หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ระบอบอภิสิทธิ์" คืออะไร? มาร์ค = มาร์คอส?

ธงชัย วินิจจะกูล: "ระบอบอภิสิทธิ์" คืออะไร? มาร์ค = มาร์คอส?


หมายเหตุ ธงชัย วินิจจะกูล ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประวัติศาสตร์ไทย มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน สหรัฐอเมริกา ได้เขียนบทความชิ้นนี้และนำเผยแพร่ลงในเว็บไซต์ประชาไทเมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา มติชนออนไลน์เห็นว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาน่าสนใจ จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ดังต่อไปนี้




สัญญาณหลายอย่างเผยตัวออกมาชัดเจนขึ้นทุกทีว่า "ระบอบอภิสิทธิ์" คืออะไร?


รัฐบาลนี้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จแบบไม่สนใจรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ฝ่ายตนร่างขึ้นมาเอง ในทางปฏิบัติ คือการงดใช้รัฐธรรมนูญตามใจชอบ และทำให้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมายสูงสุดยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญ ควบคุมข่าวสารเด็ดขาด กวาดล้างจับกุมคุมขังผู้คนโดยไม่ต้องสนใจกระบวนการยุติธรรมหรือสิทธิของผู้คน ข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองไม่ต่างกับ (หรือยิ่งกว่า) เผด็จการทหาร โดยเฉพาะในต่างจังหวัดและชนบทที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล


รัฐบาลนี้เป็นเผด็จการมากถึงขนาดที่พูดข้างเดียวฟังพวกเดียวไม่แยแสว่าสิ่งที่ตนพูดจะสมเหตุสมผลหรือไม่ โกหกก็ไม่ต้องแคร์ ถูๆ ไถๆ ข้างๆ คูๆ ก็ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะน่าเชื่อหรือไม่ อาศัยอำนาจ (ปืนและสื่อ) ยัดเยียดประเด็นและคำอธิบายของตนให้แก่สังคม ทำมากๆ เข้าจนความเท็จกลายเป็นความจริง เรื่องไม่มีมูลกลายเป็นประเด็น


หลังประหัตประหารผู้คนเสร็จ ในขณะที่ทำการกวาดล้างจับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้ามอย่างหนัก ก็ปรึกษาพวกเดียวกันว่าจะ "ปรองดอง" คือทำยังไงไม่ให้มวลชนลุกฮือต่อต้านอีก


ความอยุติธรรมแบบ "สองมาตรฐาน" ยิ่งหนักกว่าเดิม แถมทำกันอย่างโจ๋งครึ่มโดยไม่ต้องปฏิเสธหรือแก้ตัวอีกต่อไปแล้ว


ทั้งผีทักษิณและผู้ก่อการร้ายเป็นการหาเหตุเพื่อการปราบปรามแต่จะยังคงอยู่ต่อไปอีกนานเพื่อหาเหตุให้คงรักษาพ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปโดยเฉพาะในต่างจังหวัดและชนบทที่เป็นฐานของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล


ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อความสงบหลังปราบปรามการชุมนุมเสื้อแดงเท่านั้นแต่เพื่อทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมืองสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าเพื่อรักษาอำนาจของระบอบอภิสิทธิ์ด้วย


ระบอบอภิสิทธิ์คืออะไร?คือระบอบค้ำจุนอภิชนภายใต้รูปโฉมประชาธิปไตยอาศัยการเลือกตั้งและนิติรัฐเป็นความชอบธรรม อาศัยปืนและตุลาการเป็นอำนาจที่แท้จริง อาศัยประชาสังคมของอภิสิทธิชนเป็นฐานมวลชนโดยมีสื่อหลักๆ และนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนคนสำคัญๆ เป็นผู้ปฏิบัติงานทางการเมืองในประชาสังคมนั้น


ครั้นถูกต่อต้าน ระบอบอภิสิทธิ์ก็เผยตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นประชาธิปไตยแบบหนา ด้านได้อายอด เอาทั้งเล่ห์กล มนต์คาถา (โฆษณาชวนเชื่อ) สื่อเส้นหนาของอภิสิทธิชนประเภทต่างๆ (ปัญญาชน รัฐบาล และเหนือรัฐบาล) กฎหมายอัปลักษณ์ทั้งหลาย (กม.หมิ่นฯ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นต้น) และนักสิทธิมนุษยชนกำมะลอ มาช่วยกันยัดเยียดให้ประชาชนต้องทนรับ


พวกเขาพยายามมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2550 แต่ไม่สำเร็จ คราวนี้จึงต้องโหดกว่าเดิม เด็ดขาดกว่าเดิม เหวี่ยงแหกว่าเดิม ภายใต้ข้ออ้างเดิมๆ ว่าเพื่อต่อสู้กับการซื้อเสียงและผีทักษิณ


เนื้อแท้ของระบอบอภิสิทธิ์คืออำนาจนิยมโดยอาศัย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกฎหมายอื่นๆ ที่ให้อำนาจแก่รัฐบาลของอภิชนเหนือกว่ารัฐธรรมนูญใดๆ จะให้ได้ นี่แหละคือประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่พวกเขาพยายามสร้างขึ้นหลังการรัฐประหาร 2549 ทว่ายังไม่สำเร็จสักที


หากการเลือกตั้งคราวหน้ายังไม่สามารถรับประกันชัยชนะของระบอบอภิสิทธิ์ได้ เขาก็จะอ้างความไม่สงบเรียบร้อยในการเลือกตั้งเป็นเหตุเพื่อบิดเบือนผลการเลือกตั้งหรือเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจนกว่าจะชนะแน่ๆ เสียก่อน


นี่ไม่ใช่เส้นทางแบบพม่าดังที่มักกล่าวกัน แต่ตัวอย่างของอำนาจนิยมเบ็ดเสร็จของพลเรือนคือ "ระบอบมาร์คอส" ของฟิลิปปินส์


มาร์คอสไต่เต้าสู่อำนาจด้วยการเลือกตั้ง แต่รักษาอำนาจด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉินและอำนาจกองทัพ โดยอ้างว่าต้องรักษาความสงบต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เขาอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก. เหนือรัฐธรรมนูญ เข้ากวาดล้างจับกุมทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างเด็ดขาดโหดร้าย แต่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจในระยะแรกทำให้ระบอบมาร์คอสได้รับความสนับสนุนจากสาธารณชนโดยเฉพาะคนเมืองผู้มีอันจะกินอย่างมาก


ครั้นใกล้หมดเทอมของตนเขาก็แก้รัฐธรรมนูญเพื่อเปิดโอกาสให้ระบอบของเขามีอำนาจต่อไปได้ด้วยการอ้างผู้ก่อการร้ายเช่นเคย


มาร์คกับมาร์คอส คือชื่อเดียวกัน ในคนละภาษาเท่านั้นเอง


ประเด็นสำคัญมิได้อยู่ที่ระบอบอภิสิทธิ์ใกล้เคียงหรือต่างกับระบอบมาร์คอสมากน้อยแค่ไหนเพราะแต่ละประเทศย่อมมีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไปตัวอย่างเช่น ลัทธิบูชาบุคคลของระบอบมาร์คอสบูชาตัวมาร์คอสเอง แต่นายมาร์คเป็นเพียงผู้รับใช้คนหนึ่งเท่านั้น


ประเด็นน่าคิดก็คือ ถ้าอภิสิทธ์ชนของไทยหน้ามืดตามัวถึงขนาดเลือกทางเดินเดียวกับระบอบมาร์คอส เพื่อต่ออายุอำนาจของตนไว้ในระยะใกล้ น่าคิดว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆ (หรือฟิลิปปินส์ๆ) จะเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายของอภิชนาธิปไตยไทยจริงๆ


ปัญญาชนนักวิชาการ บรรณาธิการผู้ทรงอิทธิพล ผู้ประกาศข่าวอันมีชื่อเสียงทั้งหลาย จงช่วยกันเร่งฟืน เพิ่มความร้อนแรงของรถขบวนสุดท้ายนี้เข้าไปเถิด แล้วอย่ามาร้องหาความยุติธรรมในวันที่รถไฟตกรางก็แล้วกัน


เพราะรถไฟสายอภิชนกำลังวิ่งสวนทางกับรถไฟสาย "ความเปลี่ยนแปลง"และไม่มีทางหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงที่ออกจากสถานีมาแล้ว


เพราะพวกท่านทำให้สังคมมืดบอดกันไปหมดอันจะทำให้รถไฟอภิชนตกรางอย่างรุนแรงพวกท่านขาดสติยั้งคิดถึงอนาคตเสียจนท่านเองเป็นผู้ทำร้ายสิ่งที่พวกท่านบูชา


เพราะ"ระบอบอภิสิทธิ์"จะกัดกร่อนทำลายอภิชนเองในที่สุด
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1277732165&grpid=&catid=02 30/06/2010
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 10:05:05 น. มติชนออนไลน์

เจตนารมณ์ของการเลือกตั้ง

เจตนารมณ์ของการเลือกตั้ง

โดย ประณต นันทิยะกุล

เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้ทำหน้าที่ควบคุมและดำเนินการจัด หรือจัดให้มีการเลือกตั้ง และการออกเสียงประชามติ ตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม

คณะกรรมการการเลือกตั้งในยุคแรกได้ดำเนินการให้เป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม ได้เป็นผลสำเร็จเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปเป็นอย่างดี จนได้รับการยกย่องจากสื่อมวลชนต่างประเทศ ให้เป็นหนึ่งในองค์กรอิสระของประเทศไทยที่มีธรรมาภิบาลดีที่สุดในเอเชีย

คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร มีภารกิจในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร การออกเสียงประชามติ และปฏิบัติภารกิจอื่นตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมาย

คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร มีกรรมการการเลือกตั้งจำนวน 5 คน จำลองรูปแบบคล้ายกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง คือ แบ่งการปฏิบัติหน้าที่เป็น 5 งาน ได้แก่ งานอำนวยการ งานจัดการเลือกตั้ง งานพรรคการเมือง งานสืบสวนสอบสวน และงานการมีส่วนร่วม

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ระหว่าง พ.ศ.2541-2553 เป็นเวลา 12 ปี ภารกิจในส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร ประสบความสำเร็จด้วยดีในทุกด้าน แม้จะมีปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ภาพรวมโดยทั่วไปนับว่าได้ดำเนินภารกิจค่อนข้างเรียบร้อย เป็นที่น่าพอใจ ที่สำคัญคือ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่ได้ให้ความช่วยเหลือร่วมมือเป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี การที่จะทำให้ภารกิจ โดยเฉพาะการบริหารจัดการเลือกตั้งให้ประสบความสำเร็จดังที่คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดปัจจุบันได้ตั้งเจตนารมณ์ไว้คือ "สุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม" ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกัน รักษา แก้ไข ป้องกัน และทำอย่างต่อเนื่องให้สมกับเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้

การที่จะทำให้การเลือกตั้งประสบความสำเร็จ กลุ่มบุคคล 5 กลุ่มดังต่อไปนี้ต้องมีจิตสำนึกที่ต้องปฏิบัติ คือ

1.ผู้สมัครรับเลือกตั้ง กรรมการบริหารพรรคการเมือง หัวคะแนน และผู้สนับสนุนต้องปฏิบัติตามกฎ กติกา มารยาท และกฎหมายอย่างเคร่งครัด มีใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย

2.กรรมการการเลือกตั้ง กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง กรรมการนับคะแนนตลอดจนผู้เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการเลือกตั้งทุกคน ต้องสุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม อย่างตรงไปตรงมา ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก โดยไม่มีใจโอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง

3.ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมีความสำนึกในความเป็นพลเมืองดี โดยไม่ขายสิทธิขายเสียง ใช้วิจารณญาณในการออกเสียงเลือกตั้ง เลือกคนที่ตนคิดว่าดีที่สุดไปเป็นผู้แทนหรือผู้บริหารอย่างรู้เท่าทัน

4.องค์กรภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ช่วยกันตรวจสอบไม่ยอมให้ใครทุจริตการเลือกตั้ง หรือหากมีการทุจริตการเลือกตั้ง ต้องช่วยกันท้วงติง และคัดค้านจนถึงที่สุด

5.สื่อมวลชนช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีสิทธิไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นกลาง ไม่เป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ถ้าทุกฝ่ายปฏิบัติตามหลัก 5 ประการดังกล่าวได้ การเลือกตั้งของประเทศไทยก็จะเป็นไปโดยสุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม สมดังเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และของคณะกรรมการการเลือกตั้งไว้ทุกประการ
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1277791097&grpid=&catid=02 30/06/2010
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 12:55:35 น. มติชนออนไลน์

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สวัสดิการสังคมที่คนไทยต้องการ

สวัสดิการสังคมที่คนไทยต้องการ

โดย ดร. วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์



การมีระบบสวัสดิการสังคมเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยคนไทยให้มีความมั่นคงในชีวิต เมื่อยังเด็กก็ได้รับการศึกษาสะสมความรู้เพื่อการประกอบอาชีพ เมื่อเจ็บป่วยก็ได้รับการรักษาพยาบาล เมื่อตกงานก็ได้รับการช่วยให้หางานง่ายขึ้นและเร็วขึ้น หรือเมื่อประสบภัยพิบัติรัฐก็ช่วยเหลือเต็มที่ ซึ่งดูเหมือนว่าประเทศไทยจะมีกลไกสวัสดิการสังคมหลากหลายเพื่อรองรับคนกลุ่มต่างๆ แต่ทำไมเรายังต้องมีวาระสังคมสวัสดิการถ้วนหน้าปี 2563 หรือต้องมีเรื่องสวัสดิการสังคมในแผนปรองดองแห่งชาติ



ถ้าเราเปรียบสวัสดิการสังคมเป็นตาข่ายรองรับไม่ให้เราตกสู่พื้นเมื่อเราพลัดตกจากหุบเหวของการดำเนินชีวิตประจำวัน ตาข่ายจะช่วยพยุงให้เรากลับลุกขึ้นและตั้งตัวได้กลับเข้าสู่ชีวิตปกติ ถ้าคนไทยมีตาข่ายแข็งแรงก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่คนไทยในการดำเนินชีวิต ซึ่งมีความเสี่ยงอยู่นานาชนิดและดูเหมือนจะเสี่ยงมากยิ่งขึ้นทุกวัน ถ้าเราหลุดจากตาข่ายลงไปก็เท่ากับตกอยู่ในภาวะยากลำบากต้องการได้รับการดึงกลับขึ้นมาเป็นรายๆ ไป



ตาข่ายหรือสวัสดิการสังคมที่ประเทศไทยมีอยู่นั้นพึ่งพาได้ไม่เต็มที่นัก บางคนโชคดีมีตาข่ายที่แข็งแรง แน่นหนา บางคนโชคร้ายมีตาข่ายที่ทำด้วยเส้นด้ายเล็กๆ บางคนโชคร้ายยิ่งกว่านั้นคือมีตาข่ายที่เป็นรูรองรับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ขึ้นอยู่ว่าไปพลัดตกอยู่แถวไหน ความไม่คงเส้นคงวาของตาข่ายที่เรามีอยู่นี่เองที่สะสมความเสี่ยงในการดำเนินชีวิตของคนไทย เสริมสร้างความไม่เท่าเทียมกันยิ่งขึ้น



สวัสดิการสังคมเป็นสิ่งที่คนไทยต้องการ การสำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติในเดือนเมษายน 2553 จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศมีอะไรน่าสนใจหลายประการ การสำรวจนี้ได้มีการเตรียมการตั้งแต่ปี 2552



การสำรวจพบว่าคนไทยต้องการสวัสดิการแบบถ้วนหน้า นั่นคือ ต้องการมีสวัสดิการสังคมที่เหมือนกันและครอบคลุมคนไทยทุกคน โดยสวัสดิการที่คนไทยเห็นพ้องต้องกันว่าควรทำมากที่สุด คือ 1. การช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติต่างๆ 2. การช่วยเหลือผู้พิการทุกคน 3. การฝึกอาชีพฟรีทุกหลักสูตร ช่วยจัดหางานให้นักศึกษาจบใหม่ คนตกงาน และคนที่ต้องการเปลี่ยนงาน และ 4. รักษาพยาบาลฟรีด้วยสวัสดิการที่มีเกียรติเหมือนข้าราชการ



การเพิ่มสวัสดิการย่อมต้องใช้เงินมากขึ้น คนไทยประมาณร้อยละ 47 ไม่ต่อต้านและเต็มใจที่จะจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อให้รัฐนำไปจัดสวัสดิการสังคม อีกร้อยละ 23 ไม่ต่อต้านแต่ไม่เต็มใจจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น และอีกร้อยละ 30 จะต่อต้านการที่ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น คนที่ต่อต้านกระจายตัวในแต่ละภาคพอๆ กัน แต่อยู่ในกรุงเทพและปริมณฑลน้อยที่สุด



อย่างไรก็ดี ถ้ารัฐมีรายได้และมีงบประมาณเพื่อการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น รัฐควรใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการสังคมใด การสำรวจพบว่า คนไทยทั้งประเทศต้องการให้เพิ่มงบเพื่อการรักษาพยาบาลเป็นอันดับแรก ยกเว้นแต่ภาคอีสานต้องการให้เพิ่มการช่วยเหลือคนแก่ยากจน คนพิการที่ยากจน แก้ปัญหาหนี้สินคนจน แสดงให้เห็นว่าคนอีสานจำนวนมากนั้นได้ตกทะลุตาข่ายลงมากองอยู่ข้างล่างเรียบร้อยแล้ว



จำเป็นหรือไม่ว่าเราจะต้องให้รัฐจัดการสวัสดิการสังคมไปทุกเรื่อง คนไทยต้องการให้รัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หรือชุมชน ทำอะไรบ้าง



การสำรวจพบว่าคนไทยต้องการให้คนในชุมชนรวมตัวกันจัดการทำสวัสดิการสังคมเรื่อง การดูแลผู้สูงอายุ เด็กพิการ เด็กเร่ร่อน เด็กกำพร้า การให้เงินช่วยเหลือคนพิการ และการจัดการบำเหน็จบำนาญแก่ผู้สูงอายุ โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณ ยกเว้นแต่คนกรุงเทพและปริมณฑลที่ต้องการให้รัฐบาลเป็นทั้งผู้ดำเนินการและสนับสนุนงบประมาณ



