส่วนน้อยของสังคมอยู่นั่นเอง เช่น ทหาร, ข้าราชการพลเรือนและเทคโนแครต, นายธนาคาร, นักธุรกิจขนาดใหญ่ และนักวิชาการบางกลุ่ม ไม่รวมแม้แต่คนชั้นกลางระดับกลางทั่วไปด้วยซ้ำ ไม่พักต้องพูดถึงคนชั้นกลางระดับล่างตามหัวเมืองทั่วประเทศ และคนชั้นล่างทั่วไป
แนวทางการแก้ปัญหาที่มาจากกระบวนการตัดสินใจแบบนี้ย่อมไม่อาจนำมาซึ่งแนวทางที่ "เป็นไปได้" อย่างแน่นอน ยิ่ง "เป็นไปได้" น้อย ก็ยิ่งต้องใช้อำนาจมาก ความชอบธรรมของผู้ได้รับการแต่งตั้งก็ไม่มี ซ้ำความชอบธรรมของแนวทางก็ยิ่งไม่มี จะเหลืออะไรในสังคมอีกเล่า นอกจากแตกแยกกันหนักมากขึ้น และหลีกไม่พ้นที่จะต้องยกกำลังมาเข่นฆ่ากัน (ซึ่งผู้ต่อต้านก็คงไม่โง่พอจะยกกำลังมาให้ฆ่าทิ้งที่สี่แยกใดในกรุงเทพฯ อีกแล้ว)
ยังจะเหลือพื้นที่สำหรับการดำเนินธุรกิจ หรือดำเนินชีวิตไปตามปกติและตามความใฝ่ฝันของแต่ละคนอีกหรือ
นายทุน, นักธุรกิจ และคนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป ถึงท่านไม่ศรัทธากับระบอบประชาธิปไตย และไม่คิดเป็นหัวหอกของพลังประชาธิปไตยในสังคมไทย แต่ท่านควรมีหัวคิด อย่างน้อยก็มีหัวคิดพอจะมองเห็นว่า ประโยชน์ของท่านอยู่ที่ไหนกันแน่
ref : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1303129342&grpid=&catid=02&subcatid=0207 19/04/2011
การเลือกตั้งไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ไม่มีกระบวนการเข้าสู่ตำแหน่งอะไรที่ดีไปกว่าการเลือกตั้ง เพียงแต่ว่าการเลือกตั้งอย่างเดียวไม่พอ... ไม่พอที่จะทำให้สังคมใดเป็นประชาธิปไตย, ไม่พอที่จะแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาซึ่งจะมีผลในระยะยาว รวมทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง, ไม่พอที่จะให้ความชอบธรรมแก่อำนาจได้ตลอดไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การซื้อเสียงเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกตั้งของไทยมาหลายทศวรรษแล้ว (ว่ากันว่าเกิดหรือระบาดอย่างหนักมาแต่ต้นทศวรรษ 2520) แต่อย่าเข้าใจผิดว่า การซื้อเสียงหรือจำนวนเงินที่ซื้อเสียงเป็นปัจจัยชี้ขาดว่าใครจะได้รับเลือกตั้ง
มีงานวิจัยที่ทำโดยบุคคลต่างๆ และองค์กรต่างๆ มาหลายครั้ง และในทุกภาคของประเทศไทย ต่างพบตรงกันว่าปัจจัยสำคัญในส่วนแรกๆ ที่ชาวบ้านใช้ในการตัดสินใจเลือกผู้สมัคร จะวนเวียนกันอยู่ในปัจจัยดังต่อไปนี้คือ ความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือการเข้าถึงได้, พรรคที่ผู้สมัครสังกัด, ความสามารถในการบริหาร, ประสบการณ์ของผู้สมัคร และเงินที่ได้รับแจก ปัจจัยใดจะมาเป็นอันดับหนึ่งอาจแปรเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ แต่ปัจจัยเงิน ไม่เคยมีความสำคัญขึ้นมาเป็นลำดับที่หนึ่งหรือสองเลย
แน่นอนว่า เงินเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญ แต่เงินได้กลายเป็นสัญลักษณ์ว่าผู้สมัคร (หรือที่จริงเครือข่ายหาเสียงของผู้สมัคร) ให้ความสำคัญแก่ชาวบ้านหรือไม่ (ชาวบ้านใช้คำว่ามีน้ำใจต่อกันหรือไม่) สัญลักษณ์นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงิน ผู้สมัครที่สัญญาจะให้มากกว่ากลับแพ้เลือกตั้งเกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่ขึ้นอยู่กับว่าชาวบ้านพอใจกับปัจจัยประการอื่นๆ ที่จะตัดสินใจเลือกผู้สมัครหรือไม่ แจกเงินหรือรับเงินเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ตัดสินใจไปแล้ว เพื่อแสดงน้ำใจเท่านั้น
ฉะนั้นการพูดว่า ส.ส.บ้านนอกล้วนแต่ซื้อเสียงมาทั้งนั้น จึงเป็นการนำข้อเท็จจริงที่ไร้บริบทมากล่าว ด้วยความเขลาหรืออคติก็ตาม แต่ทำให้เกิดข้อสรุปที่ไร้เหตุผลของคนชั้นกลางทั่วไปว่าด้วยเหตุดังนั้น ส.ส.เหล่านั้นจึงไม่ใช่ "ผู้แทนราษฎร" จริง ความเห็นของเขาไม่ต้องฟัง และไม่ต้องมี ส.ส.เช่นนั้น เราก็เป็นประชาธิปไตยได้ เพราะแทนที่จะมีการเลือกตั้ง เรามอบหมายให้คนที่น่าไว้วางใจ เช่น ตุลาการ, คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นพิเศษ ฯลฯ แต่งตั้งบุคคลขึ้นเป็น ส.ส.ก็ได้
ความเข้าใจผิดหรือความเข้าใจอย่างฉาบฉวยเกี่ยวกับการเลือกตั้ง (โดยเฉพาะนอกเขตเมืองใหญ่) ทำให้คนชั้นกลางไทยจำนวนมาก โน้มเอียงไปสู่ความเชื่อมั่นในการแต่งตั้งมากกว่าการเลือกตั้ง
นี่เป็นทั้งโมหาคติและโลภาคติ
โมหาคติก็เพราะรู้ไม่จริงดังที่กล่าวแล้ว
โลภาคติก็เพราะรู้อยู่แล้วว่า บุคคลที่ได้รับ "แต่งตั้ง" คือคนที่มีผลประโยชน์, โลกทรรศน์ และฉันทาคติทางการเมืองอย่างเดียวกับตัว
ดังนั้น หากสภาเต็มไปด้วย ส.ส.แต่งตั้ง ก็จะมี "ผู้แทน" ฝ่ายตัวอยู่หนาแน่นในสภา ย่อมปกป้องผลประโยชน์และจุดยืนของตนได้ดีกว่าสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
ความไม่พร้อมจะอยู่อย่างประนีประนอมผลประโยชน์และโลกทรรศน์อันหลากหลายของสังคม-เขาได้บ้าง แต่เราไม่เสียเกินไป หรือเราได้บ้าง แต่เขาไม่เสียเกินไป-ทำให้คนชั้นกลางระดับกลางและสูงของไทยในปัจจุบัน เป็นศัตรูตัวฉกาจของระบอบประชาธิปไตย