แต่ถ้าเป็นสวัสดิการประเภทการศึกษาระดับอนุบาลถึงมัธยมปลาย ทุกภาคเห็นพ้องกันว่าต้องการให้รัฐบาลดำเนินการ มีแต่ภาคใต้ที่สัดส่วนความต้องการให้ อปท. ดำเนินการจะค่อนข้างสูงกว่าภาคอื่นๆ ส่วนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยนั้นร้อยละ 84 ของคนไทยต้องการให้รัฐบาลดำเนินการเหมือนเดิม



การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราเตรียมการเรื่องการออมสำหรับการใช้จ่ายเมื่อยามชราภาพทำงานไม่ไหว ด้วยภาวะสังคมไทยที่เคยอยู่เป็นครอบครัวขนาดใหญ่เคยดูแลกันจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ความคาดหวังที่จะได้รับการดูแลจากลูกหลานยังคงมีอยู่สูงมาก ประมาณร้อยละ 90 ของคนไทยเห็นว่าถ้ามีลูกก็อยากให้ลูกช่วยดูแลทั้งด้านเงินทอง การกินอยู่ และการไปหาหมอ ซึ่งปรากฏว่าคนในกรุงเทพและปริมณฑลมีความคาดหวังจากลูกหลานต่ำกว่าภาคอื่นๆ

ถ้ารัฐส่งเสริมให้ทุกคนออมเดือนละ 100 บาทโดยรัฐช่วยออมเพิ่มอีก 50 บาทต่อเดือน คนไทยจะไหวไหม



ครึ่งหนึ่งของประเทศบอกว่า ไหว โดยเฉพาะคนกรุงเทพและปริมณฑล อีกร้อยละ 36 ต้องการออมแต่ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ทุกเดือน หรือบ้างก็ไม่แน่ใจว่าเงินจะเหลือพอออมหรือไม่



การสำรวจนี้พอจะบอกได้ว่าการเข้าสู่สังคมสวัสดิการไม่ใช่ของง่ายนัก แต่ก็ไม่ได้ยากจนกระทั่งทำไม่ได้ คนไทยมีความหลากหลายด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ และสังคม แต่ไม่ได้หลากหลายแบบสุดขั้ว การจะเริ่มเข้าสู่สังคมสวัสดิการถ้วนหน้าจึงควรมองหาจุดสนใจร่วมก่อนแล้วค่อยๆ ขยายฐานออกไปสู่สวัสดิการที่หลากหลายขึ้น เรามีตาข่ายอยู่แล้วแต่มันรั่วและบอบบาง ควรพยายามทำตาข่ายที่มีอยู่ให้แข็งแรงและค่อยแผ่ขยายตาข่ายออกไป ทำให้ตาข่ายถี่ขึ้น น่าจะเป็นวิธีที่เป็นไปได้มากที่สุด ตาข่ายที่ควรทำให้แข็งแรงอย่างเร่งด่วนคือเรื่อง การศึกษาการฝึกอาชีพ และการรักษาพยาบาล ทุกภาคค่อนข้างเห็นพ้องต้องกันว่าสำคัญมาก



ดร. วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1277187181&catid=02 29/06/2010
วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 13:15:11 น. มติชนออนไลน์

120 ปี ลุงโฮ..."โฮจิมินห์" ความยิ่งใหญ่ในความสามัญ

120 ปี ลุงโฮ..."โฮจิมินห์" ความยิ่งใหญ่ในความสามัญ


"ข้าพเจ้ามีความปรารถนาสูงสุดอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือทำอย่างไรให้ประเทศของเราได้รับอิสรภาพและประชาชนมีเสรีภาพอย่างแท้จริง เพื่อนร่วมชาติทุกคนมีข้าวกินมีเสื้อผ้าใส่ และมีโอกาสได้ศึกษาร่ำเรียน"



นี่คือปณิธานของ โฮจิมินห์ หรือ ลุงโฮ ของประชาชนชาวเวียดนาม ซึ่งเป็น "วีรบุรุษ" ผู้ยิ่งใหญ่ของคนเวียดนาม ในฐานะนักปฏิวัติผู้ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งเอกราชและอิสรภาพของเวียดนาม



จากข้อความดังกล่าวถือเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจน บ่งบอกถึงความปรารถนาอันแสนธรรมดาและเรียบง่ายของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 120 ปี ชาตกาลของโฮจิมินห์ เมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา ชมรมวัฒนธรรมไทย-เวียดนาม และสาขาวิชาภาษาเวียดนาม ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงจัดเสวนาในหัวข้อ "ลุงโฮกับความยิ่งใหญ่ในความเป็นสามัญ"





แม้การเสวนาจะผ่านมาแล้วเกือบ 1 เดือน แต่ความน่าสนใจเรื่องลุงโฮไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย จึงขอเก็บตกความ ประทับใจที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบางส่วนของงานเสวนาครั้งนี้มาเล่าสู่กันฟัง โดยเฉพาะเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ความเรียบง่าย" ของโฮจิมินห์ ที่ทางผู้จัดงานได้เชิญวิทยากรชาวเวียดนามบินตรงจากเวียดนามมาไทย เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์จริงที่ได้พบปะใกล้ชิดกับโฮจิมินห์ และผู้ที่ศึกษาค้นคว้าประวัติของโฮจิมินห์อย่างละเอียดลึกซึ้ง



โดย ดร.บุ่ย ดิ่ง ฟอง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องชีวประวัติของโฮจิมินห์ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติฮานอย ได้เล่าเรื่องความเรียบง่ายของโฮจิมินห์ในชีวิตประจำวันให้ฟังว่า ความเรียบง่ายของลุงโฮแสดงให้เห็นจากการพูดของลุงโฮ ไม่ว่าจะพูดกับใครจะใช้คำพูดที่เรียบง่ายและกระชับ ทำให้เข้าใจง่าย





ขณะที่การใช้ภาษาของลุงโฮ มักชอบใช้คำว่า "ดงบาว" เรียกประชาชนชาวเวียดนาม ซึ่งมีความหมายมากกว่าคำว่าประชาชนที่ทั่วโลกใช้อยู่ หากแปลเป็นภาษาไทย รศ.แล ดิลกวิทยรัตน์ บอกว่า จะใกล้เคียงหรือตรงกับคำว่า "พี่น้องร่วมท้องเดียวกัน" คือพวกที่มาจากท้องแม่เดียวกัน เป็นพี่น้องกัน





คำว่า "ดงบาว" จึงมีความหมายลึกซึ้ง ศักดิ์สิทธิ์ และแน่นแฟ้นใกล้ชิดมากกว่า คำว่าประชาชนทั่วไป คำนี้มาจากความเชื่อตามตำนานที่เล่ากันว่า ทุกชนเผ่าเวียดนามเกิดมาจากไข่ฟองเดียวกัน แล้วแตกเป็น 100 ฟอง เป็นพี่น้องกัน เพราะฉะนั้น ลุงโฮจึงใช้คำว่า "ดงบาว" จะไม่พูดว่า ประชาชนหรือมวลชน





ในเรื่อง "กิจวัตรประจำวัน" ของลุงโฮ ดร.ฟองเล่าว่า ปกติอาหาร 1 มื้อ ลุงโฮจะทานครบ 5 หมู่ แต่อาหารจะมี 3-4 อย่าง และจะชอบอาหารประจำชาติเวียดนาม เช่น มะเขือดอง ถ้าวันไหนมีแขกมา อาหาร จะมากกว่าปกติ เกรงว่าจะทานไม่หมด ก็จะแบ่งไว้ตั้งแต่แรก จะไม่ทานเหลือไว้





ดร.ฟองบอกว่า มีเรื่องเล่าเรื่องลูกศิษย์คนโปรด ที่ลุงโฮมักจะเรียกมาทานอาหารร่วมกันทุกวันเสาร์ และสอนว่า "เวลาทานต้องทานให้หมด อย่าให้ตกหล่นลงพื้น เพราะข้าวทุกเม็ดเป็นของประชาชน เป็นน้ำพักน้ำแรง เป็นหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชนที่ส่งมาให้เรา"



ดร.ฟองบอกว่า ลุงโฮมีเสื้อผ้าน้อยชิ้นมาก คือมีเสื้อสีกา ที่มักจะเห็นใส่ประจำ 2 ชุด เสื้อชุดทหาร 1 ชุด ชุดที่เป็นผ้าไหม 1 ชุด และเสื้อกันหนาวแบบเวียดนามเป็นผ้าสำลีเย็บหนา ๆ 1 ตัว



แต่มีเสื้อตัวหนึ่งขาด ทหารให้เอาไปทิ้ง ลุงโฮก็ไม่ทิ้ง กลับบอกว่า ถ้าขาดก็เอาไปปะสิ แล้วก็ใส่ต่อได้ ทหารถามว่า ทำไม ไม่เอาเสื้อใหม่ (ท่านเป็นถึงผู้นำ ทำไมใส่เสื้อผ้าขาด) ท่านบอกว่า "เราเป็นผู้นำของประเทศที่กำลังปฏิวัติ กำลังต่อสู้กับศัตรูอยู่ ประเทศเรายังยากจนอยู่ เพราะฉะนั้นเราใส่เสื้อผ้าขาดถือว่าเป็นบุญของประชาชนของประเทศ"



ต่อมาเป็นเรื่องพื้นฐานจริง ๆ คือ รองเท้าของลุงโฮที่ทำด้วยยางรถยนต์ เป็นการสะท้อนความเรียบง่ายอย่างแท้จริง รองเท้าคู่นี้ลุงโฮใส่ใช้เดินทางไปทั่วโลก และช่วงการปฏิวัติก็ใช้รองเท้าคู่นี้ จนมีศิลปินเวียดนามแต่งเพลงให้ท่าน ชื่อเพลง "รองเท้าของลุงโฮ" เป็นเพลงที่เมื่อร้องแล้ว คนฟังจะรู้สึกสะเทือนใจ เพราะเป็นภาพผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่เรียบง่าย



ดร.ฟองบอกว่า รองเท้าที่ลุงโฮใส่มา ตั้งแต่สมัยอยู่ในป่า ค.ศ. 1958 คือ 10 กว่าปี ใส่รองเท้าคู่นี้มาตลอด ครั้งหนึ่ง ลุงโฮไปเยี่ยมทหารเรือ แล้วทหารทุกนาย ก็อยากเข้าหาอย่างใกล้ชิดลุงโฮ ก็เบียดกันเข้ามาใกล้ลุงโฮ แล้วมีทหารนายหนึ่งก็เหยียบโดนรองเท้าลุงโฮ ทำให้สายหลุดออกมา



เพราะเป็นรองเท้าที่ทำจากยางล้อรถยนต์ มีสายคีบที่เสียบเจาะรูลงไปข้างล่าง (เหมือนรองเท้าแตะของไทย) เมื่อเหยียบโดนก็หลุดออกมา ทหารก็ช่วยซ่อม แต่ใช้มากว่า 10 ปีแล้ว จึงต้องเอาตะปูมาตอกให้ติด เพราะไม่สามารถจะซ่อมได้ เนื่องจากยัดสายคีบที่เป็นยางลงไปแล้วก็หลุดออกมาอีก



ส่วนเรื่องบ้าน หรือที่อยู่ของลุงโฮ ดร.ฟองเล่าให้ฟังว่า เมื่อได้อิสรภาพมา ทางรัฐบาลก็จะจัดหาที่พักอาศัยให้ลุงโฮ ก็พาลุงโฮไปดูบ้านหลังหนึ่ง เรียกว่าเป็น "ทำเนียบ" ของผู้ว่าราชการเวียดนาม หรือผู้สำเร็จราชการประจำเวียดนาม ลุงโฮ ก็บอกว่า บ้านนี้สวยจริง แต่ว่าสวยเกินไป เอาเก็บไว้ให้เด็กมาเรียนหนังสือ หรือทำกิจกรรมดีกว่า แล้วลุงโฮก็มาดูบ้านอีกหลังหนึ่งใกล้ ๆ กัน เป็นบ้านของช่างซ่อมไฟประจำทำเนียบของผู้สำเร็จราชการฯ บ้านหลังนี้หลังคาต่ำมาก ทุกคนเห็นว่า บ้านเตี้ยและร้อนมาก แต่ลุงโฮเลือกที่จะอยู่บ้านของช่างซ่อมไฟ



เมื่อลุงโฮต้องการอยู่ก็ให้อยู่ แต่ครั้งหนึ่งลุงโฮต้องไปไกลไม่อยู่บ้าน ทุกคนก็คิดว่าควรจะหาแอร์ (เครื่องปรับอากาศ) ให้สักเครื่องหนึ่ง ก็ไปติดตั้งให้ เมื่อลุงโฮ กลับเข้าบ้าน ก็บอกว่า "ผมรู้สึกได้กลิ่นอะไรแปลกที่บ้านนะ" ทุกคนก็บอกว่าใช่แล้ว ทางกระทรวงการต่างประเทศเพิ่งมอบแอร์ให้เครื่องหนึ่ง เพราะคิดว่าที่นี่ร้อนมาก เกรงว่าลุงโฮจะอยู่ไม่ไหว เลยติดตั้งให้



แต่ลุงโฮกลับบอกว่า "ประเทศเรายังลำบากมาก ไม่ร่ำรวยอะไร แอร์ก็ดีนะ แต่จะดีกว่าถ้าจะให้ที่ที่ต้องการมากกว่า เช่น โรงพยาบาล ผมใช้พัดลมก็พอ" จะเห็นว่าสุดท้ายชีวิตของลุงโฮ ถ้าใครไปบ้านลุงโฮ จะยังเห็นพัดลมตัวหนึ่งที่เก่ามาก ที่ใช้จนบั้นปลายชีวิตของลุงโฮ



แม้แต่เรื่องรถของลุงโฮ ก็มีเรื่องเล่าว่า ลุงโฮมีรถเก่า ๆ ของรัสเซีย ที่ไปไหนมาไหนจะนั่งคันนี้ตลอด แต่ทุกคนอยากให้ ลุงโฮได้นั่งรถคันใหม่ แต่ลุงโฮไม่ยอมนั่ง จะนั่งแต่คันเก่า จนคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวก็บอกว่า จะทำอย่างไรให้ท่านยอมนั่งรถคันอื่น ก็มีวันหนึ่งไม่รู้ว่ารถเสียจริงหรือเปล่า แต่ทุกคนบอกกับลุงโฮว่า ให้ไปรถคันใหม่ดีกว่า เพราะรถคันเก่าเสีย แต่ลุงโฮก็บอกว่า "รถเสียก็ซ่อมสิ" และนั่งรอให้ซ่อมจนเสร็จ แล้วบอกว่า "รถไปได้แล้วนี่ เราก็ใช้กันต่อ"



หลังจากที่ลุงโฮได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ดร.ฟองเล่าว่า ในกองทัพ ก็อยากจัดพิธีการตอนรับท่านให้สมเกียรติ เวลาไปไหนมาไหนก็จะจัดพิธีการ มีคน แต่งตัวสวยงามมาต้อนรับ แต่ลุงโฮก็แอบไปสำรวจพื้นที่ก่อน พอถึงเวลาทุกคนก็รอ และรู้สึกแปลกใจว่า เมื่อถึงเวลาแล้วทำไมลุงโฮยังไม่มา ปรากฏว่ามาทราบอีกทีคือจริง ๆ มาตั้งนานแล้ว ทุกคนเลยถามว่า ลุงโฮมาแล้วทำไมเราไม่รู้กัน ลุงโฮก็บอกว่า "บ้านเมืองเราก็ยากจน จะทำอะไรให้ อึกทึกครึกโครมทำไม และทำให้เสียเวลาสิ้นเปลืองเงิน"



"ความเรียบง่ายของลุงโฮมีมากมาย แต่ขอสรุปความเรียบง่ายของลุงโฮว่า มันมาจากความรักประชาชนของลุงโฮ จริง ๆ ไม่ใช่กระทำเพื่อสร้างภาพ แต่มาจากใจของลุงโฮ และความรักของลุงโฮ ทำให้คนเวียดนามรักลุงโฮมากขึ้น" ดร.ฟองกล่าวสรุป



ขณะที่วิทยากรอีกท่านหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก คือ "คุณเตื่อง วี" เป็นศิลปินประชาชน จากประเทศเวียดนาม เป็นบุคคลซึ่งได้มีโอกาสใกล้ชิดกับลุงโฮ ในช่วงหนึ่งที่เวียดนามต้องต่อสู้กับอเมริกัน จะมีการระดมเด็กชาวเวียดนามไป เพาะเมล็ดพืชสีแดง คือจัดตั้งเยาวชนต่อต้านจักรวรรดินิยม เด็กคนใดถนัดเรื่องใดก็ทำเรื่องนั้น เด็กที่ถนัดร้องเพลงก็จัดให้ ร้องเพลง และในช่วงนี้เองที่คุณเตื่อง วี มีโอกาสได้สัมผัสกับลุงโฮอย่างใกล้ชิด



คุณเตื่อง วี ชอบร้องเพลง และหลายครั้งได้ร้องเพลงให้ลุงโฮฟังด้วย เธอได้เล่าถึงหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ลุงโฮได้สร้างความประทับใจให้กับเธอและเด็ก ๆ อีกหลายคน



"ลุงโฮเป็นผู้นำประเทศ ขณะเดียวกันก็จะห่วงใยประชาชน โดยเฉพาะศิลปิน ลุงโฮได้แสดงความห่วงใยเสมอมา เมื่อมีแขกมาจากต่างประเทศก็จะให้ไปแสดง ส่วนตัวแล้วหลายครั้งได้ร้องให้ลุงโฮและแขกต่างประเทศฟัง" คุณเตื่อง วี กล่าวถึงความประทับใจในตัวลุงโฮ



เธอเล่าว่า ในความเรียบง่ายของลุงโฮคือความยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ และคนที่ขาดโอกาส ห่างไกลพ่อแม่ ตอนนั้นผู้ที่ได้พบลุงโฮยังอยู่ในวัยเยาว์ ก็เป็นอาสาสมัครที่ต้องมาภาคเหนือ ต้องมาฝึกฝน ต้องห่างไกลบ้าน ลุงโฮก็สงสารที่จากบ้านมาไกล วันไหนมีภาพยนตร์ที่สนุก ๆ ลุงโฮจะบอกให้เด็ก ๆ ที่ห่างไกลครอบครัวเข้าไปพบลุงโฮแล้วไปดูภาพยนตร์



มีอยู่ครั้งหนึ่ง เด็กทางใต้จะคิดถึงบ้านเกิดตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนจดหมายส่งถึงบ้านเกิดตัวเองอย่างไร ขณะที่เด็กภาคใต้ก็ไม่สามารถจะส่งจดหมายมาภาคเหนือได้ เพราะประเทศถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน มีเด็กคนหนึ่งอายุ 8 ขวบ เขียนจดหมายแล้วไม่รู้จะทำอย่างไรจะส่งไปภาคใต้ได้ ก็เลยขุดดินแล้วเอาจดหมายที่เขียนไว้ฝังไปในดิน และเอาดินกลบ แล้วก็พูดว่า "ดินเอ๋ย ช่วยส่งจดหมายนี้ส่งข่าวไปให้พ่อแม่ด้วย" คุณเตื่อง วี บอกว่า หลังจากที่ลุงโฮฟัง เรื่องราวเด็กคนนี้ก็รู้สึกสะเทือนใจ



อีกเรื่องหนึ่ง คือมีอยู่วันหนึ่ง คุณเตื่อง วี ไปกองทหาร เห็นลุงโฮกำลังให้อาหารปลา มีปลาหลายสีสวยงาม สีเขียว สีเหลือง เห็นลุงโฮกำลังเพลิดเพลินก็ไม่อยากรบกวน จึงย่องไปเบา ๆ แต่ไปเหยียบกิ่งไม้ ทำให้ลุงโฮหันมามอง เธอเลยถือโอกาสทักทาย ลุงโฮวางตะกร้าและตะเบ๊ะเหมือนทหารเขาทำกัน แล้วบอกว่านั่งลง เธอจึงนั่งอยู่ขอบสระ ลุงโฮถามในหน่วยของพวกหนูมีปลาหรือเปล่า เธอตอบว่าพวกหนูไม่มีบ่อปลา ลุงบอกว่ากลับไปบอกที่หน่วยซิ ให้ขุดบ่อเลี้ยงปลา แล้วมาซื้อปลากับลุง 1 ตัว จะแถมให้อีก 1 ตัว



"ความรู้สึกเป็นกันเองของลุงโฮเมื่ออยู่ใกล้ชิด ไม่รู้สึกประหม่า ยิ่งเคารพและก็รัก ในขณะที่กับผู้นำหน่วยของหนูเอง หนูจะรู้สึกกริ่งเกรงกันมาก แต่อยู่ใกล้ลุงโฮซึ่งเป็นผู้นำประเทศกับรู้สึกเป็นกันเอง เพราะลุงโฮเป็นคนที่เรียบง่าย และอารมณ์ดี" คุณเตื่อง วี ย้อนอดีตสมัยเป็นเด็กให้ฟัง



คุณเตื่อง วี เล่าว่า มีอยู่วันหนึ่งเดินไปคุยไปกับลุงโฮ ลุงโฮก็ถามว่า ร้องเพลงเสียงอะไร เธอบอกว่า ร้องสไตล์ซูปราโน ลุงโฮพูดว่าเป็นเสียงที่สูงนี่ และถามอีกคนว่า ร้องแบบไหน อีกคนก็ตอบว่า ร้องแบบเสียงระดับกลาง ลุงบอกว่า แบบนี้ต้องร้องประสานเสียง แล้วลุงก็มีศิลปินคนหนึ่งร้องแบบบาริโทน (เสี่ยงต่ำ) เด็ก ๆ ถามลุงโฮว่าอยู่ที่ไหนเหรอ ลุงโฮบอกว่าเงียบ ๆ แล้วไปกับลุง



ลุงโฮเดินย่องเบา ๆ พวกเด็กก็เดินตาม พอเข้าไปในสวนก็มีเสียงร้องกังวานออกมา ปรากฏว่าเป็น "กบ" คิวบา ที่เขามอบให้ ลุงโฮ ตัวใหญ่ประมาณ 2 กิโล กบจะอยู่ที่ พุ่มไม้ ทุก ๆ เย็นจะเปล่งเสียง ก็จะได้ยินเสียงศิลปินกบทุกวัน ทำให้คุณเตื่อง วี มีความรู้สึกว่า ลุงโฮมีความน่ารัก เรียบง่าย คุยเรื่องที่สอดคล้องเสมอ ๆ



เธอเล่าอีกว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง นักแต่งเพลงหลาย ๆ ท่านได้ร่วมกันแต่งเพลงให้ลุงโฮ เป็นเพลงที่ช่วยเป็นกำลังใจให้ลุงโฮ เวลาที่ไปเยี่ยมลุงโฮ นักแต่งเพลงจะแต่งเพลง ใหม่ ๆ มา แล้วไปร้องเพลงให้ลุงฟัง พอลุงโฮฟัง ก็จะบอกว่า "หนูร้องเพลงนี้เพราะ เหมาะกับโทนเสียงของหนู และบอกว่าเพลงนี้จะดังและอยู่ไปยาวนาน"



คุณเตื่อง วี มีโอกาสใกล้ชิดกับลุงโฮบ่อย เธอเล่าว่า ครั้งหนึ่งตอนตั้งท้องอยู่ ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ได้ไปร่วมร้องเพลงกับนักร้องท่านอื่น ๆ ตอนที่นักร้องไปถึงบ้านลุงโฮ ลุงโฮกำลังออกกำลังกายอยู่ แต่ทราบเรื่องว่าเธอไม่ค่อยแข็งแรง จึงก้าวเข้ามาข้างหน้าเธอ แล้วถามว่าเป็นอย่างไร แล้วเอานิ้วมาเปิดดูเปลือกตา แสดงความห่วงใย เมื่อดูแล้ว ลุงโฮบอกว่าตายังแห้งอยู่นะ ไม่ต้องร้องเพลงก็ได้ ให้พักผ่อนก่อน



"คิดว่าความเรียบง่ายของลุงโฮยิ่งใหญ่จริง ๆ ตราบเท่าทุกวันนี้ก็จำกลิ่นบุหรี่ของลุงโฮได้ และจำนิ้วของลุงโฮที่เปิดดูเปลือกตาได้" นี่คือความประทับใจที่คุณเตื่อง วี ไม่เคยลืมเลือน



ช่วงสุดท้ายของงานนี้ ปิดท้ายรายการด้วยเสียงเพลงอันไพเราะของคุณเตื่อง วี ในบทเพลงที่ลุงโฮเคยบอกเธอว่า "เพลงนี้จะดังและอยู่ไปยาวนาน"



( ประชาชาติธุรกิจ )

REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1277359008&catid=02 29/06/2010
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 12:59:17 น. มติชนออนไลน์

เสรีภาพที่ทับกัน นิธิ เอียวศรีวงศ์

เสรีภาพที่ทับกัน นิธิ เอียวศรีวงศ์


"ประชาธิปไตยเห็นต่างกันได้ แต่ไม่แตกแยก"


ปัญญาชนบางท่านย้ำเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ พธม.ชุมนุมใหญ่เป็นเดือนๆ และก็คงย้ำเรื่องนี้อยู่ในสมัยที่ นปช.ชุมนุมใหญ่ เพียงแต่เพิ่มประเด็น ม.28 ในรัฐธรรมนูญ "บุคคลย่อมใช้...สิทธิเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น"


เพราะ นปช.ชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์เป็นเดือน จึงละเมิดต่อสิทธิการช็อปปิ้งของคนอื่น


อันที่จริงก็เรื่องเดียวกัน คือการใช้สิทธิเสรีภาพนั้นต้องไม่ละเมิดความเห็นต่างของผู้อื่น และในขณะเดียวกัน ก็ไม่ละเมิดที่สาธารณะ ซึ่งผู้อื่นใช้ประโยชน์อยู่


คงไม่มีใครคัดค้านความเห็นนี้ได้ เพราะดูจะสอดคล้องกับ "ความชอบธรรม" (Law-แอลตัวใหญ่) ซึ่งมนุษย์ในอารยธรรมต่างๆ ย่อมมีในสำนึกอยู่แล้ว และแน่นอนสอดคล้องกับ " กฎหมาย" (law -แอลตัวเล็ก) ดังที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ



แต่เนื่องจากผมไม่เคยเรียนกฎหมาย ผมจึงไม่เชื่อว่ามีความถูกต้องชอบธรรมอะไรในโลกนี้ ที่ลอยอยู่อย่างเป็นอิสระจากเงื่อนไขแวดล้อมทางสังคม และเราอาจบัญญัติขึ้นเป็นความถูกต้องชอบธรรมสากล สำหรับเป็นบรรทัดฐานตัดสินการกระทำของคนทั่วไปได้หมด


ผมไม่ปฏิเสธว่า การใช้เสรีภาพของตนไปละเมิดเสรีภาพของผู้อื่นนั้นย่อมไม่ถูกต้อง แต่ความรู้ว่าอะไรผิด อะไรถูกนั้น มีความสำคัญแก่สังคมโดยรวมน้อยกว่าความรู้ว่า ผู้กระทำ ได้กระทำผิดท่ามกลางเงื่อนไขอะไร เพราะความรู้เกี่ยวกับเงื่อนไขแวดล้อมต่างหาก ที่สังคมจะสามารถจัดการเพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทำผิดเช่นนั้นได้อีก


มิฉะนั้นแล้ว เราก็ต้องวนกลับมาสู่การบัญญัติความผิด-ถูกให้เข้มข้นขึ้น เช่นเพิ่มโทษผู้กระทำ "ผิด"ให้แรง แต่อำนาจของกฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่เคยพอที่จะปรามหรือกำกับควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ได้ เพราะแรงผลักดันที่ใหญ่กว่าของพฤติกรรมของคนมาจากเงื่อนไขแวดล้อมทางสังคมต่างหาก



ผมจึงอยากให้เรามามองการชุมนุมที่ผ่านมา ทั้งของ พธม.และ นปช. แต่ไม่ใช่มองว่าได้ละเมิดเสรีภาพของคนอื่นอย่างไร หรือผิดกฎหมายอย่างไร หากมองไปที่เงื่อนไขแวดล้อมทางสังคมที่ผลักให้คนจำนวนมาก เข้าร่วมชุมนุม และฝ่าฝืน "กฎหมาย" ทั้งๆ ที่รู้ว่าได้ฝ่าฝืนกฎหมาย


พื้นที่การชุมนุมของทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นพื้นที่สาธารณะ เมื่อจัดการชุมนุมขึ้นย่อมกีดขวางการใช้ประโยชน์พื้นที่นั้นของบุคคลอื่น


เหตุใดจึงต้องใช้พื้นที่สาธารณะในการชุมนุมทางการเมือง? ก็เพราะพื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ทางการเมืองที่มีพลังที่สุดในสังคมไทย เป็นพื้นที่ซึ่งการเรียกร้อง, การประท้วง, การระบายความเดือดร้อนอันเกิดจากความไม่ชอบธรรม (ย้ำไม่ชอบธรรมไม่ได้แปลว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย), ฯลฯ ได้การรับฟังจากสังคมโดยรวมได้เร็วและกว้างที่สุด


ทำไมสังคมจึงรับฟังได้เร็วและกว้าง ก็เพราะชีวิตปกติของคนจำนวนหนึ่งถูกกระทบ (ไม่ได้ช็อปปิ้ง, เสียงดังจนสอนหนังสือไม่ได้, เดินทางไม่สะดวก ฯลฯ) คนจึงพร้อมจะเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังมาจากพื้นที่ทางการเมืองตรงนั้น ฟังโดยตรงหรือฟังจากคนอื่นอีกทีก็ตาม ฟังแล้วเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ได้ฟังสิ่งซึ่งปกติแล้วก็ไม่สนใจจะฟัง


เพราะคนอยากฟัง สื่อจึงเสนอข่าวมาก (ไม่ว่าจะเสนออย่างเที่ยงตรงหรือไม่) เมื่อเสนอมาก ก็ทำให้ "พื้นที่" ทางการเมืองนั้นกว้างออกไปกว่าพื้นที่ชุมนุม จนอาจครอบคลุมสังคมทั้งสังคมได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่ายผู้มีอำนาจในรัฐจะไม่ฟังเลยก็ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องตอบสนองในทางใดทางหนึ่ง ที่เก็งว่าจะได้ความเห็นชอบของคนนอกพื้นที่ชุมนุม"พื้นที่" ทางการเมืองของผู้ชุมนุม จึงขยายเข้าไปแม้แต่ใน "พื้นที่" ทางการเมืองของฝ่ายปรปักษ์ด้วย


ด้วยเงื่อนไขเฉพาะของสังคมไทยเอง พื้นที่สาธารณะที่เหมาะจะใช้เป็น "พื้นที่" ทางการเมืองอย่างได้ผล ต้องเป็นพื้นที่ในกรุงเทพฯ สมัชชาคนจนเคยยึดหัวเขื่อนปากมูลเป็นปี แต่สื่อก็แทบไม่เคยพูดถึงความเดือดร้อนที่ประชาชนเหล่านั้นได้รับจากเขื่อนปากมูล กลายเป็น "พื้นที่" ทางการเมืองที่แทบจะไม่มีผลทางการเมืองอะไรเลย


"พื้นที่" ทางการเมืองของประชาชนไทย โดยเฉพาะในหมู่คนชั้นกลางระดับกลางลงไปถึงระดับล่าง มีไม่มากนัก เพราะ "พื้นที่" ทางการเมืองในสังคมไทยนั้น ถูกจับจองผูกขาดโดยคนสองจำพวก หนึ่ง คือผู้ถืออำนาจรัฐ อันได้แก่ข้าราชการระดับใหญ่ๆ ขึ้นไปถึงนักการเมือง, นักรัฐประหาร, สถาบันวิชาการ, สถาบันตุลาการ, และสถาบันอื่นๆ (อำมาตย์) และสอง คือทุนขนาดใหญ่ ซึ่งมีตัวพ่วงตามมาอีกมาก นับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์, สภาพัฒน์, หอการค้า, นักวิชาการของมหาวิทยาลัยในสังกัด, นิตยสารทางธุรกิจทั้งไทยและเทศ, ฯลฯ (ทุนสามานย์)


คนชั้นกลางระดับกลางและล่างเคยอยู่กันมาได้ท่ามกลาง"พื้นที่"ทางการเมืองอันจำกัดนี้ แต่ในสองสามทศวรรษที่ผ่านมา โลกาภิวัตน์และการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการผลิตเชิงพาณิชย์ ทำให้ "ทุนสามานย์" ขยายอำนาจเข้าไปกำกับ "พื้นที่" ทางการเมืองได้ไพศาลมากขึ้น "อำมาตย์" ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพลังคานอำนาจของ "ทุนสามานย์" บ้าง ก็ลดพลังลง สื่อซึ่งครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่กับคนชั้นกลางระดับกลาง ก็ถูก "ทุนสามานย์" กลืนกินไป จนกระทั่งต้องลดความเป็น "พื้นที่" ทางการเมืองของคนกลุ่มนี้ลงไปมาก


ในขณะเดียวกัน คนชั้นกลางระดับล่างซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในช่วงเดียวกันนี้ ก็กระหายจะได้ "พื้นที่" ทางการเมืองของตนเพิ่มขึ้น เพราะผลประโยชน์ของตนไปผูกพันกับนโยบายสาธารณะของรัฐในด้านต่างๆ มากขึ้น ในขณะที่เงื่อนไขแวดล้อมทางสังคมไม่ได้เปิด "พื้นที่" ทางการเมืองใหม่ๆ ขึ้นมา



ผมขอยกตัวอย่างการ picketting ในสหรัฐเป็นตัวอย่างของ "พื้นที่" การเมืองใหม่ๆ ในสหรัฐ คนอาจร่วมมือกันต่อต้าน (ยกตัวอย่างเช่น) บริษัทผลิตผลไม้ ที่ใช้แรงงานเด็กต่างชาติอย่างกดขี่ โดยผลัดกันเดินขบวนเล็กๆ หน้าซุปเปอร์ ถือป้ายต่อต้านบริษัทนั้น ไม่ได้ห้ามมิให้คนเข้าไปช็อปปิ้ง แต่แจกเอกสารชี้แจงว่า ไม่ควรซื้อผลไม้ยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ เพราะใช้แรงงานต่างชาติอย่างไร้มนุษยธรรม


นักช็อปปิ้งก็ไม่เดือดร้อนอะไร รับเอกสาร (หรือปฏิเสธที่จะรับ) แล้วก็เดินเข้าไปซื้อของเป็นปกติ เป็นการใช้พื้นที่สาธารณะที่ไม่ละเมิดเสรีภาพของคนอื่น


แต่ "พื้นที่" ทางการเมืองเช่นนี้ของอเมริกันต่างจากไทย เนื่องจากคนอเมริกันที่รับเอกสารไปมักจะอ่าน แม้อย่างผาดๆ หากไม่สนใจก็ทิ้งไป หากสนใจก็อาจเก็บกลับไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเองที่บ้าน เกิดคนที่มีสำนึกอย่างเดียวกันมากขึ้น และเผยแพร่ข้อมูลนั้นออกไปแก่ "เครือข่ายทางสังคม" ของตนเอง ยิ่งกว่านี้ หากการ picketting ทำได้กว้างขวาง สื่ออเมริกันก็อาจสนใจ ส่งผู้สื่อข่าวของตนออกไปดูการทำงานของบริษัทผลิตผลไม้นั้น แล้วเสนอข่าวความโหดร้ายทารุณของบริษัทให้รู้ทั่วไปในวงกว้าง "พื้นที่" ทางการเมืองจึงยิ่งขยายใหญ่ขึ้น และมีผลบีบบังคับให้บริษัทดังกล่าวต้องปรับเปลี่ยนนโยบายหากำไรที่สังคมพอรับได้ขึ้นมาใหม่


แต่อย่างที่รู้กันอยู่แล้วนะครับว่า คนไทยไม่อ่านหนังสือ จะบอกอะไรแก่ใครจึงต้องตะโกน และอาจต้องใช้คำหยาบบ้างเพื่อให้ฟัง (คำหยาบสร้างสภาวะอปกติขึ้นในภาษา) ส่วนสื่ออเมริกันนั้นมีกึ๋นกว่าสื่อไทย จึงกระตือรือร้นที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงกว่ากันมาก ก็ขนาดสมัชชาคนจนชุมนุมที่หัวเขื่อนเป็นปี ยังไม่มีใครส่งผู้สื่อข่าวของตนไปทำข่าวเลยสักฉบับหรือช่อง ในขณะที่มีผู้สื่อข่าวต่างประเทศหลายฉบับลงพื้นที่เก็บข่าว


ถ้าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกดขี่แรงงานในสวนผลไม้ของบริษัทเป็นที่รู้แพร่หลายมากขึ้น พรรคการเมืองอเมริกันก็จะขยับตัว แต่ก็ไม่ขยับตัวเพียงเพื่อเก็บเกี่ยวคะแนนเสียงในระยะสั้น หากขยับตัวเพื่อค้นหาความจริงที่กว้างกว่าการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของบริษัทเดียว แต่จะตรวจสอบว่าปรากฏการณ์เอารัดเอาเปรียบแรงงานเช่นนี้ ปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางเพียงไรในแหล่งผลิตผลไม้ของประเทศ เพื่อที่จะผลักดันกฎหมายที่อาจมีผลต่อการห้ามหรือปรามการปฏิบัติเช่นนี้ทั่วทั้งประเทศ