บัดนี้ การชิงอำนาจระหว่างชนชั้นนำด้วยกันเอง ได้อาศัยโมหาคติและโลภาคติของคนชั้นกลางนี้ปลุกปั่นให้ "ปิดเทอม" ทางการเมือง ด้วยข้ออ้างว่าการเลือกตั้งจะไม่แก้ปัญหาอะไร ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องพิสูจน์ว่าการ "ปิดเทอม" และการแต่งตั้งจะแก้ปัญหาอะไรได้ เป็นการพูดเอาแต่ฝ่ายเดียว เพราะรู้อยู่แล้วว่าโมหาคติและโลภาคติของคนชั้นกลางระดับกลางและสูงจะไม่ทำให้ผู้ฟังตั้งคำถามในเชิงกลับกันดังกล่าว
คิดกันโดยปราศจากโมหาคติและโลภาคติ การเลือกตั้งก็ตาม การแต่งตั้งก็ตาม ย่อมไม่แก้ปัญหาอะไรทั้งนั้น เพราะการเลือกตั้งหรือการแต่งตั้งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตัดสินใจ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งหรือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้ง มีโอกาสจะเข้าใจปัญหาผิดหรือถูกได้เท่าๆ กัน, ตัดสินใจเลือกทางแก้ผิดหรือถูกได้เท่าๆ กัน, ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวได้เท่าๆ กัน
จะเลือกตั้งดี หรือจะแต่งตั้งดี จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาทั้งคู่ แต่เป็นการเลือกว่าจะใช้กระบวนการอะไรในการตัดสินใจแก้ปัญหา
ฉะนั้นถ้าจะเปรียบเทียบวิธีการทั้งสอง ก็ต้องเปรียบเทียบกระบวนการตัดสินใจภายใต้วิธีการทั้งสอง ไม่ใช่ไปสรุปเอาเองว่าการเลือกตั้งจะแก้ปัญหาด้วยแนวทางนี้ และการแต่งตั้งจะแก้ปัญหาด้วยวิธีการนี้ (น่าสังเกตด้วยว่า ม็อบที่เสนอให้ "ปิดเทอม" ไม่เคยบอกว่า การแต่งตั้งจะแก้ปัญหาอย่างไร แม้แต่ระบุว่าอะไรคือปัญหาก็ยังไม่ชัดด้วยซ้ำ มีแต่การปลุกระดมให้วางใจและศรัทธาต่อบุคคลอย่างมืดบอดเท่านั้น)
สิ่งที่ต่างกันอย่างสำคัญในวิธีการทั้งสองคือ กระบวนการตัดสินใจว่าใช้แนวทางอะไรในแก้ปัญหาต่างหาก
การเลือกตั้งนำมาซึ่งเวทีเปิด ไม่เฉพาะแต่ผ่านหีบบัตรเลือกตั้งเท่านั้น แต่รวมถึงการเคลื่อนไหวในภาคสังคมต่างๆ นับตั้งแต่การผลักดัน, ควบคุม, กรั่นกรอง ผ่านสื่อที่ต้องเป็นอิสระเสรีจริง, ผ่านการให้สัมภาษณ์ของบุคคล, ผ่านรายการสนทนาทางทีวีหรือสื่ออื่น, ผ่านการรวมกลุ่มเพื่อส่งความเห็นของกลุ่มแก่สังคมในวงกว้าง, ผ่านการประชุมทั้งในเชิงวิชาการและเชิงการเมือง และแน่นอนผ่านการชุมนุมด้วย เป็นเวทีเปิดที่คนทุกกลุ่ม ตั้งแต่นายทุนขนาดใหญ่, ผู้ประกอบการรายย่อย, ไปจนถึงชาวบ้านธรรมดา และคนชั้นกลางระดับกลางและสูงทั่วไป
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สังคมทั้งหมดสามารถเข้ามาร่วมกันแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย, ขัดแย้งกันอย่างเปิดเผย และเลือกจะประนีประนอมกันได้ในประเด็นต่างๆ อย่างเปิดเผย ทั้งหมดนี้ทำกันได้บนเวทีสาธารณะซึ่งมีหลายรูปแบบดังที่กล่าวแล้ว ยิ่งเราสามารถยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่ปิดกั้นการแสดงความเห็นอย่างอิสระเสรีลง เวทีเปิดของสังคมก็จะยิ่งผลิตความเห็นและทางเลือกนานาชนิดได้มโหฬาร
ความคิดความเห็นเหล่านี้ ย่อมมีผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่มแทรกอยู่ด้วย ทั้งที่ผู้เสนออาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว แต่ไม่มีความคิดความเห็นใดๆ หรอกที่ปลอดจากอคติอย่างใดอย่างหนึ่งโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นจากใครก็ตาม ยิ่งไปคิดว่าความคิดเห็นของบางคนบางกลุ่มย่อมบริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อนด้วยอคติส่วนตัว กลับยิ่งมีอันตรายมากกว่า เพราะทำให้ไม่ใช้วิจารณญาณ
ตรงกันข้ามกับบนเวทีเปิดที่ทุกเสียงมีค่าเท่าๆ กัน ทุกคนย่อมระแวงอยู่แล้วว่าความคิดเห็นหนึ่งๆ ย่อมเจือปนด้วยอคติและผลประโยชน์ส่วนตัว ต่างฝ่ายก็จะใช้วิจารณญาณอย่างรัดกุม ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างรู้ว่า ไม่มีความคิดเห็นของใครจะผ่านไปได้เต็มร้อย ทุกฝ่ายจึงพร้อมจะประนีประนอมกับฝ่ายอื่น
จนในที่สุดก็จะได้ความคิดเห็นที่อาจไม่ใช่ดีที่สุด แต่ "เป็นไปได้" ที่สุด ตรงกับชีวิตจริงของทุกคน คือเราต่างมีชีวิตอยู่ในโลกที่เป็น "เป็นไปได้" ที่สุด ไม่ใช่ "ดี" ที่สุด
นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะซื้อเสียงมามากน้อยเพียงไร ก็ต้องจำนนต่อความคิดเห็นที่ลงตัวจนกลายเป็นเสียงเรียกร้องจากเวทีเปิดทั้งนั้น
นี่คืออำนาจและโอกาสของการต่อรอง ที่กระจายไปยังคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมอย่างเท่าเทียมกัน การต่อรองไม่ได้เป็นเพียงพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น แต่การต่อรองยังเป็นพื้นฐานสำคัญสุดของการมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคมทุกชนิด
ปัญหาต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่ในสังคมไทยเวลานี้ ไม่มีใครแก้ให้ได้ นอกจากสังคมไทยเอง ดังนั้น กระบวนการที่จะนำไปสู่แนวทางแก้ปัญหาจึงมีความสำคัญเสียยิ่งกว่าตัวแนวทางเองเสียอีก กระบวนการที่ปิดกั้นกีดกันสังคมออกไปเช่นการแต่งตั้งในภาวะ "ปิดเทอม" จะไม่อาจแก้ปัญหาได้เลยอย่างแน่นอน
การเมืองจะ "ปิดเทอม" จนใช้การแต่งตั้งได้ ก็ต้องอาศัยอำนาจนอกระบบ รัฐประหาร 19 ก.ย.49 ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ในเมืองไทยเวลานี้ไม่เหลืออำนาจนอกระบบใดๆ ที่จะสามารถให้ความชอบธรรมแก่การรัฐประหารได้ (ไม่ว่าจะเป็นรัฐประหารดังๆ หรือรัฐประหารเงียบ) และเพราะขาดความชอบธรรมอันเป็นที่ยอมรับ ก็ยิ่งต้องใช้อำนาจดิบ (ทั้งที่ผ่านหรือไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม)