ความสำเร็จของนักเดินขบวนประท้วงในการขยายพื้นที่ทางการเมือง จากหน้าซุปเปอร์ฯ ไปจนถึงสังคมวงกว้างและจนถึงรัฐสภา มาจากมูลเหตุขั้นพื้นฐานสองอย่าง หนึ่งคือความรู้สึก "อาทร" ต่อเพื่อนมนุษย์ และกลไกทางการเมืองของสังคมประชาธิปไตย


ทั้งสองอย่าง ไม่มีในประเทศไทย เราได้แต่โฆษณาให้คนไทยรักกัน แต่สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว ความรักแบบมีช่วงชั้นทางสังคม คือคนชั้นสูงรักแบบเอ็นดูคนชั้นต่ำ ในขณะที่คนชั้นต่ำรักแบบเคารพนบนอบคนชั้นสูง ไม่สามารถใช้ในเมืองไทยได้อีกต่อไป สังคมไทยในปัจจุบันต้องการความรักแบบเสมอภาค ซึ่งก็คือความอาทรต่อกันและกัน


กลไกทางการเมืองของไทย (เช่นพรรคการเมือง) ไม่เคยทำงานอย่างที่ควรทำในสังคมประชาธิปไตย ได้แต่เล่นเกมส์การเมืองแบบระยะสั้น เพื่อหาเสียงไปวันๆ เท่านั้น จึงไม่เคยเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้แก่คนชั้นกลางระดับกลาง และคนชั้นกลางระดับล่างจริง



โดยสรุปก็คือ ทั้งเหลือง (คนชั้นกลางระดับกลาง) และแดง (คนชั้นกลางระดับล่าง) ต่างก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วในสังคมไทย และต่างก็มีความจำเป็นต้องมีพื้นที่ทางการเมืองที่ขยายใหญ่ขึ้น พอจะทำให้การเคลื่อนไหวของเขามีผลต่อนโยบายสาธารณะทั้งคู่ แต่เราไม่มี "พื้นที่" ทางการเมืองใหม่ๆ เกิดขึ้นเพื่อคนเหล่านี้ นอกจากการเลือกตั้ง 4 ปีครั้ง ที่เหลือคือกฎหมายประเภทต่างๆ ที่ปิดกั้นมิให้เกิด "พื้นที่"ทางการเมืองที่เป็นอิสระจากอำมาตย์และทุนสามานย์ได้
ดังนั้น ถึงแม้จะพร่ำเตือนว่าการใช้เสรีภาพของตนต้องไม่ละเมิดเสรีภาพของคนอื่นอย่างไร ก็ได้แต่ท่องจำกันไป หากในชีวิตจริงปฏิบัติไม่ได้


เพราะ "พื้นที่" ทางการเมืองซึ่งจะทำให้ไม่ต้องละเมิดเสรีภาพของคนอื่น ไม่มีในสังคมไทย

REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1277635637&grpid=&catid=02 29/06/2010
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 20:42:04 น. มติชนออนไลน์

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สื่อไทยในสถานการณ์ความขัดแย้ง

สื่อไทยในสถานการณ์ความขัดแย้ง

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์


ในการสนทนากับนักข่าวทีวีช่องหนึ่ง ผมถามเธอว่า เคยสังเกตบ้างไหมว่า เมื่อครั้งที่เสื้อแดง "บุก" รัฐสภา ภาพถ่ายที่ลงในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ จะเป็นภาพที่ถ่ายจากกองกำลังฝ่ายรัฐซึ่งตั้งอยู่หลังประตู ไม่มีภาพที่ถ่ายจากมุมของฝ่ายเสื้อแดงเลย


เธอตอบว่า ก็รู้สึกน่ากลัวที่จะยืนอยู่ฝ่ายเสื้อแดง ผมถามว่ากลัวอะไร เธอตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกน่ากลัว


อันที่จริงคำถามของผมเพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นอย่างง่ายๆ ว่าการทำข่าวการชุมนุมของสื่อไทยนั้นให้น้ำหนักแก่ข่าวความขัดแย้งอย่างไม่สมดุลเท่านั้น ภาพถ่ายที่มองจากมุมเดียวของเหตุการณ์ "บุก" สภานั้น อาจอธิบายทางเทคนิคได้ว่า เพราะฝ่ายเสื้อแดงเป็น "ผู้กระทำ" (actor) จึงเป็นธรรมดาที่กอง บ.ก.ย่อมเลือกภาพที่มองเห็น "ผู้กระทำ" มากกว่า "ผู้ถูกกระทำ" ในความเป็นจริงแล้ว นักข่าวอาจส่งภาพจากทั้งสองฝั่งมาจำนวนมากก็ได้


แต่แม้ตอบอย่างนั้น ก็ยังมีคำถามตามมาอีกว่า เราจะวินิจฉัยคนในข่าวความขัดแย้งว่า ใครคือ "ผู้กระทำ" และใครคือ "ผู้ถูกกระทำ" ได้จากปรากฏการณ์เฉพาะหน้าที่เห็นเท่านั้นหรือ ถ้าสื่อไทยตอบว่าใช่ ก็ถือว่าเป็นคำอธิบายความไม่สมดุลของการทำข่าวได้หมดจดแล้ว ไม่มีเรื่องจะคุยกันต่อไป


อย่างไรก็ตาม คำตอบของนักข่าวหญิงท่านนั้นน่าสนใจ เพราะหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 10 เมษายน สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หลายแง่หลายมุมของเหตุการณ์นั้นถูกเปิดเผยขึ้นจากนักข่าวต่างประเทศ (และสำนักข่าวของไทยแห่งหนึ่ง อันเป็นสำนักข่าวใหม่) จนทำให้ฝ่ายรัฐต้องสร้างคำอธิบายใหม่ให้แก่เหตุการณ์หลายครั้ง จนมาลงเอยที่คนชุดดำ และการก่อการร้าย


หากไม่นับสำนักข่าวไทยแห่งใหม่นั้นแล้ว ในข่าวที่ใหญ่และมีความสำคัญต่อทั้งปัจจุบันและอนาคตของไทยขนาดนั้น สื่อไทยได้ฝากฝีมืออะไรไว้บ้าง? และทั้งหมดนี้อธิบายได้ด้วยความกลัวเท่านั้นหรือ?


จนถึงทุกวันนี้ สังคมไทยก็ไม่รู้ว่าได้เกิดอะไรขึ้นจริงๆ ในวันที่ 10 เมษายน สื่อไทยได้แต่ตามสัมภาษณ์บุคคลในเหตุการณ์ที่เข้าถึงได้ง่าย เช่นผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่ายในโรงพยาบาล เหตุการณ์ "สังหารหมู่" (ไม่ว่าใครเป็นผู้ทำ) ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของไทยครั้งนี้ จึงมีแต่เรื่องราวของผู้คนที่บาดเจ็บล้มตายโดยตัวเขาเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก และสังคมไทยเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเท่ากัน


และก็คงจะเช่นเดียวกับการ "สังหารหมู่" ครั้งอื่น ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลา, 6 ตุลา, หรือพฤษภาทมิฬ สื่อไทยไม่เคยทำการสืบสวนในเชิงข่าว เพื่อให้เห็นภาพของความสลับซับซ้อนเบื้องหลังเหตุการณ์ แก่นเรื่องของเหตุการณ์กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างวีรชนและทรราช ส่วนใครจะเป็นวีรชนหรือใครจะเป็นทรราชนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเขามีโอกาสพูดถึงวีรกรรมของเขาได้มากน้อยเพียงไรหลังเหตุการณ์ แน่นอนว่าฝ่ายชนะย่อมมีโอกาสมากกว่า


และนี่หรือมิใช่ คือเหตุผลหลักที่สื่อไทยยังพูดถึงการสังหารหมู่ครั้งนี้ไม่ได้ เพราะยังไม่มีใครแพ้ชนะอย่างเด็ดขาด แก่นเรื่องที่สื่อถนัดจึงยังไม่โผล่ออกมา


โดยปราศจากความรู้ความเข้าใจการสังหารหมู่ทางการเมือง ท่ามกลางสื่อที่ไร้สมรรถภาพเช่นนี้ จึงเป็นที่แน่นอนว่าสังคมไทยย่อมจะเผชิญการสังหารหมู่ทางการเมืองต่อไปอีกหลายครั้งในอนาคต


แน่นอนว่า ความสามารถที่จะวิเคราะห์เหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่มีความสลับซับซ้อนอย่างมากนั้น เกิดขึ้นได้ก็เพราะมีข้อมูลที่ได้ถูกพิสูจน์แล้ว (verified) จำนวนมากพอ แต่สื่อไทยไม่ถนัดในการพิสูจน์ข้อมูล ที่ทำกันเป็นปกติก็คือ หยิบข้อกล่าวหาของฝ่ายหนึ่งไป "พิสูจน์" โดยนำไปถามผู้ถูกกล่าวหา อย่างที่เรียกกันว่าการทำข่าวแบบปิงปอง


แท้จริงแล้ว การพิสูจน์ความจริง (verification) เป็นหัวใจสำคัญของการทำข่าวคู่กันไปกับการ "อธิบาย" (ซึ่งจะพูดถึงข้างหน้า) และการพิสูจน์ความจริงเป็นเทคนิควิธีที่จะต้องฝึกปรือ (ทั้งจากสถานศึกษาและจากประสบการณ์การทำงานจริง) เจนจัดที่จะรู้ว่าจะตรวจสอบข้อมูลหนึ่งๆ ที่แหล่งใด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบโดยตรงหรือโดยอ้อม


แต่ความสามารถของนักข่าวไทยในการทำงานที่มีความสำคัญระดับพื้นฐานเช่นนี้อ่อนด้อยอย่างยิ่ง เนื่องจากการฝึกที่ไม่เพียงพอ ทั้งจากสถานศึกษาและที่ทำงาน ในสถานการณ์ความขัดแย้งเช่นนี้ สื่อไทยจึงได้แต่หยิบฉวยข้อมูลใกล้มือไปใช้ โดยไม่ได้มีการพิสูจน์ความจริงเลย คู่ขัดแย้งเพียงแต่พยายามทำให้ข้อมูลของฝ่ายตนอยู่ "ใกล้มือ" นักข่าวที่สุดเท่านั้น


คำถามที่นักข่าวป้อนให้แก่แกนนำ นปช.ก็ตาม ผู้อำนวยการ ศอฉ.ก็ตาม จึงตื้นเขินและแสดงถึงการไม่ทำ "การบ้าน" อย่างชัดเจน ที่จริงแล้วนักข่าวจะทำ "การบ้าน" ได้ดี ก็ต่อเมื่อต้องมีข้อมูลที่ถูกพิสูจน์แล้วจำนวนมากในกระเป๋าด้วย ถ้ากระเป๋าว่างเปล่า ถึงจะขยันเท่าไร ก็เท่ากันกับไม่ได้ทำ "การบ้าน" อยู่นั่นเอง


เขาป้อนอะไรมา นักข่าวก็ได้แต่เอ๋อ ที่ถามต่อ ก็เป็นเพียงต้องการความชัดเจน เพื่อส่งต่อให้โรงพิมพ์ได้สะดวก


เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการ "เลือกข้าง" ไม่ว่าสื่อจะเลือกข้างใดในความขัดแย้ง สื่อก็ยังมีหน้าที่พิสูจน์ความจริงของข้อมูลอยู่นั่นเอง เพราะนั่นคือสาระของสินค้าที่สื่อผลิตขายผู้บริโภค นักข่าวหรือ บ.ก.จะสวมเสื้อหลากสี หรือได้สัมปทานทีวีของรัฐเท่าไรก็เป็นเรื่องของบุคคล แต่พวกท่านทั้งหลายเก็บสตางค์จากผู้อ่านด้วยเหตุผลว่า ท่านจะขายข่าวที่ได้พิสูจน์ความจริงจนสุดความสามารถของท่านแล้ว... ทั้งนี้ ถ้าสื่อไม่ใช่แก๊งต้มตุ๋น


อีกด้านหนึ่งของการทำข่าว นอกจากการพิสูจน์ความจริงของข้อมูล ก็คือการอธิบาย หรือการเล่า (narration)


คนเราไม่สามารถ "เล่า" อะไรได้ ไม่ว่าจะมีข้อมูลที่พิสูจน์แล้วมากสักเพียงใด จนกว่าจะได้สร้างโครงเรื่องขึ้นก่อน ฉะนั้นทุกๆ การเล่า จึงมีคำอธิบายอยู่ในนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และโครงสร้างของเรื่องราวนี่แหละที่อาจมีอคติส่วนตน, ผลประโยชน์ทางอุดมการณ์, อิทธิพลของนาย ฯลฯ แทรกเข้ามาได้ โดยอุดมคติแล้ว สื่อควรป้องกันมิให้สิ่งเหล่านี้เข้ามากำกับการเล่าข่าวของตนจนสุดความสามารถที่มนุษย์จะทำได้


แต่ในปัจจุบัน คนทำข่าวบางคนถึงกับอ้างสื่อฝรั่งมังค่าว่า การ "เลือกข้าง" เป็นสิ่งปกติและสื่อควรทำ (โดยไม่ดูผลกระทบต่อสังคมฝรั่งว่า เมื่อสื่อ "เลือกข้าง" แล้วเกิดอะไรขึ้นแก่สังคมการเมืองฝรั่งบ้าง) สื่อก็ควรได้รับคำเตือนด้วยว่า หาก "เลือกข้าง" จริง ก็ช่วยประกาศออกมาเลยว่าได้ "เลือกข้าง" ไหนไปแล้ว ผู้บริโภคควรมีสิทธิในการปกป้องตนเองด้วยวิจารณญาณมากขึ้น อย่าเสนอตัวประหนึ่งเป็นสื่อที่มุ่งประกอบอาชีวปฏิญาณอย่างบริสุทธิ์ (ดังนั้น โดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว ไม่รู้สึกว่าทีวีช่องหอยม่วงน่ารังเกียจเท่ากับช่องทีวีไทย แม้ทั้งสองช่องใช้เงินของผู้บริโภคดำเนินการทั้งคู่ก็ตาม)


คำเตือนอีกข้อหนึ่งก็คือ ถึงจะ "เลือกข้าง" อย่างไร โครงสร้างของเรื่องราวที่เสนอ ต้องไม่ละทิ้ง, กลบเกลื่อน, ปิดบัง, บิดเบือน ฯลฯ ข้อมูลที่ได้พิสูจน์ความจริงแล้ว หากข้อมูลเหล่านั้นยังสามารถรองรับโครงสร้างของเรื่องราวได้อยู่โดยไม่ติดขัด หรือโดยไม่แย้งกันในตัวเอง การ "เลือกข้าง" ของสื่อก็ดูจะมีผลกระทบต่อการเสนอข่าวตามอาชีวปฏิญาณไม่มากนัก


อย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่สื่อไทยไม่ให้ความสำคัญแก่การพิสูจน์ความจริงของข่าว การ "เลือกข้าง" จึงทำให้โครงสร้างของเรื่องราวที่สื่อสร้างขึ้นเต็มไปด้วยอคติได้ง่าย โดยสื่อไม่เคยเตือนผู้อ่านเลยว่า ตนได้เลือกข้างไหนไปแล้ว


หลายคนพูดตรงกันว่า ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่สังคมไทยเผชิญอยู่ สื่อไทยเลือกจะเซ็นเซอร์ตัวเอง เหตุใดจึงต้องเซ็นเซอร์ตัวเองเป็นเรื่องเข้าใจยาก รัฐไทยในปัจจุบัน แม้มีอำนาจเด็ดขาดจากกฎหมายความมั่นคงและสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง แต่ทุกคนก็รู้ว่า ในความเป็นจริงรัฐไม่มีอำนาจจริงที่จะกำกับควบคุมสื่อเอกชนได้ หากความพยายามจะลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารข้อมูลของรัฐถูกแฉแก่สาธารณชน รัฐจะตกในฐานะลำบากยิ่งขึ้นไปอีก


พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เพียงแต่สื่อขยับตัวเท่านั้น ไม่ต้องลุกขึ้นสู้ด้วยซ้ำ รัฐก็ต้องถอย แต่สื่อกลับเลือกจะโอนอ่อนให้แก่แรงกดดันของรัฐ ทั้งนี้ หมายรวมถึงสื่อทุกชนิด รวมทั้งทีวีด้วย


แรงกดดันจากทุนอาจมีความสำคัญกว่ารัฐ เหตุใดทุนจึง "เลือกข้าง" คำตอบหนึ่งที่พูดกันอยู่เสมอคือผลประโยชน์ทางธุรกิจ เช่นนายทุนทีวีต้องการต่อสัมปทานเป็นต้น แต่น่าสงสัยว่าคำอธิบายนี้ไม่เพียงพอ ผลประโยชน์ของนายทุนทีวีนั้นสลับซับซ้อนหลายแง่หลายเงื่อน ผูกพันเชื่อมโยงไปถึงทุนอีกหลายกลุ่ม การจะได้หรือไม่ได้สัมปทานจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำตัวน่ารักแก่รัฐบาลที่ครองอำนาจอยู่เท่านั้น (ซึ่งก็ถูกเปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็ว) ความเชื่อมโยงกับทุนหลากหลายกลุ่มที่มีอำนาจกำกับการเมืองอยู่ต่างหาก ที่ทำให้สัมปทานจากรัฐมีความมั่นคง


สิ่งที่ผูกพันทุนไว้กับ "ระเบียบ, ความสงบเรียบร้อย, นิติรัฐ, ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ ฯลฯ" นั้นมีสองอย่าง อำนาจต่อรองทางการเมืองที่สูงสำหรับรักษาผลประโยชน์ทางธุรกิจของทุน "ฝ่ายกู" นั้นอย่างหนึ่ง และอคติทางวัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่ง อย่างที่สองนี้แหละที่อธิบายการเซ็นเซอร์ตัวเองของทุนสื่อเอกชน ที่ไม่ต้องขอสัมปทานจากรัฐได้ ก็โตและรวยมาท่ามกลาง "ระเบียบ, ความสงบเรียบร้อย, นิติรัฐ, ผลิตภัณฑ์มวลรวม ฯลฯ" อย่างนี้นี่หว่า จะปล่อยให้พวกบ้านนอกขอกตื้อมาละเลงจนเละไปได้อย่างไร