ยิ่งใช้อำนาจดิบ ก็ยิ่งขาดความชอบธรรม ยิ่งขาดความชอบธรรม อำนาจที่ใช้ก็ยิ่งดิบมากขึ้น เป็นวัฏจักรทำลายตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นสุดลง ณ จุดใดจุดหนึ่ง อันมีความเป็นไปได้มากว่าเป็นจุดที่เลือดนองแผ่นดิน
ดังนั้น กระบวนการต่อรองอย่างเปิด เพื่อให้ทุกกลุ่มเข้ามาร่วมในการตัดสินใจเลือกแนวทางแก้ปัญหาจึงเกิดขึ้นไม่ได้ แนวทางการแก้ปัญหามาจากการตัดสินใจเลือกของอำนาจล้วนๆ ถึงอำนาจนั้นจะหาพันธมิตรมาได้มากสักเพียงไร ก็ยังเป็นคนส่วนน้อยของสังคมอยู่นั่นเอง เช่น ทหาร, ข้าราชการพลเรือนและเทคโนแครต, นายธนาคาร, นักธุรกิจขนาดใหญ่ และนักวิชาการบางกลุ่ม ไม่รวมแม้แต่คนชั้นกลางระดับกลางทั่วไปด้วยซ้ำ ไม่พักต้องพูดถึงคนชั้นกลางระดับล่างตามหัวเมืองทั่วประเทศ และคนชั้นล่างทั่วไป
แนวทางการแก้ปัญหาที่มาจากกระบวนการตัดสินใจแบบนี้ย่อมไม่อาจนำมาซึ่งแนวทางที่ "เป็นไปได้" อย่างแน่นอน ยิ่ง "เป็นไปได้" น้อย ก็ยิ่งต้องใช้อำนาจมาก ความชอบธรรมของผู้ได้รับการแต่งตั้งก็ไม่มี ซ้ำความชอบธรรมของแนวทางก็ยิ่งไม่มี จะเหลืออะไรในสังคมอีกเล่า นอกจากแตกแยกกันหนักมากขึ้น และหลีกไม่พ้นที่จะต้องยกกำลังมาเข่นฆ่ากัน (ซึ่งผู้ต่อต้านก็คงไม่โง่พอจะยกกำลังมาให้ฆ่าทิ้งที่สี่แยกใดในกรุงเทพฯ อีกแล้ว)
ยังจะเหลือพื้นที่สำหรับการดำเนินธุรกิจ หรือดำเนินชีวิตไปตามปกติและตามความใฝ่ฝันของแต่ละคนอีกหรือ
นายทุน, นักธุรกิจ และคนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป ถึงท่านไม่ศรัทธากับระบอบประชาธิปไตย และไม่คิดเป็นหัวหอกของพลังประชาธิปไตยในสังคมไทย แต่ท่านควรมีหัวคิด อย่างน้อยก็มีหัวคิดพอจะมองเห็นว่า ประโยชน์ของท่านอยู่ที่ไหนกันแน่
ref : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1303129342&grpid=&catid=02&subcatid=0207 19/04/2011
ประชาธิปไตยที่ถูกควบคุม
ประชาธิปไตยที่ถูกควบคุม
โดย นฤตย์ เสกธีระ max@matichon.co.th
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 18 เมษายน 2554)
สมัยเด็กเคยเลือกหัวหน้าห้องกันไหมครับ ?
การเลือกหัวหน้าห้อง หรือ หัวหน้าชั้น เป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จักระบอบประชาธิปไตย
วิธีง่ายๆ ที่ทำคือ ให้นักเรียนในห้องเสนอชื่อเพื่อนที่ตัวเองสนับสนุน จากนั้นก็ให้นักเรียนในห้องลงคะแนนเลือกใครเป็นหัวหน้า
คนที่ได้คะแนนมากที่สุดได้เป็นหัวหน้า ส่วนคนที่ได้คะแนนรองลงมา รับตำแหน่งรองหัวหน้าห้องไป
นักเรียนที่เป็นหัวหน้ากับรองหัวหน้าก็ทำงานช่วยเหลือกันดี
นักเรียนกลุ่มที่เสนอชื่อเพื่อนทั้งสองชื่อก็สมัครสมานสามัคคีกันดี
วิธีการแบบนี้กลายเป็นประชาธิปไตยในห้องเรียน
ทีนี้เราก็เอาวิธีการในห้องเรียนมาใช้กับประเทศไทยบ้าง
เปลี่ยนจากเลือกหัวหน้าห้องมาเป็นเลือกนายกรัฐมนตรี
เราพบว่า ระบอบประชาธิปไตยในห้องกับระบอบประชาธิปไตยของประเทศแตกต่างกัน
แม้ขั้นตอนแรกจะเหมือนกันคือ ให้คนไทยเสนอชื่อคนไทยให้คนไทยเลือก
เหมือนกับให้นักเรียนเสนอชื่อนักเรียนให้นักเรียนเลือก
แต่ขั้นตอนหลังจากนั้นเริ่มห่างไกลจากประชาธิปไตยในห้องเรียนไปเรื่อยๆ
เหตุที่ห่างไกลไปเรื่อยๆ เพราะ "ครู" แทนที่จะทำหน้าที่ดูแลกระบวนการทุกอย่างให้เป็นประชาธิปไตย กลับพยายามเข้ามาแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตย
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจาก "ครู" เริ่มไม่ไว้วางใจ "นักเรียน" เสียแล้ว
บทบาทของ "ครู" เปลี่ยนแปลงกลายเป็น "ผู้คุม"
วันนี้ กลายเป็นว่า ทุกๆ การตัดสินใจของคนไทยจะต้องมี "ผู้คุม" คอยถือไม้เรียวกำกับ
การสรรหาตัวบุคคลที่จะแข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องผ่านความเห็นชอบของ "ผู้คุม" เสียก่อน
พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหาอะไร เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น "ผู้คุม" ยอมรับในฝีไม้ลายมือ
พรรรคขนาดกลางและขนาดย่อมอื่นๆ จะทำอะไรก็ต้องอยู่ในสายตาของ "ผู้คุม" คนเดียวกัน
หลายพรรคเช่น ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา เพื่อแผ่นดิน รวมชาติพัฒนา ฯลฯ แม้บางครั้งจะไม่พอใจพรรคประชาธิปัตย์
แต่ก็เกรงใจ "ผู้คุม" ไม่กล้าหือ
ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้นซวยกว่า เพราะมี "ผู้คุม" มากกว่า 1 คน
คนแรกอยู่ต่างประเทศ คอยกำหนดทุกอย่าง ทั้งนโยบายพรรค ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ลำดับของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ไปจนถึงกฎกติกา เช่น ต้องเขียนใบลาออกทิ้งเอาไว้ล่วงหน้า เป็นต้น
อีกคนหนึ่งอยู่ในประเทศ เป็นคนๆ เดียวกับที่คุมพรรคการเมืองอื่นๆ อยู่
"ผู้คุม" คนแรก กับ "ผู้คุม" คนหลังนี้ไม่ถูกกัน ทำให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยลำบาก เพราะไม่รู้จะเลือกใครที่ถูกใจ "ผู้คุม" ทั้งสองคน
ก่อนหน้านี้ก็เคยตามใจ "ผู้คุม" จากต่างประเทศ ผลักดันคุณสมัคร สุนทรเวช ผลักดันคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์
แต่ทั้ง "สมัคร" และ "สมชาย" ก็พลัดตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
แถมพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นที่อยู่ตอนนั้นก็พลอยถูกยุบไปอีก
เลือกตั้งคราวนี้ก็กะว่า ถ้าพบปะใครที่สมควรผลักดันเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องถาม "ผู้คุม" ในประเทศด้วยว่าเห็นชอบหรือไม่
คะเนดูว่า ถ้า "ผู้คุม" "อนุมัติ" ก็จะส่งคนนั้นเข้าประกวด
แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครที่ "ผู้คุม" ทั้งสองคนเห็นพ้องว่าสามารถเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับประเทศไทยได้
ทำไปทำมา สู้กันไปสู้กันมา ประชาชนเจ็บดับกันมามากมาย
แต่สุดท้ายประชาธิปไตยที่ควรจะอยู่ที่ประชาชน กลับตกอยู่ในมือของ "ผู้คุม"
กลายเป็นประชาธิปไตยที่ถูกควบคุมไปฉิบ
ref : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1303128908&grpid=&catid=02&subcatid=0207 19/04/2011
โดย นฤตย์ เสกธีระ max@matichon.co.th
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 18 เมษายน 2554)
สมัยเด็กเคยเลือกหัวหน้าห้องกันไหมครับ ?
การเลือกหัวหน้าห้อง หรือ หัวหน้าชั้น เป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จักระบอบประชาธิปไตย
วิธีง่ายๆ ที่ทำคือ ให้นักเรียนในห้องเสนอชื่อเพื่อนที่ตัวเองสนับสนุน จากนั้นก็ให้นักเรียนในห้องลงคะแนนเลือกใครเป็นหัวหน้า
คนที่ได้คะแนนมากที่สุดได้เป็นหัวหน้า ส่วนคนที่ได้คะแนนรองลงมา รับตำแหน่งรองหัวหน้าห้องไป
นักเรียนที่เป็นหัวหน้ากับรองหัวหน้าก็ทำงานช่วยเหลือกันดี
นักเรียนกลุ่มที่เสนอชื่อเพื่อนทั้งสองชื่อก็สมัครสมานสามัคคีกันดี
วิธีการแบบนี้กลายเป็นประชาธิปไตยในห้องเรียน
ทีนี้เราก็เอาวิธีการในห้องเรียนมาใช้กับประเทศไทยบ้าง
เปลี่ยนจากเลือกหัวหน้าห้องมาเป็นเลือกนายกรัฐมนตรี
เราพบว่า ระบอบประชาธิปไตยในห้องกับระบอบประชาธิปไตยของประเทศแตกต่างกัน
แม้ขั้นตอนแรกจะเหมือนกันคือ ให้คนไทยเสนอชื่อคนไทยให้คนไทยเลือก
เหมือนกับให้นักเรียนเสนอชื่อนักเรียนให้นักเรียนเลือก
แต่ขั้นตอนหลังจากนั้นเริ่มห่างไกลจากประชาธิปไตยในห้องเรียนไปเรื่อยๆ
เหตุที่ห่างไกลไปเรื่อยๆ เพราะ "ครู" แทนที่จะทำหน้าที่ดูแลกระบวนการทุกอย่างให้เป็นประชาธิปไตย กลับพยายามเข้ามาแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตย
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจาก "ครู" เริ่มไม่ไว้วางใจ "นักเรียน" เสียแล้ว
บทบาทของ "ครู" เปลี่ยนแปลงกลายเป็น "ผู้คุม"
วันนี้ กลายเป็นว่า ทุกๆ การตัดสินใจของคนไทยจะต้องมี "ผู้คุม" คอยถือไม้เรียวกำกับ
การสรรหาตัวบุคคลที่จะแข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องผ่านความเห็นชอบของ "ผู้คุม" เสียก่อน
พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหาอะไร เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น "ผู้คุม" ยอมรับในฝีไม้ลายมือ
พรรรคขนาดกลางและขนาดย่อมอื่นๆ จะทำอะไรก็ต้องอยู่ในสายตาของ "ผู้คุม" คนเดียวกัน
หลายพรรคเช่น ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา เพื่อแผ่นดิน รวมชาติพัฒนา ฯลฯ แม้บางครั้งจะไม่พอใจพรรคประชาธิปัตย์
แต่ก็เกรงใจ "ผู้คุม" ไม่กล้าหือ
ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้นซวยกว่า เพราะมี "ผู้คุม" มากกว่า 1 คน
คนแรกอยู่ต่างประเทศ คอยกำหนดทุกอย่าง ทั้งนโยบายพรรค ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ลำดับของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ไปจนถึงกฎกติกา เช่น ต้องเขียนใบลาออกทิ้งเอาไว้ล่วงหน้า เป็นต้น
อีกคนหนึ่งอยู่ในประเทศ เป็นคนๆ เดียวกับที่คุมพรรคการเมืองอื่นๆ อยู่
"ผู้คุม" คนแรก กับ "ผู้คุม" คนหลังนี้ไม่ถูกกัน ทำให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยลำบาก เพราะไม่รู้จะเลือกใครที่ถูกใจ "ผู้คุม" ทั้งสองคน
ก่อนหน้านี้ก็เคยตามใจ "ผู้คุม" จากต่างประเทศ ผลักดันคุณสมัคร สุนทรเวช ผลักดันคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์
แต่ทั้ง "สมัคร" และ "สมชาย" ก็พลัดตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
แถมพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นที่อยู่ตอนนั้นก็พลอยถูกยุบไปอีก
เลือกตั้งคราวนี้ก็กะว่า ถ้าพบปะใครที่สมควรผลักดันเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องถาม "ผู้คุม" ในประเทศด้วยว่าเห็นชอบหรือไม่
คะเนดูว่า ถ้า "ผู้คุม" "อนุมัติ" ก็จะส่งคนนั้นเข้าประกวด
แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครที่ "ผู้คุม" ทั้งสองคนเห็นพ้องว่าสามารถเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับประเทศไทยได้
ทำไปทำมา สู้กันไปสู้กันมา ประชาชนเจ็บดับกันมามากมาย
แต่สุดท้ายประชาธิปไตยที่ควรจะอยู่ที่ประชาชน กลับตกอยู่ในมือของ "ผู้คุม"
กลายเป็นประชาธิปไตยที่ถูกควบคุมไปฉิบ
ref : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1303128908&grpid=&catid=02&subcatid=0207 19/04/2011
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554
นายกฯพระราชทาน (1)
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