ศัตรูของเสรีภาพสื่อไทยนั้นไม่ใช่รัฐมานานแล้ว แต่คือทุน ถ้าเราไม่ตระหนักเรื่องนี้ให้ดี เราก็จะไม่ช่วยกันสร้างกลไกทางกฎหมาย, สังคม, และวัฒนธรรม ที่แข็งแกร่งพอจะปกป้องเสรีภาพของสื่อได้เลย


ถ้าสังคมไทยมีข้อมูลรอบด้าน มองเห็นทั้งข้ออ่อนข้อแข็งของแต่ละฝ่ายที่ร่วมอยู่ในความขัดแย้ง การใช้ความรุนแรงกับความจริงจะทำได้ยากขึ้น เพราะจะถูกสื่อตรวจสอบอย่างรวดเร็วและหนักแน่น ทุกฝ่ายจะต้องระมัดระวัง ไม่ใช้ความเท็จเป็นเครื่องมือต่อสู้ เพราะจะทำให้เสียความชอบธรรมจนเพลี่ยงพล้ำ โอกาสของการใช้ความรุนแรงของทั้งสองฝ่ายก็จะลดลงอย่างมาก แม้แต่ทางออกจากความขัดแย้งเฉพาะหน้าก็อาจเห็นได้ชัดขึ้น


แต่ในสถานการณ์ความขัดแย้งซึ่งหลายคนมองเห็นว่า สื่อไทยไม่ "เป็นกลาง" นั้น ไม่จำเป็นต้องตีโวหารอะไรให้มากหรอก คุณไม่มีกึ๋นจะ "เป็นกลาง" ได้ ก็เท่านั้นเอง
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1274177091&catid=02 03/06/2010

"ภาพ"ที่คนไทยควรได้เห็นจากสื่อของตัวเอง

"ภาพ"ที่คนไทยควรได้เห็นจากสื่อของตัวเอง

โดย ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล




คลิกชม - คลิปข่าว"บีบีซี"รายงานเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ปะทะกับคนเสื้อแดง



คลิกชม - คลิปเสียงชาวบ้านด่ารัฐ-เอาตัวขวางไม่ให้ทหารขยับเข้าใกล้พื้นที่ชุมนุม





นานาทัศนะจากจอทีวีถึงชาวบ้านข้างถนนภาพและเสียงที่อยากให้คนไทยได้ฟัง รวมไปถึงกลุ่มคนที่ออกมากีดกันทหารไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ชุมนุม และนานาอาวุธที่ชาวบ้านประดิษฐ์คิดค้นมาต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหาร ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทุบก้อนอิฐ ปูน เสียงและภาพมาจากชาวบ้านข้างถนนไม่มีเครื่องแบบและโต๊ะ



แถลงข่าวอย่างเป็นทางการเหมือนกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)


หนึ่งในรายการที่กล่าวถึงการชุมนุม รายการ "เดลี่พิคเจอร์" โดย ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ คุณปลื้ม กล่าวว่า ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นั่งดูสื่อทั้งวัน สื่อไทยดีๆก็มี แต่ปรากฏว่า บางทีสื่อต่างประเทศรายงานข่าวในประเทศมากกว่าคนไทยรายงานเอง เช่น อัลจาซีร่า ซีเอ็นเอ็น เอพี ได้นำภาพที่สุดที่คนไทยควรจะได้เห็นจากสื่อของตนเอง


จะขอนำเสนอภาพบางภาพที่ เอพี ได้ถ่ายมาจากเหตุการณ์ ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่าตอนนี้มันเปรียบเสมือนสงครามกลางเมืองแล้ว มันไม่ใช่ว่าเสื้อแดงมีความชอบธรรม แต่มันผิดตั้งแต่ที่มีการปฏิวัตินายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากเสียงส่วนใหญ่ของชาติออกไป


"เมื่อคุณพลิกแผ่นดินอย่างนั้น คุณจะให้คนทุกคนที่เลือก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเข้ามาเขายอมหรือไง คุณจะให้เขานอนอยู่เฉยๆโดยไม่เรียกร้องสิทธิ ทุกคนที่เขาออกมาในวันนี้เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่ได้รับการปกครองอย่างที่เขาควรจะได้ ที่เขาออกมาในวันนี้เพราะเขารู้สึกว่าการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมไทยภายใต้โครงสร้างทางการเมือง ณ เวลานี้มันไม่ค่อยเป็นธรรม ตราบใดที่เขายังรู้สึกอย่างนั้น วันนี้กลุ่มคนเสื้อแดงเขาก็พร้อมที่จะสู้จนตาย" และกล่าวต่อว่า ที่ต้องบอกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีต้องยุบสภาเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าข้างในเสื้อแดงเขาพร้อมสู้จนตาย


"ถ้าคุณพร้อมสู้กับคนที่จะสู้จนตาย หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าคุณพร้อมที่จะฆ่าเขา ถ้าเป็นอย่างนั้นเมื่อไหร่ แนวทางที่ดีกว่า คือทางออกทางการเมือง"



ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวว่า ฉะนั้นวันนี้ถ้านายกฯไม่ยุบสภา ถึงเวลานายกฯมือจะเปื้อนเลือด เปื้อนไปแล้วด้วย แล้วในอนาคตนายอภิสิทธิ์กลับมาเป็นนายกฯไม่ได้แล้ว แคนดิเดตนายกฯในประเทศไทยมีไม่กี่คนอยู่แล้ว ทุกวันนี้ถูกตัดสิทธิ์ไปเกือบหมด ที่เหลืออยู่ก็มีไม่กี่คน คนรุ่นใหม่อย่างคุณกรณ์ จาติกวณิช คุณอภิสิทธิ์ก็ไปอยู่ในข่ายที่คนเสื้อแดงไม่เอาแล้ว ทางออกสำหรับประเทศไทยมีไม่มาก ถ้าไม่ยุบสภาในวันนี้ ในที่สุดแล้ว คนตายอีกเยอะ (คลิกชมคลิปที่รูปกล้องวิดีโอเหนือพาดหัวข่าว)
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1274154100&catid=02 03/06/2010

นิติรัฐที่ไร้นิติธรรม

นิติรัฐที่ไร้นิติธรรม

โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดูราวกับคำว่า "นิติรัฐ" จะได้รับการเน้นย้ำในฐานะเป็นเป้าหมายสำคัญประการหนึ่งในการนำสังคมไทยกลับสู่ความเป็นปกติ ทั้งรัฐบาลและฝ่ายที่สนับสนุนต่างก็อ้างอิงถึงถ้อยคำนี้ว่า เป็นเงื่อนไขที่ต้องได้รับการปกป้องมากกว่าสิ่งอื่นใด


นิติรัฐ (Legal State) อันหมายถึงรัฐที่ยอมตนอยู่ภายใต้กฎหมาย เป็นแนวความคิดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อควบคุมการกระทำของรัฐมิให้ดำเนินไปตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจทางการเมือง การใช้อำนาจของรัฐต้องอยู่ใต้กรอบของกฎหมายที่ได้วางไว้ล่วงหน้า บนพื้นฐานความเชื่อว่าการกระทำในลักษณะดังกล่าวนี้จะช่วยสามารถปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้ดำรงได้อย่างมั่นคง มากกว่ารัฐตำรวจอันมีความหมายถึงรัฐที่มุ่งเน้นการใช้อำนาจเป็นด้านหลัก


แนวความคิดเรื่องนิติรัฐเป็นสิ่งที่ถูกยอมรับและนำไปปฏิบัติอย่างแพร่หลายในโลกปัจจุบัน ถือเป็นแนวความคิดสำคัญของระบอบเสรีประชาธิปไตยซึ่งมีความเชื่อในระบอบของกฎหมายมากกว่าตัวบุคคล


แม้นิติรัฐจะเป็นหลักการที่มีความสำคัญอันหนึ่งสำหรับสังคมประชาธิปไตย แต่พึงต้องระวังไว้อย่างยิ่งยวดเช่นเดียวกันว่าลำพังเพียงแค่การใช้อำนาจของรัฐ แม้ดำเนินไปภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติไว้ล่วงหน้าก็อาจเป็นการกระทำที่นำไปสู่ความไม่เป็นธรรมอย่างรุนแรงได้ หากมิได้พิจารณาถึงความชอบธรรมที่ดำรงอยู่ในบทบัญญัติของกฎหมาย หรือลักษณะการบังคับใช้กฎหมายของรัฐเข้ามาประกอบ


ในประวัติศาสตร์ของการใช้อำนาจของผู้ถืออำนาจรัฐหลายแห่งก็เป็นการกระทำที่มีกฎหมายรองรับ แต่ก็เป็นสิ่งที่ถูกโต้แย้งหรือปฏิเสธอย่างรุนแรง ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือการใช้อำนาจของรัฐบาลเยอรมันภายใต้การนำของฮิตเลอร์ มีการออกกฎหมายจำนวนมากที่ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น การริบทรัพย์สินของบุคคลที่มีเชื้อชาติยิว การให้อำนาจแก่ตำรวจลับในการจับกุมและลงโทษบุคคลที่ต้องสงสัยโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรม หรือกฎหมายที่มีบทลงโทษอย่างรุนแรงกับบุคคลที่ประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล เป็นต้น


การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐเยอรมันในห้วงเวลาดังกล่าวตามที่กล่าวมาข้างต้น จึงเป็นการใช้อำนาจที่มีกฎหมายรองรับไว้โดยมิใช่เป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ แต่การใช้อำนาจนี้ก็ถูกโต้แย้งในด้านของความชอบธรรมอย่างรุนแรง


ในสังคมไทย การใช้อำนาจของรัฐบาลในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี การกระทำหลายอย่างซึ่งถูกกล่าวหาในภายหลังดังเช่นการขายหุ้นให้กับบริษัทต่างชาติก็เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังจากการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งเดิมมีข้อจำกัดจำนวนถือหุ้นของบริษัทต่างชาติเอาไว้


หรือกับรัฐบาลในห้วงเวลาที่คุณชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็มีการแจกที่ดินในโครงการปฏิรูปที่ดินให้กับบุคคลจำนวนมากที่แม้มิได้เป็นเกษตรกร คุณชวนก็ได้ให้เหตุผลว่าเป็นการกระทำที่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย แม้จะถูกโต้แย้งจากสังคมอย่างรุนแรงแต่คุณชวนก็ยืนยันว่า "แม้ไม่อาจทำให้คนรวยได้เท่ากัน แต่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน"


ถ้านิยามความหมายของนิติรัฐไว้อย่างคับแคบ การกระทำของทั้งฮิตเลอร์ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณชวน ในฐานะของผู้นำแห่งนิติรัฐก็ควรได้รับการเคารพมากกว่าการตำหนิติเตียนที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางมิใช่หรือ


เพราะฉะนั้น นิติรัฐจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายที่จะสร้างความยอมรับหรือความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น และยังมีอีกส่วนซึ่งหมายถึงความชอบธรรมหรือความเป็นธรรมซึ่งควรจะต้องปรากฏอยู่ในนิติรัฐด้วย หรืออาจเรียกว่าเป็นนิติธรรมของนิติรัฐ


การให้ความหมายของนิติรัฐเพียงแค่การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ที่วางอยู่บนกรอบของกฎหมายเพียงอย่างเดียว จึงเป็นการโฆษณาทางการเมืองที่ไม่ได้มีความหมายถึงความถูกต้องเสมอไป ยิ่งในห้วงเวลาปัจจุบันก็ดูเหมือนความหมายของนิติรัฐมีจำกัดอยู่เพียงการทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถบังคับใช้กฎหมายได้เท่านั้น จึงเป็นความหมายของนิติรัฐที่ตื้นเขินอย่างยิ่ง


มีอย่างน้อยสองด้านที่จำเป็นต้องถูกตระหนักถึงไปพร้อมกัน หากจะมีการกล่าวอ้างนิติรัฐเป็นเป้าหมายของการนำสังคมไทยคืนสู่สันติสุข


ประการแรก ความชอบธรรมในเนื้อหาของกฎหมาย

กฎหมายจำนวนมากที่ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับการชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่ให้อำนาจอย่างไพศาลแก่รัฐโดยปราศจากการตรวจสอบและความรับผิด เช่น พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ก็เป็นกฎหมายที่ถูกโต้แย้งอย่างมากในเนื้อหาว่าเป็นสิ่งที่ขัดกับการใช้อำนาจของรัฐในระบอบประชาธิปไตย คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็เป็นผู้หนึ่งที่แสดงความเห็นคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ไว้เป็นอย่างดีท่ามกลางการคัดค้านที่มีอย่างกว้างขวาง


ประการที่สอง ความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย


แม้กระทั่งในปัจจุบันก็ยังเห็นได้ชัดว่ามีการเลือกบังคับใช้กฎหมายเฉพาะกับบุคคลที่ยืนอยู่คนละฝ่ายกับอำนาจรัฐ แต่หากเป็นการกระทำของบุคคลที่สนับสนุนรัฐบาลหรือต่อต้านทางด้านผู้ชุมนุมก็จะไม่มีการนำกฎหมายมาใช้บังคับ เช่น เมื่อมีการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉิน การชุมนุมไม่ว่าของบุคคลฝ่ายใดหรือมีจุดยืนทางการเมืองแบบใดก็ล้วนเป็นสิ่งที่ผิดต่อกฎหมายทั้งสิ้น


ความหมายของการนำนิติรัฐกลับมาสู่สังคมไทย จึงมิใช่การที่จะมุ่งบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มผู้ชุมนุมเท่านั้น หากยังต้องตระหนักถึงนิติธรรมว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดหายออกไปได้


ถ้ามีเพียงการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่านิติธรรมดำรงอยู่ก็อาจทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าทั้งหมดเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างเพื่ออยู่ในอำนาจต่อไป โดยไม่ได้มุ่งหวังนำสันติสุขกลับคืนมาแต่อย่างใด


REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1273498892&catid=02 03/06/2010

ข้อเสนอเพื่อความปรองดอง

ข้อเสนอเพื่อความปรองดอง

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์


กว่าบทความนี้จะได้ตีพิมพ์ ปฏิกิริยาต่อข้อเสนอเพื่อความปรองดองของท่านนายกฯ จากฝ่ายต่างๆ ก็คงเป็นที่รู้กันหมดแล้ว แต่ในขณะที่เขียนบทความนี้ ยังไม่สู้จะชัดนักว่าฝ่ายที่เกี่ยวข้องยอมรับข้อเสนอนี้มากน้อยเพียงไร ดูเหมือนทุกฝ่ายยอมรับโดยมีเงื่อนไขทั้งสิ้น จึงไม่แน่ว่าท่านนายกฯจะยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวได้หรือไม่


อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อเสนอ 5 ข้อ ที่ท่านนายกฯกล่าวในคำแถลง เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ยังมี "สาร" อีกหลายอย่างในคำแถลงที่อยู่ระหว่างบรรทัด อันเป็น "สาร" ที่ท่านนายกฯ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจส่งออกมา ผมเห็นว่า "สาร" เหล่านี้ช่วยอธิบายสภาวะที่แสนจะยุ่งเหยิงอีนุงตุงนังของการเมืองไทยในเวลานี้ออกมาให้เห็นได้มาก


และผมขอนำเอา "สาร" เหล่านี้เท่าที่จะมีสติปัญญาจับได้ขึ้นมาคุยกับท่านผู้อ่าน


1.ท่านนายกฯพูดชัดเจนว่า ข้อเสนอทั้ง 5 นี้ มาจากการปรึกษาหารือกับผู้คนหลากหลายกลุ่ม ท่านนายกฯอ้างเป็นตัวอย่าง เช่น ประชาชนผู้มาชุมนุม (คงจะหมายถึงทั้งสองฝ่าย), นักวิชาการ, องค์กรภาคประชาชน-ประชาสังคมต่างๆ, และประชาชนคนธรรมดา


แต่ทั้งนี้ไม่รวม "ผู้ใหญ่" (ซึ่งเล็กกว่ากำนัน) ในพรรคประชาธิปัตย์ และอาจไม่รวมแม้แต่ "กำนัน" เอง เพราะวิถีทางปฏิบัติของ ศอฉ.ภายใต้กำนัน ก็ยังคงแข็งกร้าวเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม แทนที่จะลดราวาศอกลง อย่างน้อยก็โดยท่าทีเพื่อทำให้ข้อเสนอของท่านนายกฯ เป็นที่น่าไว้วางใจมากขึ้น


ความไม่เป็นเอกภาพเชิงนโยบายเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร ผมตอบไม่ได้ อาจเป็นเพราะท่านนายกฯตั้งใจมาแต่แรกแล้วให้การปฏิบัติต้องไม่เป็นเอกภาพกับข้อเสนอ เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ฝ่าย นปช. หรือแท้จริงแล้ว ท่านนายกฯเองก็เป็นเพียง "มุ้ง" (faction) หนึ่งของเครือข่ายอำนาจที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลชุดนี้ ข้อเสนอของท่านนายกฯได้รับความเห็นพ้องจากกลุ่มหนึ่งของ "มุ้ง" ต่างๆ แต่รวมไม่ได้หมดทุก "มุ้ง"


ถ้าเป็นอย่างหลัง ก็แสดงว่ามีเครือข่ายอำนาจหลากหลายอยู่เบื้องหลังรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งไม่แปลกอะไร รัฐบาลไทยชุดไหนๆ ก็มีเครือข่ายอำนาจหลากหลายอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น แต่ที่แปลกก็คือ เครือข่ายอำนาจเบื้องหลังนั้น ไม่สามารถแบ่งอำนาจกันได้ลงตัว จึงทำให้ยากที่รัฐบาลจะดำเนินนโยบายอะไรด้วยพลังที่มีเอกภาพได้ ข้อนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใดใน 1 ปี 4 เดือนที่ผ่านมา ท่านนายกฯจึงทำอะไรนอกโพเดียมไม่ได้มากไปกว่านี้


ก็ข้อเสนอที่ 2, 3 และ 5 นั้น ท่านมีโอกาสจะทำได้มาตั้งแต่ 1 ปี 4 เดือนที่แล้ว แต่ท่านก็ไม่ได้ทำ จะหวังให้ท่านทำจนสำเร็จใน 7 เดือนที่เหลือได้อย่างไร อีกทั้งข้อเสนอเพื่อความปรองดองในครั้งนี้ ก็ไม่ได้มาจากเอกภาพของเครือข่ายอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเหมือนเดิม


2. ท่านนายกฯ แยกวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสองด้านออกจากกันอย่างเด็ดขาด คือด้านที่เกี่ยวกับความมั่นคง และด้านที่เกี่ยวกับการเมือง ถ้าพูดในทางกฎหมายคือ การกระทำที่ผิดกฎหมายอาญา (ขั้นร้ายแรง) เช่นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, มีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง, การสังหารหมู่ประชาชนและทหาร, ฯลฯ กับการกระทำที่มุ่งผลทางการเมือง (เช่นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธเพื่อเรียกร้องให้ยุบสภา), การยุบสภา, ข้อเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ ฯลฯ