เสียงเรียกร้องนายกฯพระราชทานกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะต้องการนายกฯพระราชทานจริงๆ หรือเพราะต้องการใช้ข้อเรียกร้องนี้ส่งเสริมการรณรงค์ "โนโหวต-โหวตโน" (การงดใช้สิทธิในบัตรเลือกตั้ง) ก็ไม่ทราบได้ เข้าใจว่าผู้รณรงค์ต้องการคะแนน "โนโหวต" มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อทำให้รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่สูญเสียความชอบธรรมที่ได้จากการเลือกตั้งลง
เมื่อลงมาเล่นในกติกานับคะแนนรายหัว ซึ่งต้องรวมหัวที่ถูกประเมินว่าโง่ไว้ด้วย อย่างไรเสียคะแนน "งดออกเสียง" ก็ย่อมเป็นส่วนน้อยอยู่ดี จะทำลายความชอบธรรมของผู้ได้รับเลือกตั้งได้อย่างไร ตรรกะมันขัดกันเอง จึงต้องเดาต่อไปว่า ผู้รณรงค์ไม่ได้ต้องการ "ชัยชนะ" ในเกมนี้ แต่ต้องการคะแนน "งดออกเสียง" มากที่สุดเท่านั้น จำนวนของคะแนนนี้จะกลับกลายเป็นความชอบธรรมของผู้รณรงค์ในการปิดถนน หรือยึดทำเนียบและสนามบินในวันข้างหน้า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลขึ้นในอนาคตก็ตาม เสียงของผู้รณรงค์จะยังดังอยู่เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ตำรวจยังต้องเปิดถนนด้วยวิธี "เจรจา" แทนการจับกุมส่งฟ้องศาลอย่างที่คนงานไทรอัมพ์โดนอยู่เวลานี้
และเมื่อต้องการคะแนนมากที่สุด จึงต้องดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ทางการเมืองอีก แม้ว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงปฏิเสธอย่างชัดแจ้งมาแล้วว่า ไม่ได้มีพระราชอำนาจจะทำเช่นนั้นได้
แต่ในครั้งนี้ผู้รณรงค์ไม่ได้ต้องการนายกฯพระราชทานจริง ต้องการเพียงคะแนนเสียง "โนโหวต-โหวตโน" เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผมสนใจความคิดเรื่องนายกฯพระราชทาน (ซึ่งขอนิยามใหม่ว่า นายกฯที่อาศัย "บารมี" ของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นฐานของความชอบธรรมเพียงอย่างเดียว เพราะผมไม่มีหลักฐานระบุได้อย่างไม่มีทางปฏิเสธว่า มีนายกฯไทยคนใดบ้างที่ "พระราชทาน" ลงมาจริงๆ) เพราะผมพบว่าเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาทางการเมืองมาแต่ต้น และนายกฯพระราชทานคนใด (ตามนิยามข้างต้นนะครับ) ก็ตาม ที่ไร้เดียงสาทางการเมืองเท่ากับตัวความคิด ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จในทางการเมืองและการบริหารเลยสักคน
ความคิดเรื่องนายกฯพระราชทานนี้เกิดขึ้นครั้งแรกโดยอดีตที่ปรึกษาราชการแผ่นดินชาวอเมริกัน ผู้เคยเป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และก็เหมือนนักกฎหมายอีกมากในโลกที่คิดว่า กฎหมายคือผู้สร้างและกำกับโลก ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าหรือตถตา
ในปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ตกเป็นเป้าโจมตีวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะโครงสร้างการบริหารของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม พระเจ้าแผ่นดินย่อมเป็นผู้อำนวยการสูงสุดของฝ่ายบริหาร, นิติบัญญัติ, ตุลาการ และแต่ผู้เดียว พระองค์จึงต้องรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศทุกประการ
ราชสำนักตระหนักต่อภัยคุกคามทางการเมืองนี้อย่างดี จากการปรึกษาเป็นส่วนพระองค์ อดีตที่ปรึกษาราชการแผ่นดินผู้นี้ เสนอให้นำราชบัลลังก์หลบเสียจากเป้าวิพากษ์วิจารณ์ โดยให้ทรงแต่งตั้งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีขึ้นรับผิดชอบการบริหารแทน แต่บุคคลในตำแหน่งนี้ต้องรับผิดชอบต่อพระมหากษัตริย์แต่ผู้เดียว จึงทรงแต่งตั้งและถอดถอนได้ตามพระราชอัธยาศัย เขาเสนอรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย ซึ่งไม่ใช่รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย แต่เป็นความพยายามจะปฏิรูประบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญที่ตามมาอีกหนึ่งฉบับภายใต้ระบอบนั้น
พระมหากษัตริย์ทรงนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ปรึกษากับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะที่ดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรี ไม่มีเจ้านายพระองค์ใดเห็นชอบด้วยเลย เหตุผลที่กราบทูลก็คือไม่มีประโยชน์ดังมุ่งหวัง เพราะเมื่อทรงแต่งตั้งถอดถอนอัครมหาเสนาบดีได้เอง ถึงอย่างไรก็ยังทรงเป็นผู้รับผิดชอบต่อการบริหารแต่ผู้เดียว และยังคงเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั่นเอง
นักวิชาการบางท่านให้ความเห็นว่า เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ไม่เห็นชอบกับความคิดเรื่องนายกฯพระราชทาน ก็เพราะไม่อยากถูกกันออกไปจากอำนาจที่มีอยู่ เนื่องด้วยนายกฯพระราชทานคือผู้สัมปทานพระราชอำนาจในการบริหารไว้กับตนแต่ผู้เดียว ไม่อาจกระจายไปยังกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ได้อีก
ไม่ว่าการวิเคราะห์ของนักวิชาการเหล่านี้จะถูกต้องหรือไม่ แต่ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า ตกมาถึงปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่บุคคลอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเครือข่ายของกลุ่มชนชั้นนำระดับสูง แม้องค์ประกอบของเครือข่ายนี้อาจไม่มีความหลากหลายมากนัก แต่ก็มีบุคคลอยู่ในเครือข่ายนี้จำนวนไม่น้อย ประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชการระดับสูงที่ไว้วางพระราชหฤทัยจำนวนหนึ่ง
แต่ละคนก็มีเครือข่ายของตนเอง นับตั้งแต่ผู้เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาไปจนถึง "ศิษย์" อีกจำนวนมาก (หลายคนในกลุ่มนี้ล้วนมีรูปปั้นยืน-นั่งตากแดดตากฝนอยู่หน้ากระทรวงและกรมต่างๆ ของราชการไทยปัจจุบัน)
นายกฯพระราชทานทำให้คนเหล่านี้กลายเป็นรูปปั้นไปตั้งแต่ยังไม่ทิวงคต ไม่มีพื้นที่สำหรับบทบาททางการเมืองใดๆ ได้อีกเลย
นี่คือความไร้เดียงสาทางการเมืองข้อแรกของคำปรึกษา
กล่าวคือ เมื่อจะมีสถาบันทางการเมืองใหม่คือนายกฯพระราชทาน ก็ต้องสร้างสถาบันทางการเมืองใหม่สำหรับกลุ่มชนชั้นนำไปพร้อมกัน และถ้าฉลาดลึกซึ้งไปกว่านั้น สถาบันทางการเมืองใหม่นี้ต้องผนวกเอาชนชั้นนำอื่นๆ ที่ยังไม่ได้อยู่ในเครือข่ายสถาบันพระมหากษัตริย์เอาไว้ด้วย
นั่นคือต้องมีสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งมีบทบาทให้คำปรึกษาได้ทั้งในด้านการบริหาร, นิติบัญญัติ และตุลาการ
ในอาณานิคมอังกฤษ เกือบทุกแห่งล้วนมีสภาลักษณะนี้ ในระยะแรกอาจประชุมกันได้ต่อเมื่อผู้ว่าการฯ ขอคำปรึกษาเท่านั้น แต่มาในระยะหลังก็ถูกกดดันให้เปิดประชุมประจำ ตลอดจนริเริ่มประเด็นได้เอง แม้ว่าในระยะยาวแล้วสภาประเภทนี้ไม่ประสบความสำเร็จที่จะธำรงความเป็นเจ้าอาณานิคมไว้ได้ตลอดไป แต่ในระยะสั้นก็ช่วยทอนกำลังของฝ่ายชาตินิยมลงได้อย่างมาก เสริมความแข็งแกร่งของระบบจักรวรรดินิยมอังกฤษไว้ได้ช่วงหนึ่ง
กล่าวโดยสรุปก็คือ นายกฯพระราชทานไม่เคยอยู่ในสุญญากาศ "บารมี" ของสถาบันพระมหากษัตริย์เพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้นายกฯบริหารงานไปได้อย่างราบรื่น เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เองก็ไม่ได้อยู่ในสุญญากาศ หากมีเครือข่ายที่กว้างขวางของตนเอง ซึ่งล้วนต้องการพื้นที่ทางการเมืองสำหรับการต่อรองกับนายกฯ พระราชทานเช่นกัน
"บารมี" ของสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเริ่มฟื้นฟูขึ้นนับตั้งแต่รัฐประหาร 2490 เป็นต้นมา หมายถึงเครือข่ายที่ยิ่งกว้างขวางขึ้น และหลากหลายมากขึ้นของสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย (เช่นนอกจากงานศึกษาเรื่องโครงการพระราชดำริที่ทำได้อย่างดีแล้ว น่าจะมีใครสักคนกลับไปศึกษาประวัติของผู้ได้รับตราพระจุลจอมเกล้าฯ นับตั้งแต่ 2490 เป็นต้นมาด้วย) จนถึงทุกวันนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเครือข่ายทางสังคมและการเมืองที่กว้างใหญ่ที่สุด เชื่อมโยงทั้งทางตรงและทางอ้อมไปยังคนจำนวนมหึมาทั่วประเทศ นายกฯพระราชทานคนเดียว ไม่สามารถเป็นพื้นที่ทางการเมืองเพื่อรองรับจินตนาการทางการเมืองอันหลากหลาย และมักจะขัดแย้งกันเอง ของเครือข่ายมโหฬารนี้ได้
ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงเครือข่ายอื่นๆ ซึ่งอยู่นอกเครือข่ายสถาบันฯ อันนับวันก็ยิ่งเกิดขึ้นอย่างหลากหลายและจำนวนมาก ซึ่งไม่อาจถูกนายกฯพระราชทานริบพื้นที่ทางการเมืองซึ่งได้ผ่านการต่อสู้จนเปิดขึ้นเป็นของตนเองไปได้อย่างหน้าตาเฉย และในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมา มีเหตุที่ทำให้จำนวนมากของคนเหล่านี้ เข้าไปอยู่ในเครือข่ายที่ไม่เชื่อมโยงทางอ้อมกับเครือข่ายสถาบันฯอีกต่อไป
ความคิดเรื่องนายกฯพระราชทานจึงยิ่งเป็นความไร้เดียงสาทางการเมืองหนักขึ้นไปอีก
และด้วยเหตุดังนั้น ส่วนใหญ่ของนายกฯพระราชทาน (ตามความหมายในนิยามข้างต้น) จึงไม่ประสบความสำเร็จทางการเมือง และดังนั้นจึงล้มเหลวด้านการบริหารไปพร้อมกัน
ส่วนน้อยของนายกฯพระราชทานที่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องดำเนินกิจการทางการเมืองและการบริหาร ในลักษณะยืดหยุ่นให้เหมาะกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ, สังคม และการเมืองในยุคสมัยที่ตนดำรงตำแหน่ง โดยไม่หวังพึ่งแต่ "บารมี" ของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเดียว และด้วยเหตุดังนั้นจึงไม่มีการ "ปิดเทอม" ทางการเมือง ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ นอกจากไม่ "ปิดเทอม" แล้ว ยังเป็น "เทอม" ที่ต้องปล่อยให้การเมืองของกลุ่มต่างๆ ได้พัฒนาคลี่คลายไปไม่น้อยไปกว่าช่วงสมัยที่นายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง เพียงแต่เหล่านายกฯพระราชทานเหล่านี้ พากันคิดว่าจะสามารถกำกับควบคุมการพัฒนาคลี่คลายได้ระดับหนึ่ง
จะเห็นได้ข้างหน้าว่า นายกฯพระราชทานที่ล้มเหลวที่สุด คือคนที่ไร้เดียงสาจนไป คิดว่าเพียงแต่อาศัยพระบารมีส่วนพระองค์เท่านั้น ก็จะทำให้ "การเมือง" ยุติลงชั่วคราว เพื่อขจัดกวาดล้างบ้านเมืองให้สะอาดบริสุทธิ์จนกลับมาสู่ประชาธิปไตยได้อีก
ตอนต่อไปจะกล่าวถึงนายกฯพระราชทาน (ตามความหมายในนิยามข้างต้น) แต่ละคน เพื่อแสดงให้เห็นความไร้เดียงสาทางการเมืองของความคิดนี้ โดยเฉพาะเมื่อจะนำกลับมาใช้ใน พ.ศ.นี้
Ref : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1301902013&grpid=&catid=02&subcatid=0207 05/04/2011
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