นอกจากเส้นแบ่งระหว่างสองเรื่องนี้จะเบลอแล้ว ในความเป็นจริงก็แยกจากกันได้ยากด้วย ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันได้เสมอว่า ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้เริ่มแปรปัญหาทางการเมืองให้กลายเป็นปัญหาเชิงความมั่นคง ด้วยเหตุดังนั้น ไม่เฉพาะแต่แกนนำ นปช.ที่ต้องขึ้นศาลในคดีต่างๆ หลายคดีแล้ว ตัวท่านนายกฯ, รองนายกฯ, ผบ.ทบ. หรือผู้ออกคำสั่งให้สลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน และ 28 เมษายน ทหาร-ตำรวจที่ยิงเข้าใส่ประชาชนด้วยกระสุนจริง, ทหาร-ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการตั้งด่าน, ผู้ชุมนุมซึ่งปิดถนน, กักมิให้ตำรวจ-ทหารยกกำลังเข้ากรุงเทพฯ ตามคำสั่ง ฯลฯ ล้วนมีคดีอาญาที่ต้องขึ้นศาลทั้งสิ้น


มันจะมิวุ่นกันยกใหญ่ไปทั้งเมืองหรือครับ? แม้แต่ยอมว่าวุ่นเป็นวุ่นกัน เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย แต่ก็ไม่ควรลืมด้วยว่า หลายคดีเหล่านี้คงไม่สิ้นสุดลงจนหลังการเลือกตั้งครั้งใหม่ และมีรัฐบาลใหม่แล้ว


ผมจึงออกสงสัยว่า ท่านนายกฯรู้อยู่แล้ว ดังจะเห็นได้ในบางส่วนของข้อเสนอประการที่ 5 แต่จะหาข้อตกลงที่พอจะรับได้กันทุกฝ่ายในภายหลัง ข้อตกลงซึ่งจะต้องเกิดในภายหลังนี้ ย่อมเกิดได้จากการต่อรอง ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าแต่ละฝ่ายจะยังเหลืออำนาจต่อรองที่มีอยู่ในเวลานี้หรือไม่ เช่น แกนนำ นปช.ที่ไม่มีผู้ชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ จะยังเหลืออำนาจต่อรองสักเท่าไร แม้แต่ฝ่ายเสื้อเหลืองและเสื้อหลากสี เมื่อไม่มีการชุมนุมของเสื้อแดง จะยังมีอำนาจต่อรองเหลือเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้หรือ ตัวท่านนายกฯ เองหลังจากวิกฤตเฉพาะหน้าผ่านไปแล้ว จะยังเหลือพลังสำหรับการปลุกระดมสังคมเท่าเดิมละหรือ และด้วยเหตุดังนั้นก็ย่อมมีอำนาจต่อรองลดลงด้วย


จะเหลือก็แต่กลุ่มที่มีอำนาจต่อรองคงที่ ไม่เพิ่มไม่ลดหลังจากที่เสื้อแดงกลับบ้านแล้ว กลุ่มนี้แหละ (ซึ่งในตัวเองอาจมีหลายกลุ่ม) ที่จะเป็นผู้ชี้ขาดในบั้นปลายว่า แค่ไหนเป็นอาญา และแค่ไหนเป็นการเมือง


เช่นเดียวกับเรื่องการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกลือกกลั้วกับการเมือง แค่ไหนถือว่าดึง แค่ไหนถือว่าไม่ดึง ก็กลุ่มนี้แหละที่จะเป็นผู้ชี้ขาดในบั้นปลาย


ปัญหาที่น่าคิดสำหรับคนซึ่งไม่ใช่นายกฯ หรือแกนนำ นปช.อย่างพวกเราก็คือ ภายใต้การนำและกำกับอย่างใกล้ชิดของกลุ่มดังกล่าวนั้น การเมืองไทยจะนำไปสู่การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ, ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากร ฯลฯ ดังข้อเสนอข้อที่ 2 ของท่านนายกฯ ได้หรือไม่


3.ข้อเสนอให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 14 พฤศจิกายน หมายความว่ารัฐบาลจะยุบสภาในกลางเดือนกันยายน (หากจัดเลือกตั้งใน 60 วัน) หรือปลายกันยายน (หากจัดเลือกตั้งใน 45 วัน)


ทำไมจึงต้องเป็นกันยายน ใครๆ ก็รู้อยู่แล้วว่า ไม่ใช่เพื่อผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณ เพราะสามารถทำให้เสร็จก่อนหน้านั้นได้ (หรือปล่อยให้รัฐบาลใหม่เป็นผู้ทำก็ยังทัน หากรีบยุบสภาในทันที) แต่เพื่อจะได้โยกย้ายข้าราชการทหาร-ตำรวจ และมหาดไทยได้ก่อนที่จะกลายเป็นรัฐบาลรักษาการณ์


มหาดไทยนั้นสำหรับประโยชน์ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง แต่ข้าราชการฝ่ายปกครองที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลการเลือกตั้งนั้น จะกระตือรือร้นแค่ไหนกับผู้แต่งตั้งซึ่งรู้อยู่แล้วว่า จะไม่ได้กลับมาเป็นนายอีกต่อไป ยังเป็นปัญหาอยู่ แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ (ซึ่งไม่ได้ถูกยุบ) ได้กลับมาเป็นรัฐบาล ก็เชื่อแน่ว่า จะไม่ปล่อยให้พรรคอื่นใดได้ว่ามหาดไทยอีก


ในส่วนทหารนั้นจะช่วยการเลือกตั้งได้มากน้อยเพียงไร การเลือกตั้งในพ.ศ.2551 พิสูจน์แล้วว่า กองทัพแทบจะไม่สามารถกำกับการเลือกตั้งให้ได้ประโยชน์แก่พรรคใดพรรคหนึ่งได้มากนัก ยิ่งความขัดแย้งแบ่งขั้วทางการเมืองซึ่งดำเนินมานับจากนั้นจนถึงบัดนี้ปรากฏชัดขึ้น ยิ่งจะทำให้อำนาจของกองทัพในการแทรกแซงการเลือกตั้งได้ผลน้อยลงไปอีก


เจตนาที่จะรักษาการแต่งตั้งสายบังคับบัญชาในกองทัพไว้กับรัฐบาล จึงไม่น่าจะเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เท่ากับรักษาอำนาจนอกระบบไว้ให้เป็นมิตรกับรัฐบาลชุดนี้ต่อไป


ปัญหาที่น่าสนใจก็คือ หลังการชุมนุมของ นปช.ในครั้งนี้ อำนาจนอกระบบจะสามารถแทรกแซงทางการเมืองอีก ได้มากน้อยเพียงไร หรือจะแทรกแซงอย่างไร จึงจะเป็นที่ยอมรับได้แก่ผู้คนในสังคมโดยทั่วกัน


ในทางตรงกันข้าม หากอำนาจนอกระบบไม่ได้คิดถึงปัญหานี้อย่างจริงจัง มาตรการที่จะใช้เพื่อแทรกแซงทางการเมือง ก็จำเป็นต้องทำอย่างออกหน้าและรุนแรงมากขึ้น เช่นกองทัพต้องทำรัฐประหาร หรือ "เก็บ" ศัตรูทางการเมืองไว้ในคุกหรือปรโลก


แม้แต่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งสามารถจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ก็ยังมีปัญหาอำนาจนอกระบบ และคงมีการแข่งขันกันอย่างหนักในการควบคุมกองทัพ มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความรุนแรงได้เช่นกัน


4.และเพื่อรักษาอำนาจนอกระบบไว้ให้มีศักยภาพในการแทรกแซงทางการเมือง ก็มีความจำเป็นต้องควบคุมสื่อต่อไป หรือในทางตรงกันข้าม รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งต้องการถ่วงดุลอำนาจนอกระบบ ก็จำเป็นต้องควบคุมสื่อในระดับหนึ่งเหมือนกัน


ความหมายระหว่างบรรทัดของคำแถลงข้อเสนอของนายกฯ เพื่อความปรองดอง ชี้ให้เห็นปัจจัยอันสลับซับซ้อนที่พัวพันอยู่กับการเมืองไทยเวลานี้ และการสลายการชุมนุม ไม่ว่าด้วยกำลังหรือด้วยข้อเสนอ เพื่อความปรองดอง ย่อมไม่อาจนำการเมืองไทยไปสู่ระเบียบหรือความสงบสุขได้ง่ายๆ ความสัมพันธ์ของกลุ่มทางการเมืองต่างๆ (ทั้งที่อยู่ฝ่ายเดียวกันและคนละฝ่ายในเวลานี้) มีความตึงเครียดสูง และอาจปรับเปลี่ยนฝ่ายกันได้โดยง่าย


และการปะทะกัน "นอกกติกา" ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นเท่าเดิม

REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1273499397&catid=02 3/06/2010

มหัศจรรย์ พูด 26 ภาษา ทำได้อย่างไร ? คุณก็ทำได้

มหัศจรรย์ พูด 26 ภาษา ทำได้อย่างไร ? คุณก็ทำได้


มีโปรแกรมออกเสียงมาแนะนำ เผื่อใครอยากรู้ว่าคำนี้ในภาษานี้ออกเสียงอย่างไรลองใช้โปรแกรมนี้ช่วยได้

เมื่อใส่ข้อความลงใน ช่อง enter taxe และเลือกภาษา โปรแกรมจะออกเสียงตามข้อความที่เราใส่ ใช้คล้ายกับโปรแกรม Translation หรือโปรแกรมแปลภาษาของกูเกิ้ล แต่สำหรับกู้เกิ้ลจะเน้นไปด้านการแปลภาษา แต่โปรแกรมนี้จะเน้นการออกเสียง ซึ่งที่ถูกใจที่สุดตรงโปรแกรมออกเสียง ′ร′ และ ′ล′ ได้ชัดเจน



ลองเข้าไปเล่นดู >> http://www.oddcast.com/home/demos/tts/tts_example.php?sitepal

การเรียนรู้หลังวิกฤตการณ์ผ่านพ้น โอกาสปฏิรูปตนเองและสังคมการเมือง

การเรียนรู้หลังวิกฤตการณ์ผ่านพ้น โอกาสปฏิรูปตนเองและสังคมการเมือง

โดย สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


Director of Rotary Peace Center @ Chulalongkorn University




วิกฤตการณ์มิได้ยุติด้วยตัวมันเอง หากต้องมีการดำเนินการให้ยุติ มีบางช่วงที่ชวนให้เราพิจารณาว่าการใช้กำลังเด็ดขาดเข้าจัดการวิกฤตในภาคปฏิบัติการนั้นแหละจะเป็นการหยุดวิกฤต

แต่การมองอย่างนั้นไม่ถูกต้อง เพราะมีคนจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีนี้ เพราะผ่านประสบการณ์และบทเรียนในอดีตที่มีความเสียหายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสังคมมากมาย จึงผลักดันกันทุกวิถีทางเพื่อให้ใช้สันติวิธีและการเจรจาแก้ปัญหา

การเสนอโรดแมปของนายกฯ นำมาสู่การขานรับกระทั่งถึงวันยุติการชุมนุม แต่เราได้พบแล้วว่าการเมืองภายหลัง "การขานรับ" นั้นมีพลวัตของตัวเองและยังแฝงด้วยความไม่แน่นอน

ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่างก็แสวงหาโอกาสความได้เปรียบทางการเมืองของตนภายหลังวิกฤตผ่านพ้น

เช่น โอกาสโจมตีฝ่ายปฏิปักษ์ โอกาสการหาเสียงสนับสนุน โอกาสการริเริ่มปฏิรูป หรือแม้แต่หาประโยชน์จากโครงสร้างที่ยังสามารถจะยังประโยชน์ได้

การกระทำเหล่านี้กลายเป็นปัจจัยแก่กระบวนการเร่งวิกฤตรอบใหม่ได้ ดังปรากฏเหตุการณ์มิคสัญญีและวินาศกรรมในกรุงเทพฯที่ผ่านมา แม้ภายหลังวิกฤตการณ์ผ่านพ้นสังคมยังอาจตกลงไปวังวนของภาวะวิกฤตซ้ำซากได้อีก

ดังนั้น ภาวะวิกฤตจึงต้องการบริหารจัดการวิกฤตทั้งในมิติปฏิบัติการและมิติการเมืองควบคู่กัน เราจำต้องเห็นความสำคัญของการเมืองทั้ง 2 ระดับ ได้แก่ การเมืองในระดับสังคมให้มีการปฏิบัติการ และการเมืองในระดับสูงและกว้างกว่านั้น เพื่อขับเคลื่อนประชามติและกระแสการสนับสนุนการปฏิรูปสังคมการเมืองไปพร้อมกัน

การเรียนรู้จากวิกฤตมิใช่เรื่องหญ้าปากคอก

1.การเรียนรู้เพื่อที่จะถอดบทเรียนจากวิกฤตการณ์มิใช่เรื่องหญ้าปากคอก เราจึงไม่ต้องการเพียงสรุปแบบทื่อๆ หรือพูดตามๆ กัน

เช่นเดียวกันก็มิใช่การส่งเสริมการพูดถึงแต่ความสำเร็จด้านเดียวโดยปัดทิ้งบางเรื่องที่ไม่ชอบและไม่หันไปมองความล้มเหลวไปเลย

ท่าทีการเรียนรู้แบบด้านเดียวนี้กระมังที่ทำให้เรามีความคับแคบขาดการเตรียมตัวเผชิญโลกที่ยุ่งยากซับซ้อน

สังคมเรานั้นประกอบไปด้วยฝ่ายต่างๆ ซึ่งจำจะต้องมีการปรับท่าทีเชิงบวกต่อการเรียนรู้จากวิกฤตให้มากขึ้น

เราต้องรู้จักเรียนเพื่อให้ตนเรียนรู้ได้ (learning to learn) การถอดบทเรียนจึงเป็นเรื่องการเรียนรู้หาใช่เป็นเพียงเรื่องตัวใครตัวมัน

ยิ่งสำหรับประเทศไทยขณะนี้ก็ไม่ควรจะปล่อยให้ฝ่ายใครฝ่ายมันสรุปเอาฝ่ายเดียวโดยไม่มีการเรียนรู้ร่วมกันอีกต่อไปได้

2.การเรียนรู้ที่ถูกกระตุ้น โดยวิกฤตเช่นครั้งนี้จึงจำต้องเป็นกระบวนการที่มีลักษณะเชิงรุก เป็นกระบวนการเชิงปฏิสัมพันธ์เรียนรู้ร่วมกันและเป็นกระบวนการวางแผนท่ามกลางวิกฤตไปด้วยพร้อมๆ กัน

จากเดิมมุมมองเชิงกลไก ที่แยกส่วนและแยกหน่วยงาน จำต้องเปลี่ยนมุม เป็นมองแบบองค์รวม ทั้งนี้ไม่สำคัญว่าจะเป็นการรับมือในระดับพื้นที่ หรือระดับสูงเท่านั้น

เพราะทุกจุดต้องการทรรศนะองค์รวมทั้งทางวัตถุและจิตใจซึ่งเรียกร้องการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ เพิ่มสมรรถนะในการเรียนรู้จากวิกฤตไปด้วยพร้อมๆ กัน

การเรียนรู้กับการปฏิรูปสังคมการเมือง

3.การปฏิรูปอย่างกว้างขวางรอบด้านอาจจะมิได้แสดงถึงการเรียนรู้จากวิกฤตการณ์เสมอไป แม้ว่าการปฏิรูปอย่างกว้างของทุกด้านทางจะดูดีในแง่มุมทางการเมือง เพราะพื้นที่เคยปิดหรือเป็นสถานการณ์ทางตันได้ถูกเปิดกว้างแก่ภาวะผู้นำและทำให้สังคมการเมืองมองเห็นภารกิจร่วมที่ต้องฝ่าฝืน

ทว่ามันอาจจะต้องการเวลายาวนานเกินกว่าแรงส่งจากวิกฤต เพราะไฟวิกฤตการณ์อันร้อนแรงมอดไปแล้วและหลายฝ่ายอยากจะลืมเลือนเรื่องร้ายๆ ไปโดยเร็วอยู่ ขณะเดียวกัน แรงส่งและแรงขับเคลื่อนก็มิอาจจะหวังพึ่งแต่พรรคการเมืองหรือชนชั้นนำที่แย่งชิงอำนาจแต่ไม่ใส่ใจปรับปรุงตนได้

เราได้ประจักษ์ถึงเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมและการเผาเมือง ฯลฯ ในกรุงเทพมหานคร และในเมืองใหญ่ เช่น อุบลราชธานี, อุดรธานี, มุกดาหาร และเชียงใหม่

และเหตุการณ์เหล่านี้ต้องถือเป็นความเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยในรอบร้อยปี

เรื่องเลวร้ายที่สุดสะท้อนการที่สังคมหมิ่นเหม่ต่อพัฒนาการไปสู่ภาวะรัฐล้มเหลว

ที่แน่ๆ คือภาวะความมั่นคงของมนุษย์ในมหานครกรุงเทพถูกคุกคามอย่างร้ายแรงในระดับและขอบเขตที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

พื้นฐานคุณค่าแห่งการอยู่ร่วมกัน

ที่ต้องการการสำรวจตรวจสอบและฟื้นฟู

แม้วิกฤตการณ์ดังกล่าวจะผ่านพ้น แต่สังคมการเมืองไทยขณะนี้ยังมีภาวะความแตกแยกทั้งกว้างและลึก ความชอบธรรมทางการเมือง (legitimacy) จึงเป็นประเด็นที่มีการช่วงชิงและเป็นมิติสาธารณะให้ห้วงระยะเวลานี้ไปด้วย

ดังนั้น ภาวะผู้นำในการเปลี่ยนผ่านภายหลังวิกฤตการณ์จึงไม่ควรปล่อยให้คิดกันแบบเชิงเดี่ยว หากควรเป็นภาวะผู้นำเชิงพหุภาคี บทบาทภาคสังคมและภาคประชาชนคนจนซึ่งเป็นพื้นฐานของความชอบธรรมน่ามีความสำคัญเป็นหลักกำกับควบคู่ไปกับภาคการเมืองซึ่งต้องการการปรับตัวร่วมกันใหม่

ณ จุดนี้ ถึงเวลาที่สังคมไทยต้องถามตนเองถึงคุณค่าพื้นฐานร่วมกัน (shared values) อย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง

การที่ฝ่ายตรงกันข้ามกันเคยเลือกเข้าสู่กระบวนการปรองดอง และแม้แต่ความคาดหวังต่อบทบาทหน้าที่ของสถาบัน เช่น ตุลาการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันสะท้อนความต้องการลึกๆ ในใจของแต่ละฝ่ายกันอยู่

แต่เราจำต้องตั้งคำถามฝ่ายที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างขัดแย้งกันว่ายังมีความมุ่งหวังจะอยู่ในสังคมเดียวกันอยู่หรือไม่

ถ้าคำตอบว่าใช่ คุณค่าที่จะยึดเหนี่ยวให้อยู่ร่วมกันได้จักต้องร่วมกันคิดและร่วมกันกำหนดความหมายกัน

ขณะเดียวกัน ความตื่นตัวในเรื่องการปฏิรูปสังคมการเมืองในบ้านเมืองระยะนี้น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นประเด็นเสริมสร้างอนาคตร่วมกันได้ด้วย
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1275380386&catid=02 3/06/2010

ยื่นจม.ประณามการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการ

"กลุ่มประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ" ยื่นจม.ประณามการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการ


หมายเหตุ กลุ่มประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกประณามพฤติกรรมคุกคามเสรีภาพทางวิชาการของรัฐบาลไทย โดยเฉพาะกรณีการกักขังตัว "นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ" อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้นายสุธาชัยจะได้รับการปล่อยตัวแล้วเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่จดหมายฉบับนี้และรายชื่อผู้ลงนามสนับสนุนก็ถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีความหมายน่าสนใจอยู่มิใช่น้อย


แถลงการณ์กลุ่มประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ


เรื่อง ขอประณามพฤติกรรมคุกคามเสรีภาพทางวิชาการของรัฐบาลไทย


ตามที่รัฐบาลซึ่งนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อมาแก้ไขสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) หรือ "กลุ่มคนเสื้อแดง" นั้น มิเพียงแต่จะไม่ได้ทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นได้ แต่ได้ปรากฏว่าตลอดระยะเวลาที่ ศอฉ.ได้ปฏิบัติการ ได้สร้างบรรทัดฐานทางการเมืองที่เลวร้าย มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร ละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญในหลายมาตรา และเอื้อให้รัฐบาลใช้อานาจเผด็จการในทางมิชอบในการทำลายศัตรูทางการเมืองได้ในหลายทาง


และแม้ปัจจุบันแม้การชุมนุมจะคลี่คลายแล้วแต่การใช้อำนาจในการกวาดล้างศัตรูทางการเมืองดูเหมือนจะยังคงมีต่อไป มีการเรียกบุคคล นักธุรกิจ รวมถึงนักศึกษา อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ดูเหมือนจะอยู่ตรงข้ามกับฝ่ายรัฐให้เข้ามารายงานตัว ในกรณีล่าสุดนั้น คือ การควบคุมตัว ผศ.ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปกักขังที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสระบุรี


กลุ่มประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ อันเกิดจากการรวมตัวของนักศึกษา คณาจารย์และศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มีจุดยืนชัดเจนที่จะต่อต้านการใช้อำนาจนอกระบบในทุกรูปแบบ ขอแสดงจุดยืนที่จะขอประณามรัฐบาลไทยที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในกรณีการกุมขัง ผศ.ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เนื่องจากรัฐบาลเองก็ขาดความชอบธรรมที่จะกักขังตัวของ ผศ.ดร.สุธาชัย เนื่องจากไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่เชื่อมโยงได้ว่า ผศ.ดร.สุธาชัย เกี่ยวข้องกับความไม่สงบที่เกิดขึ้น นอกจากแผนผังเครือข่ายขบวนการล้มเจ้าที่เกิดจากการ "นั่งเทียน" ร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับ ศอฉ. และแม้รัฐบาลจะอ้างความตามพระราชกำหนดการบริหารราชการณ์ในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น แต่รัฐบาลกำลังละเมิดมาตรา 50 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ระบุไว้ว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพในทางวิชาการ" การจับกุมนักวิชาการที่มีจุดยืนตรงข้ามกับตนนั้น เป็นการกระทำอันเป็นเผด็จการ มิต่างอะไรกับประเทศพม่า ประเทศเกาหลีเหนือ หรือแม้กระทั่งประเทศอิรักในยุคภายใต้การนำของนายซัดดัม ฮุสเซน แต่อย่างใด


กลุ่มประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบนั้น มีจุดยืนที่อยากจะเห็นความสมานฉันท์เกิดขึ้นในชาติ แต่ทั้งนี้ ความสมานฉันท์จะเกิดได้ก็ด้วยประบวนการที่เป็นธรรมตามระบอบประชาธิปไตย การใช้อำนาจทหาร อำนาจจากปากกระบอกปืนในการกดขี่ข่มเหง รังแกคนที่มีความเห็นที่แตกต่างกับตนนั้น ไม่อาจสร้างความสันติสุขให้กับประเทศนี้ได้ รัฐบาลต้องพึงสังวรไว้ว่า "ราษฎรเป็นดั่งน้ำ ผู้ปกครองเป็นดั่งเรือ น้ำอุ้มเรือให้ลอยได้ น้ำก็คว่าเรือให้จมได้เช่นกัน" ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น และสันติภาพความสงบสุขจะเกิดได้ด้วยการยอมรับด้วยใจ ไม่ใช่การสร้างความหวาดกลัวแต่อย่างใด