เสียงเรียกร้องนายกฯพระราชทานกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะต้องการนายกฯพระราชทานจริงๆ หรือเพราะต้องการใช้ข้อเรียกร้องนี้ส่งเสริมการรณรงค์ "โนโหวต-โหวตโน" (การงดใช้สิทธิในบัตรเลือกตั้ง) ก็ไม่ทราบได้ เข้าใจว่าผู้รณรงค์ต้องการคะแนน "โนโหวต" มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อทำให้รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่สูญเสียความชอบธรรมที่ได้จากการเลือกตั้งลง
เมื่อลงมาเล่นในกติกานับคะแนนรายหัว ซึ่งต้องรวมหัวที่ถูกประเมินว่าโง่ไว้ด้วย อย่างไรเสียคะแนน "งดออกเสียง" ก็ย่อมเป็นส่วนน้อยอยู่ดี จะทำลายความชอบธรรมของผู้ได้รับเลือกตั้งได้อย่างไร ตรรกะมันขัดกันเอง จึงต้องเดาต่อไปว่า ผู้รณรงค์ไม่ได้ต้องการ "ชัยชนะ" ในเกมนี้ แต่ต้องการคะแนน "งดออกเสียง" มากที่สุดเท่านั้น จำนวนของคะแนนนี้จะกลับกลายเป็นความชอบธรรมของผู้รณรงค์ในการปิดถนน หรือยึดทำเนียบและสนามบินในวันข้างหน้า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลขึ้นในอนาคตก็ตาม เสียงของผู้รณรงค์จะยังดังอยู่เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ตำรวจยังต้องเปิดถนนด้วยวิธี "เจรจา" แทนการจับกุมส่งฟ้องศาลอย่างที่คนงานไทรอัมพ์โดนอยู่เวลานี้
และเมื่อต้องการคะแนนมากที่สุด จึงต้องดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ทางการเมืองอีก แม้ว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงปฏิเสธอย่างชัดแจ้งมาแล้วว่า ไม่ได้มีพระราชอำนาจจะทำเช่นนั้นได้
แต่ในครั้งนี้ผู้รณรงค์ไม่ได้ต้องการนายกฯพระราชทานจริง ต้องการเพียงคะแนนเสียง "โนโหวต-โหวตโน" เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผมสนใจความคิดเรื่องนายกฯพระราชทาน (ซึ่งขอนิยามใหม่ว่า นายกฯที่อาศัย "บารมี" ของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นฐานของความชอบธรรมเพียงอย่างเดียว เพราะผมไม่มีหลักฐานระบุได้อย่างไม่มีทางปฏิเสธว่า มีนายกฯไทยคนใดบ้างที่ "พระราชทาน" ลงมาจริงๆ) เพราะผมพบว่าเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาทางการเมืองมาแต่ต้น และนายกฯพระราชทานคนใด (ตามนิยามข้างต้นนะครับ) ก็ตาม ที่ไร้เดียงสาทางการเมืองเท่ากับตัวความคิด ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จในทางการเมืองและการบริหารเลยสักคน
ความคิดเรื่องนายกฯพระราชทานนี้เกิดขึ้นครั้งแรกโดยอดีตที่ปรึกษาราชการแผ่นดินชาวอเมริกัน ผู้เคยเป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และก็เหมือนนักกฎหมายอีกมากในโลกที่คิดว่า กฎหมายคือผู้สร้างและกำกับโลก ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าหรือตถตา
ในปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ตกเป็นเป้าโจมตีวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะโครงสร้างการบริหารของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม พระเจ้าแผ่นดินย่อมเป็นผู้อำนวยการสูงสุดของฝ่ายบริหาร, นิติบัญญัติ, ตุลาการ และแต่ผู้เดียว พระองค์จึงต้องรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศทุกประการ
ราชสำนักตระหนักต่อภัยคุกคามทางการเมืองนี้อย่างดี จากการปรึกษาเป็นส่วนพระองค์ อดีตที่ปรึกษาราชการแผ่นดินผู้นี้ เสนอให้นำราชบัลลังก์หลบเสียจากเป้าวิพากษ์วิจารณ์ โดยให้ทรงแต่งตั้งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีขึ้นรับผิดชอบการบริหารแทน แต่บุคคลในตำแหน่งนี้ต้องรับผิดชอบต่อพระมหากษัตริย์แต่ผู้เดียว จึงทรงแต่งตั้งและถอดถอนได้ตามพระราชอัธยาศัย เขาเสนอรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย ซึ่งไม่ใช่รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย แต่เป็นความพยายามจะปฏิรูประบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญที่ตามมาอีกหนึ่งฉบับภายใต้ระบอบนั้น
พระมหากษัตริย์ทรงนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ปรึกษากับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะที่ดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรี ไม่มีเจ้านายพระองค์ใดเห็นชอบด้วยเลย เหตุผลที่กราบทูลก็คือไม่มีประโยชน์ดังมุ่งหวัง เพราะเมื่อทรงแต่งตั้งถอดถอนอัครมหาเสนาบดีได้เอง ถึงอย่างไรก็ยังทรงเป็นผู้รับผิดชอบต่อการบริหารแต่ผู้เดียว และยังคงเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั่นเอง
นักวิชาการบางท่านให้ความเห็นว่า เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ไม่เห็นชอบกับความคิดเรื่องนายกฯพระราชทาน ก็เพราะไม่อยากถูกกันออกไปจากอำนาจที่มีอยู่ เนื่องด้วยนายกฯพระราชทานคือผู้สัมปทานพระราชอำนาจในการบริหารไว้กับตนแต่ผู้เดียว ไม่อาจกระจายไปยังกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ได้อีก
ไม่ว่าการวิเคราะห์ของนักวิชาการเหล่านี้จะถูกต้องหรือไม่ แต่ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า ตกมาถึงปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่บุคคลอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเครือข่ายของกลุ่มชนชั้นนำระดับสูง แม้องค์ประกอบของเครือข่ายนี้อาจไม่มีความหลากหลายมากนัก แต่ก็มีบุคคลอยู่ในเครือข่ายนี้จำนวนไม่น้อย ประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชการระดับสูงที่ไว้วางพระราชหฤทัยจำนวนหนึ่ง
แต่ละคนก็มีเครือข่ายของตนเอง นับตั้งแต่ผู้เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาไปจนถึง "ศิษย์" อีกจำนวนมาก (หลายคนในกลุ่มนี้ล้วนมีรูปปั้นยืน-นั่งตากแดดตากฝนอยู่หน้ากระทรวงและกรมต่างๆ ของราชการไทยปัจจุบัน)
นายกฯพระราชทานทำให้คนเหล่านี้กลายเป็นรูปปั้นไปตั้งแต่ยังไม่ทิวงคต ไม่มีพื้นที่สำหรับบทบาททางการเมืองใดๆ ได้อีกเลย
นี่คือความไร้เดียงสาทางการเมืองข้อแรกของคำปรึกษา
กล่าวคือ เมื่อจะมีสถาบันทางการเมืองใหม่คือนายกฯพระราชทาน ก็ต้องสร้างสถาบันทางการเมืองใหม่สำหรับกลุ่มชนชั้นนำไปพร้อมกัน และถ้าฉลาดลึกซึ้งไปกว่านั้น สถาบันทางการเมืองใหม่นี้ต้องผนวกเอาชนชั้นนำอื่นๆ ที่ยังไม่ได้อยู่ในเครือข่ายสถาบันพระมหากษัตริย์เอาไว้ด้วย
นั่นคือต้องมีสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งมีบทบาทให้คำปรึกษาได้ทั้งในด้านการบริหาร, นิติบัญญัติ และตุลาการ
ในอาณานิคมอังกฤษ เกือบทุกแห่งล้วนมีสภาลักษณะนี้ ในระยะแรกอาจประชุมกันได้ต่อเมื่อผู้ว่าการฯ ขอคำปรึกษาเท่านั้น แต่มาในระยะหลังก็ถูกกดดันให้เปิดประชุมประจำ ตลอดจนริเริ่มประเด็นได้เอง แม้ว่าในระยะยาวแล้วสภาประเภทนี้ไม่ประสบความสำเร็จที่จะธำรงความเป็นเจ้าอาณานิคมไว้ได้ตลอดไป แต่ในระยะสั้นก็ช่วยทอนกำลังของฝ่ายชาตินิยมลงได้อย่างมาก เสริมความแข็งแกร่งของระบบจักรวรรดินิยมอังกฤษไว้ได้ช่วงหนึ่ง
กล่าวโดยสรุปก็คือ นายกฯพระราชทานไม่เคยอยู่ในสุญญากาศ "บารมี" ของสถาบันพระมหากษัตริย์เพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้นายกฯบริหารงานไปได้อย่างราบรื่น เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เองก็ไม่ได้อยู่ในสุญญากาศ หากมีเครือข่ายที่กว้างขวางของตนเอง ซึ่งล้วนต้องการพื้นที่ทางการเมืองสำหรับการต่อรองกับนายกฯ พระราชทานเช่นกัน
"บารมี" ของสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเริ่มฟื้นฟูขึ้นนับตั้งแต่รัฐประหาร 2490 เป็นต้นมา หมายถึงเครือข่ายที่ยิ่งกว้างขวางขึ้น และหลากหลายมากขึ้นของสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย (เช่นนอกจากงานศึกษาเรื่องโครงการพระราชดำริที่ทำได้อย่างดีแล้ว น่าจะมีใครสักคนกลับไปศึกษาประวัติของผู้ได้รับตราพระจุลจอมเกล้าฯ นับตั้งแต่ 2490 เป็นต้นมาด้วย) จนถึงทุกวันนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเครือข่ายทางสังคมและการเมืองที่กว้างใหญ่ที่สุด เชื่อมโยงทั้งทางตรงและทางอ้อมไปยังคนจำนวนมหึมาทั่วประเทศ นายกฯพระราชทานคนเดียว ไม่สามารถเป็นพื้นที่ทางการเมืองเพื่อรองรับจินตนาการทางการเมืองอันหลากหลาย และมักจะขัดแย้งกันเอง ของเครือข่ายมโหฬารนี้ได้
ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงเครือข่ายอื่นๆ ซึ่งอยู่นอกเครือข่ายสถาบันฯ อันนับวันก็ยิ่งเกิดขึ้นอย่างหลากหลายและจำนวนมาก ซึ่งไม่อาจถูกนายกฯพระราชทานริบพื้นที่ทางการเมืองซึ่งได้ผ่านการต่อสู้จนเปิดขึ้นเป็นของตนเองไปได้อย่างหน้าตาเฉย และในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมา มีเหตุที่ทำให้จำนวนมากของคนเหล่านี้ เข้าไปอยู่ในเครือข่ายที่ไม่เชื่อมโยงทางอ้อมกับเครือข่ายสถาบันฯอีกต่อไป
ความคิดเรื่องนายกฯพระราชทานจึงยิ่งเป็นความไร้เดียงสาทางการเมืองหนักขึ้นไปอีก
และด้วยเหตุดังนั้น ส่วนใหญ่ของนายกฯพระราชทาน (ตามความหมายในนิยามข้างต้น) จึงไม่ประสบความสำเร็จทางการเมือง และดังนั้นจึงล้มเหลวด้านการบริหารไปพร้อมกัน
ส่วนน้อยของนายกฯพระราชทานที่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องดำเนินกิจการทางการเมืองและการบริหาร ในลักษณะยืดหยุ่นให้เหมาะกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ, สังคม และการเมืองในยุคสมัยที่ตนดำรงตำแหน่ง โดยไม่หวังพึ่งแต่ "บารมี" ของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเดียว และด้วยเหตุดังนั้นจึงไม่มีการ "ปิดเทอม" ทางการเมือง ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ นอกจากไม่ "ปิดเทอม" แล้ว ยังเป็น "เทอม" ที่ต้องปล่อยให้การเมืองของกลุ่มต่างๆ ได้พัฒนาคลี่คลายไปไม่น้อยไปกว่าช่วงสมัยที่นายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง เพียงแต่เหล่านายกฯพระราชทานเหล่านี้ พากันคิดว่าจะสามารถกำกับควบคุมการพัฒนาคลี่คลายได้ระดับหนึ่ง
จะเห็นได้ข้างหน้าว่า นายกฯพระราชทานที่ล้มเหลวที่สุด คือคนที่ไร้เดียงสาจนไป คิดว่าเพียงแต่อาศัยพระบารมีส่วนพระองค์เท่านั้น ก็จะทำให้ "การเมือง" ยุติลงชั่วคราว เพื่อขจัดกวาดล้างบ้านเมืองให้สะอาดบริสุทธิ์จนกลับมาสู่ประชาธิปไตยได้อีก
ตอนต่อไปจะกล่าวถึงนายกฯพระราชทาน (ตามความหมายในนิยามข้างต้น) แต่ละคน เพื่อแสดงให้เห็นความไร้เดียงสาทางการเมืองของความคิดนี้ โดยเฉพาะเมื่อจะนำกลับมาใช้ใน พ.ศ.นี้
Ref : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1301902013&grpid=&catid=02&subcatid=0207 05/04/2011
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)