ด้วยจิตคารวะ
กลุ่มประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ


รายนามผู้ลงชื่อสนับสนุนแถลงการณ์ข้างต้น


นักเรียน นิสิต นักศึกษา และศิษย์เก่า


1. นายรักนิรันดร์ วรรณวีรพงษ์ คณะรัฐศาสตร์ ปีบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2. นายปราบ เลาหะโรจนพันธ์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
3. นายนายภาณุพงศ์ รอดทอง คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
4. นายณรงศักดิ์ เนียมสอน คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
5. นายภูษิต มนีพงษ์ คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
6. นายเมธาวุธ เสาร์แก้ว คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
7. นายกฤดาการ ทศพะรินทร์ คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
8. นายภูวดล ศิริชัยสินธพ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
9. นายนครินทร์ วิศิษฎ์สิน รัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
10. นางสาวปัณฑารีย์ สุวรรณิน คณะอักษรศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
11. นางสาวปวรรัตน์ ผลาสินธุ์ ศิลปศาสตร์ ปี 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
12. นายไชยรัตน์ ชินบุตร คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่3 มหาวิทยาลัยรามคาแหง
13. นายกฤดิกร วงศ์สว่างพานิช คณะรัฐศาสตร์ ปีบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
14. นายพีรวิชญ์ ช่วงโชติ คณะรัฐศาสตร์ ปี4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
15. นายกิตติกร นาคทอง คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยรามคำแหง
16. น.ส.ณัฐภรณ์ ทัศนภิรมย์ คณะศิลปศาสตร์ ระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
17. นายกฤชวัชร์ เตชะวณิชย์ คณะรัฐศาสตร์ ปีบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
18. นายธนวุฒิ ธนวเสถียร คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
19. นายธนิสสร มณีรักษ์ คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยรามคำแหง
20. นายเชฏฐพงศ์ จงภัทรนิชพันธ์ รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
21. นายภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ มหาบัณฑิต คณะมนุษยศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
22. นายพุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล คณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่๒ มหาวิทยาลัยรามคาแหง
23. นายธนฤทธิ์ มีสิตแก้ว นักศึกษามัธยมศึกษาปีที่3/1
24. นายบากบั่น แสงประทุม บริหารธุรกิจ/ป.โท ปีหนึ่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
25. นายบดินทร์รัตน์ จันทน์ขาว คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
26. นางสาวสีมาย ตรีวัฒนะ บัณทิตปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ รุ่น 35 จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
27. นางสาวลลิลทิพย์ วัฒนวีรชัย assumption university, communication arts (gradUated year 2007)
28. นายกันตภณ ทับเที่ยง คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
29. นายนลินภัสร์ พิภพถาวรพงศ์ วิทยาเขตเกษตรกรรมนครศรีฯ รุ่น31
30. นายเมษ จารุอมรจิต ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยมหิดล
31. นางสาวนาถรพี วงศ์แสงจันทร์ International Development Department, University of Birmingham
32. นายสุทัศน์ สมน้อย นักศึกษาปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
33. นายอติเทพ ไชยสิทธิ์ คณะวิทยาศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยมหิดล
34. นางสาวชุติมาภรณ์ จิตจา ปริญญาโทคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
35. นายรุจิพล อุบลเลิศกุล ประกาศนียบัตรมหาชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
36. นายชนม์ ศรีสูงเนิน วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
37. นายปวีณ เมนะชัย ปริญญาตรี การจัดการบริหารทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
38. นายอภิเชษฐ์ ตรงจิตอุทัย Social Science Mahidol University International College Grad.′04
39. นายศรวิษฐ์ โตวิวิชญ์ ปี3 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
40. นายนรุตม์ เจริญศรี นิสิตปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
41. นายทศพร ขำสมวงษ์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ปี 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
42. นายศุภฤทธิ์ ศิลารัตน์ ศิษย์เก่า คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
43. นางสาวสุพีเรศ พลายพลอยรัตน์ ศิษย์เก่าคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
44. นางสาวอรุษา ชัยชนะ คณะสถาปัตยกรรม ปี3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
45. นายภูวิศ หินเธาว์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รหัส 46
46. นายนที สารพัดวิทยา นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
47. นายวสุ วรรลยางกูร คณะศิลปกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาศรีนครินทร์วิโรฒประสานมิตร
48. นางสาวนิรมล บัวสิน คณะวิศวกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
49. นาย ธิติพงษ์ ก่อสกุล นักศึกษาปริญญาโท สานักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
50. นางสาววราลี ปีตะวรรณ ศิษย์เก่าสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร รุ่น 12 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
51. นางสาวนุชนาถ จันทราวุฒิกร คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
52. นายรัฐพล บัวพา นิสิตชั้นปีที่2 คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
53. นายปพน อรรถกิจการค้า คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
54. นายจิรศักดิ์ กรรเจียกพงษ์ บัณฑิตอาสาสมัคร รุ่น31 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
55. นางสาวดาราณี ทองศิริ บัณฑิตคณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
56. นายกฤษฎี ศรีภิรมย์ สานักวิชานิติศาสตร์ ปี 3 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
57. นางสาวสุกัญญา อนุจร บัณฑิตคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
58. นายจิรัฐสรรพ์ ประมวลศิลป์ คณะเศรษฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
59. นางสาวปัทมา เสน่ห์งามเจริญ บัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยมหิดล
60. นายวรพรต พัชตระชัย ชั้นปีที่4 คณะบริหารธุรกิจ สาขาธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
61. Mr. Akkasak Homchuen, New School for Social Research, NYC
62. นางสาวอลิสา สินวัฒนกุล บัณฑิตคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
63. นายธนินฉัตร เฉลิมพร ชั้นปีที่หนึ่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
64. นางสาวอุบลวรรณ พงษ์แพทย์ ศิษย์เก่า วารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
65. นายธนพล ฟักสุมณฑา คณะสังคมศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร
66. นางสาวธันยนันท์ อ่อยอารีย์ บัณฑิตศึกษา คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
67. นายธนัย เกตวงกต นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
68. นางสาวนวลจันทร์ ไชยบุรินทร์ ศิษย์เก่าศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์
69. นางสาวสิพร สันนิธิกุล ศิษย์เก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
70. นางสาวผลิพร สันนิธิกุล ศิษย์เก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
71. นายปริญญ์ วัฒนวีร์ ศิษย์เก่า คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ รหัส 41 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
72. Ms. Phatrsamon Rattanangkun PhD. student, Deakin University
73. นายชาตรี สมนึก นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
74. นายวรสิทธ ลามาตย์ คณะมนุษยศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
75. นางสาวเมธวีร์ ธาดาจารุมงคล คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
76. นายอาทิตย์ เจียมรัตตัญญู คณะอักษรศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
77. นางสาววิชญา พรหมสวัสดิ์ เศรษฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
78. นายจิระวิน ตานีพันธ์ พาณิชยศาสตร์และการบัญชี ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
79. นายสมศักดิ์ ลิขิตรัตนพิศาล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
80. นายพิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์ คณะมนุษยศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ / คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยรามคำแหง
81. นายคุปต์ พันธ์หินกอง นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีบัณฑิต คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
82. นายฐิติวัฒน์ ชื่นจิตต์ผ่อง รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
83. นางอันธิกา สวัสดิ์ศรี ปริญญาเอก มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล สหราชอาณาจักร
84. นางสาววรรณชนก สุนทร นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
85. นางสาวหัสยา ขอสุข ปริญญาตรี สาขาการจัดการทั่วไป มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีฯ ปทุมธานี
86. นายวุฒิจักษ์ วงค์โชติ คณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยรามคำแหง
87. นายชานนท์ นรัฐกิจ คณะวิทยาการจัดการ ปี 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
88. นางนวรัตน์ นพหิรัญ, ปริญญาโทสาขา มานุษยวิทยา ม. ธรรมศาสตร์
89. นายฤทธิรงค์ จุฑาพฤฒิกร นิวคาสเซิล ยูนิเวอร์ซิตี้ อังกฤษ
90. นางสาวชุตินาถ ชุนวิมลศิริ ศิษย์เก่า คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
91. นายสัณฐิติ ธนสถิรชัย ศิษย์เก่า คณะวิทยาศาสตร์ ธรรมศาตร์ เเละนักศึกษานิติศาตร์ปี 2 มหาวิทยาลัยรามคำแหง
92. นางสาวศศิภัสสร์ สินธุประสิทธิ์ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ธรรมศาสตร์
93. นางสาววรรษชล ศิริจันทนันท์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
94. นางสาวสุกานดา สินพูนภักดิ์ ชั้นปีที่4 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
95. นายพีรวิชญ์ กิจจงถาวรกุล คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
96. นายปริเยศ แก้วเศวตพันธุ์ คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
97. นายณพงศ์ มาลีหอม นักศึกษาคณศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
98. น.ส.สุนิสา บัวละออ ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
99. นายปีย์ เจนณรงค์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
100. นายปรียาลักษณ์ บุญมั่น ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
101. นายธนาภรณ์ สิมนาม คณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยขอนแก่น
102. นายศรัณยู ดลกุล คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
103. น.ส.กฤติญา จิระกิตติพร คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปี 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
104. นายสมาวิษฐ์ เอี่ยมโอภาส ศิลปศาสตร์บัณฑิต โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
105. นายทวีศักดิ์ วรฤทธิ์เรืองอุไร ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
106. Mr.Tanan Unarat Phd Public Administration Management
107. นางสาวเดือน แก้วพวง คณะครุศาสตร์ ชั้นปีที่1 ม.ราชภัฏสวนสุนันทา
108. นายจิฬาชัย พิทยานนท์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
109. นายสรรสิทธิ์ โชติสกุลทอง ศิษย์เก่า คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
110. นายพงศ์ศิริ คาขันแก้ว นักศึกษาปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยพายัพ
111. น.ส.พรพิมล บุญเกิด ศิษย์เก่า คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
112. นายสมคิด ทะรา ศิษย์เก่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
113. น.ส.นฤชล ศรีสมบุญ คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
114. นายทรงสิริ พุทธงชัย ศิษย์เก่า คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ธรรมศาสตร์
115. นายวธัทชัย แสง-ชูโต ศิษย์เก่า คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
116. น.ส.กฤษณา ธนานันท์ นักศึกษาปริญญาโท คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
117. น.ส.ศิรดา วรสาร ชั้นปีที่ 4 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
118. นายชานนทร์ เตชะสุนทรวัฒน์ เศรษฐศาสตร์ ปีบัณฑิต ธรรมศาสตร์
119. นายพัชรวีร์ พรหมวงศ์ นักศึกษาปริญญาโท เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
120. น.ส.หัทยา ภูดี ศิษย์เก่า คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
121. นายปิยะนันท์ มูลตรีมา ชั้นปีที่3 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
122. นายอนุศิษฎ์ วงศ์แสงศักดิ์ ปี2 คณะนิติศาสตร์ปรีดีพนมยงค์ ม.ธุรกิจบัณฑิต
123. นายคันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง ศิษย์เก่า คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
124. Phalita Kanchanarin ศิษย์เก่า วารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
125. นายสุวีร์ เสนาทัศน์ คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยรามคาแหง
126. นางสาวภัควดี เจียมศรีวงศ์ ศิษย์เก่า คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
127. นางสาวภัคนุช เจียมศรีวงศ์ ศิษย์เก่า คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
128. นายชัชชล อัจนากิตติ นักศึกษาคณะรัฐศาตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
129. นางเพ็ญวดี นพเกตุ (มานนท์) ศิษย์เก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
130. นายอานนท์ ฉัตรเงิน นักศึกษาปริญญาโท คณะ รัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
131. น.ส.ทัชชมัย ฤกษะสุต ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
132. นาย ฑภิพร สุพร คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
133. นายโรจนวิทย์ สุระพันธ์ คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
134. น.ส.เปรมกวี สุวรรณาลัย คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
135. นายภาณุวัฒน์ ฉิมคง ศิษย์เก่า คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญญุบุรี
136. นายจาตุรนต์ อาไพ นิสิตปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
137. น.ส. สลิสา ยุกตะนันทน์ MA Social and Political Thought, University of Warwick, UK
138. น.ส.นันทรัตน์ เกิดสุข คณะเศรษฐศาสตร์ ชั้นปีที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
139. นายอุกฤษณ์ สงวนให้ วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
140. นายกานต์รวี ซ่วนพัฒน์ นิสิตชั้นปีบัณฑิต คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
141. นางสาว เจษฎาภรณ์ ภูนาแก้ว คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นปีที่2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
142. นายสุชัย สุเฉลิมกุล ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
143. นายอภิวัฒน์ ชิตะปัญญา ศิษย์เก่าคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
144. Siwat Chuencharoen, alumni of Faculty of Economics Chulalongkorn University
145. นายภาณุ แพทย์ประทุม คณะ วิทยาศาสตร์ สาขา เทคโนโลยีสารสนเทศ ชั้นปี 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
146. นายณภัทร ชัยเดชสุริยะ คณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
147. นายรพีพัฒน์ พัฒนา ศิษย์เก่า คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
148. นายแก้วก้าว ถนอมวงศ์ คณะรัฐศาสตร์ ปีบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
149. นางสาวธรรมปริญญ์ สมรูป บัณฑิตคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
150. นายเขม อำนวยลาภ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
151. นายพิรุณ อนุสุริยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี 4 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
152. นางปฏิมา มั่นศิลป์ ศิษย์เก่า คณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์
153. นายนายพงศ์พีระ เธียไพรัตน์ คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ ๔ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
154. น.ส.ปานทิพย์ กังวาลสงค์ วิทยาลัยเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
155. น.ส.นฤมล กล้าทุกวัน นักศึกษาปริญญาโท คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
156. นายอิศรา อุดมพาณิชย์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ชั้นปีที่ 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
157. นายธนากร ปัสนานนท์ คณะวารสารศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
158. น.ส.เตือนสิริ ศรีนอก ศิษย์เก่า คณะ.......... มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
159. นายคณาวุฒิ เอี่ยมสาอางค์ ศิษย์เก่า คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
160. นายศักดิ์สิทธิ์ สีลาเขต นักศึกษาปริญญาโท คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
161. นายณัฐพล พรมภักดี คณะวิทยาศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 วิทยาเขตหนองคาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น
162. นายนรวิทย์ คร้ามภัย ศิษย์เก่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
163. นายสมานใจ มั่นศิลป์ ศิษย์เก่า คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
164. นายชนุตร์ นาคทรานันท์ นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
165. น.ส.ธัญญธร สายปัญญา นักศึกษาปริญญาโท คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
166. นายศฐาวุฒิ ศรีสรานุกรม คณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
167. นายภาณุพันธ์ ปิยะธนะศิริกุล ชั้นปี - คณะ วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
168. นายวิชญา ศิระศุภฤกษ์ชัย ศิษย์เก่า คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
169. น.ส.ญาดาทิพ อุปลา คณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
170. นายมณเฑียร เลขาลาวัณย์ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
171. นายอภิชน รัตนาภายน ศิษย์เก่า คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
172. นายปฐมพงศ์ มานะกิจสมบูรณ์ บัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
173. นายธนวรรธน์ แก้วทองประคา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
174. น.ส.อิงฟ้า สุนทราวิรัตน์ นักศึกษาปริญญาเอก คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
175. น.ส.เสาวลักษณ์ เม่งศิริ ศิษย์เก่า คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
176. นายกิติคุณ โตรักษา ศิษย์เก่าคณะศิลปศาสตร์ (อุษาคเนย์) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
177. นายกิรพัฒน์ เขียนทองกุล นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
178. นายปองภพ เฉลิมสุข คณะเศรษฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
179. นายวรัญญ์ กิตยาภรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์ ชั้นปีที่4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
180. นายพิชญุตม์ ฤกษ์ศุภสมพล นิสิตชั้นปีที่4 คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
181. นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ ปี 4 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
182. น.ส.ณภัทร พลอยล้อมเพชร ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
183. นายสันติ ปินทุกาศ นักศึกษาปริญญาโท คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยลัยเชียงใหม่
184. น.ส.พัชรา เหล่าพูลทรัพย์ นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
185. น.ส.ชนากานต์ ยืนยาว นักศึกษาชั้นปี 2 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยศิลปากร
186. นายฤชากร ไตรรัตนานุสรณ์ คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
187. น.ส.วริศรา อารยสมบูรณ์ อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
188. นายอานนท์ สันติปิยกุล คณะเศรษฐศาสตร์ ชั้นปีบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
189. นายวิชญ์ภาส นิวาสนิลรัตน์ คณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
190. นายรังสรรค์ เจริญสุข, PhD student, Institute of Veterinary Medicine, Department of Animal Science, Georg-August-University Goettingen, Germany
191. น.ส.พิมลดา จารัสแสง คณะเคมีทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ชั้นปีที่ 4 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
192. นายสาธิต ชีวะประเสริฐ ศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
193. นายอภิรักษ์ แสงทอง ชั้นปีที่3 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
194. น.ส.พนิดา วสุธาพิทักษ์ นักศึกษาปริญญาโท คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
195. นางสาวนันท์ศิริ เอี่ยมสุข ศิษย์เก่าคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
196. น.ส.เบญจกุล พงษ์นารินทสุทธิ์ school of management Mae Fah Luang University
197. นางสาวลัดดา สงกระสินธ์ ศิษย์เก่าคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
198. นายมูหัมหมัดฮาริส กาเหย็ม ชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
199. นายพุทธพงศ์ มูลสาร คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
200. น.ส.วันรัก สุวรรณวัฒนา ศิษย์เก่า คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
201. นายนรรธพนธ์ จักรวุฒิ, LLM International Trade Law, Northumbria University
202. นายศรัญญู เทพสงเคราะห์ นักศึกษาปริญญาโท ประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
203. นาย เสริมศักดิ์ สุทธิวาทนฤพุฒิ คณะศิลปะและการออกแบบ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยรังสิต
204. นายจิตรกร สิงห์พิมาย ศิษย์เก่า คณะศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
205. นายเกียรติศักดิ์ ม่วงมิตร ศิษย์เก่า คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
206. นายปัณณวิชญ์ นรากุลพิพัฒน์ ศิษย์เก่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
207. นายธัชพงษ์ ไกรวัตนุสสรณ์ ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
208. นายธีรพัฒน์ มีอาพล ศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
209. นายแชมป์ วานิชย์หานนท์ ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง
210. นายเตวิช บริบูรณ์ชัยศิริ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
211. น.ส. สุวพรรณ วงศ์เครือศร ศิษย์เก่า รัฐศาตร์ปกครอง ม.เกษตรศาสตร์
212. น.ส.แก้วตา เพชรรัตน์ ศิษย์เก่า คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
213. น.ส.อัญญนี ทรงเกียรติธนา ศิษย์เก่าคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
214. นายมงคล สกุลทองอร่าม นักศึกษาปริญญาโท วิศวกรรมเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
215. นางนิธินันท์ ยอแสงรัตน์ ศิษย์เก่า คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
216. นายศราวุธ ดรุณวัติ ศิษย์เก่าคณะ สถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
217. น.ส.ธัญจีรา อาจิณกิจ ศิษย์เก่าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
218. นายสราวุฒิ จูฑะพันธ์ คณะเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้
219. นายพัลลภ โพธิพรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ชั้นปีที่3 มหาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
220. น.ส.ศุภนุช วงศ์วิชิต ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
221. นายธีรภัทร เจริญสุข ศิษย์เก่า คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
222. นายจิรวัฒน์ พรหมคุณ วิศวกรรมอุตสาหการ-การผลิต ปี 3 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
223. น.ส. อลินา แผ่สุวรรณ ศิษย์เก่าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
224. น.ส.รุ่งนภา สกุลบุญพาณิชย์ นักศึกษาปริญญาโท ประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
225. นายสรณ โสพรรณพนิชกุล ชั้นปีที่ 3 Bachelor of Commerce, University of British Columbia, Canada
226. นายพสธร คงเถลิงศิริวัฒนา ชั้นปีที่ 4 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
227. น.สพ.นิรันดร์ ไชยโย ศิษย์เก่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
228. นายอธิวัฒน์ กิจวนิชย์ภาสุ นักศึกษาปริญญาโทภาค คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
229. น.ส.ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย คณะศิลปกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
230. น.ส.กมลนาถ องค์วรรณดี คณะศิลปกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
231. น.ส.กิ่งกาญจน์ สำนวนเย็น ศิษย์เก่า คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
232. นายรักษ์ชาติ์ วงศ์อธิชาติ ชั้นปีที่2 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
233. นายอาทิตย์ ทองอินทร์ นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
234. น.ส.แวววิศาข์ ณ สงขลา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง
235. นายปรีดีโดม พิพัฒน์ชูเกียรติ ศิษย์เก่า คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
236. นายคมลักษณ์ ไชยยะ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
237. น.ส.พรทิพย์ เนติภารัตนกุล ศิษย์เก่า คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
238. น.ส.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์ ศิษย์เก่า คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
239. นายการ์ตูน บุญมิ่ง ศิษย์เก่า คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
240. นายพิทยา ใจคำ นักศึกษาปริญญาเอก คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
241. นายเทอดธรรม ปัญญวิภาต ศิษย์เก่า ศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
242. น.ส.จารุณี ธรรมยู นิสิตปริญญาโท อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
243. นายยิ่งใหญ่ นิลวัฒนกุล ศิษย์เก่า คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
244. น.ส.วิภาศิริ โรจน์วุฒิกังส์วาล นักศึกษาปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
245. น.ส. เก็จวลี ธีรเนตร ศิษย์เก่าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
246. นายอุกฤษฏ์ ญาดี คณะ รัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยรามคาแหง
247. น.ส.พุทธิพร สุโฆสิต ศิษย์เก่าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
248. นายสรยุทธ มังกรพลอย ศิษย์เก่าคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
249. นายทศพล ทรรศนกุลพันธ์ ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
250. นายปัณณทัต มนต์ทิพย์วรรณ ศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
251. นายศานต์ไท หุ่นพยนต์ ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
252. นายมธุริน จุฬพุฒิพงษ์ ศิษย์เก่าคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
253. นายยอดพล เทพสิทธา ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
254. น.ส.อัญญชิดา ถาวรเศรษฐ ศิษย์เก่า คณะการจัดการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
255. นายฐิติกร สังข์แก้ว นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
256. นายพุทธพงศ์ เสริฐศรี ศิษย์เก่า คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
257. นายเชือก โชติช่วย ชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
258. นายจิรศักดิ์ ขาหรุ่น ชั้นปีที่ 2 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
259. นายวิทยา เติมใจ ศิษย์เก่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
260. นายดนัทธ์ โพธิ์สา ศิษย์เก่า คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
261. นายจักรกฤษณ์ แก้วสุทธิ นักศึกษาปริญญาโท คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
262. น.ส.ทิพากร แสงระวี นักศึกษาปริญญาโท คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
263. นายอภิศักดิ์ ชนชนะกุล คณะเทคโนโลยีการสื่อสาร มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้า บางมด
264. นายปฐมพร ศรีมันตะ นักศึกษาปริญญาโท รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
265. นางสาว จุติมา เสือเอก คณะมนุษยศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย
266. นายสัจพงศ์ กาญจนรังษี ศิษย์เก่า คณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
267. นายอัครเดช งามสง่า คณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ ... มหาวิทยาลัยรามคำแหง
268. นายจุลดิศ ว่องพรรณงาม คณะนิติศาสตร์ ปีบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
269. นายบรรพต แก้วสว่าง อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2542
270. นายตรัย ลาพินี คณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
271. นายชารีฟ โยธาสมุทร คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
272. นายธนพล คลังพหล ชั้นปีที่ 4 คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
273. น.ส.ฐิตาภา เจตน์จรุงวงศ์ ชั้นปีที่ 3 คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
274. นส.โสภัค ไชยชนะ ศิษย์เก่าคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
275. นายประดิษฐ์ ลีลานิมิต ศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ พระจอมเกล้าลาดกระบัง
276. นายนนทวุฒิ ราชกาวี ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
277. นาย นที นิคมรัตน์ ศิษย์เก่าคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
278. น.ส.สุภิญญา ทองรัตนาศิริ ศิษย์เก่าคณะวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์, นักศึกษาปริญญาโท Loughborough University ประเทศอังกฤษ
279. นายปธิมัตน์ พนมรัตน์ ศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
280. นายวรุตม์ บุณฑริก คณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
281. น.ส.ชัชชิมนต์ สีแสด ปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
282. น.ส.ภาวิดา ฉวีวงศ์ ศิษย์เก่า คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
283. น.ส.ปฤณ เทพนรินทร์ นักศึกษาระดับปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
284. นายปริย นวมาลา ศิษย์เก่าสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเซีย มหาวิทยาลัยมหิดล
285. นายชยานนท์ จุลโลบล ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
286. น.ส.มิ่งหล้า เจริญเมือง ปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
287. น.ส.พัทธมล เลาหพูนรังษี คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
288. นายพลิศ ลักขณานุรักษ์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ
289. น.ส.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ ชั้นปีที่ 4 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
290. นายตฤณ ไอยะรา M.A. in Development Economics at School of International Development, University of East Anglia, United Kingdom
291. นายพงศกร แก้วลังกา ชั้นปีที่2 คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
292. นายเฉลิมฤทธิ์ ฉายมงคลชัย ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
293. นายพรทรวง ลี้ภูมิวนิชย์ ศิษย์เก่า คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
294. น.ส.ทิพย์สุรีย์ ไชยศรีษะ ศิษย์เก่า คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร
295. นายณัฐกฤต แบสิ่ว คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น … มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
296. นายฐิติพงศ์ โนอุโมงค์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ชั้นปี…. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
297. นายพิพัฒน์ วิมลไชยพร นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
298. นายพรเทพ กมลเพชร ศิษย์เก่าคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
299. นายดนัย พลอยพลาย นิสิตชั้นปีที่ ๓ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
300. นายพิริยะ วงศ์คงคาเทพ Ph.D. in Chemistry, University of North Carolina at Chapel Hill
301. นายอัสสชิ ภาคภูมิเกียรติคุณ ศิษย์เก่าวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
302. น.ส.สุภาวดี โชติกวิบูลย์ นิสิตชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ
303. นายศรัทธา หุ่นพยนต์ ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
304. น.ส.วริศรา ตั้งค้าวานิช นิสิตปริญญาโท อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
305. นายปุญชรัสมิ์ บุญมาเลิศ ชั้นปีที่ 2 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
306. น.ส.เนาวนิจ สิริผาติวิรัตน์ ศิษย์เก่า คณะ…….. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
307. น.ส.สุภิญญา วงศาบาล คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
308. นายพศิน (พงศ์พันธุ์) จันทรทิม ศิษย์เก่า คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
309. น.ส.ณัฐกานต์ ลิ้มจู ศิษย์เก่า คณะศึกษาศาสตร์ การแนะแนว มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
310. นายภาคิน นิมมานนรวงศ์ คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปี 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
311. น.ส.ชฎาพร เทพปิยะวงศ์ ศิษย์เก่า คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
312. น.ส.ณัชชารีย์ อริยนิธิทวีสุข คณะ……… ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
313. น.ส.เกศสุดา ชาตยานนท์ ศิษย์เก่า คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
314. นายวราวุธ แสงอร่าม ศิษย์เก่าคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นิสิตปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
315. น.ส.จิตรลดา กิจกมลธรรม คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
316. น.ส.ปารณีย์ อุ่มบางตลาด ศิษย์เก่า คณะ…….มหาวิทยาลัยศิลปากร
317. นายชานนท์ มหิศนันท์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
318. นายอาทิตย์ ทองอินทร์ นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
319. นายศิริวัช แก้วสา ศิษย์เก่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
320. น.ส.ถิรดา ทองพูล ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
321. น.ส.อรุณวนา สนิกะวาที ศิษย์เก่า คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
322. นายณัฐวัฒน์ กฤตยานวัช ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
323. นายกิตติพงศ์ สนธิสัมพันธ์ ศิษย์เก่า คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
324. นายเฟย์ อัศเวศน์ ศิษย์เก่า คณะสถาปัติยกรรม มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
325. น.ส.บริมาส ศรีขจร ศิษย์เก่าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
326. น.ส.จรัญญา อนันตชัย คณะพาณิชยศาสตร์เเละการบัญชี ชั้นปีบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
327. น.ส.กมลวรรณ หงส์ศิริกุล ศิษย์เก่า คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
328. น.ส.ณัฐกานต์ ท้าวพันวงค์ คณะวิทยาการคอม ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยนเรศวร
329. นางประสาร วิริยภาพ ศิษย์เก่า คณะ.......มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
330. นายสัมพันธ์ วิริยภาพ ศิษย์เก่า คณะ.....มหาวิทยาลัยรามคำแหง
331. น.ส.รัชชา เจริญประดับศิลป์ ชั้นปีที่4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
332. นายวัชรินทร์ ว่องไว คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ ปีบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
333. นายสุทธิพงศ์ วิชชาสุทธิ์ ศิษย์เก่า คณะนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยรังสิต
334. นายณัฐพร อุทัยวัตร คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยศิลปากร
335. นายกิตติพศ พรหมโคตร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีบัณฑิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น
336. น.ส.นิยดา ยิ่งยง คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
337. น.ส.วรากร ปณิธานะรักษ์ คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
338. นายตันติกร เตริยาภิรมย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
339. นางสาววรัญญา พิมพ์ศรี ศิษย์เก่า คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
340. นายปรีชา จาสมุทร ศิษย์เก่า สาขาบริหารจัดการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
341. นายชญานิน วิภูษณวรรณ นักศึกษาเศรษฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
342. น.ส.อุทัยวรรณ เจริญไพบูลย์สิน คณะวิทยาการจัดการ ชั้นปีที่4 ม.ราชภัฏบ้านสมเด็จ
343. น.ส.จุฑารัตน์ ราชอัคคี ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
344. นายกันต์ แสงทอง คณะรัฐศาสตร์ฯ ชั้นปีที่4 มหาวิทยาลัยบูรพา
345. นายนวคุณ ศรอุบล คณะสถาปัตย์ ปี2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
346. นายพิชญ์ ชีวะสาคร ศิษย์เก่าคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
347. นายกฤตภาส จันทร์พรมมินทร์ คณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยหอการค้า
348. นายธีรวัฒน์ อธิการโกวิทย์ คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
349. น.ส.สุวิชญา จารุคม ศิษย์เก่า คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
350. น.ส.โสภิดา สุรินทะ นักศึกษาปริญญาโท คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร
351. น.ส.กานต์ธิดา ฤทธิสิทธิ์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร ชั้นปีที่ 2 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
352. น.ส.ฉัตรเบญญา ทองทา ศิษย์เก่า คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
353. นายสมจิตต์ ขัติวงษ์ ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
354. นายมูฮัมหมัดรอฟีอี มูซอ PhD student in Sociology of law,Lund University, Sweden
355. นายณัฐพล พึ่งธรรม ศิษย์เก่า คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
356. นายสุพลธัช เตชะบูรณะ นิสิตปริญญาตรี สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
357. นายวิทยา เติมใจ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยขอนแก่น
358. น.ส.ธิดาพร สินจิตร์ นักศึกษา ชั้นปี 2 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
359. นายณัชพล ปฐมนุพงศ์ ศิษย์เก่า วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
360. น.ส. เมธาวี คัมภีรทัศน์ นักศึกษาปริญญาโท คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
361. นางเมตตา พิณเนียม ศิษย์เก่า คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
362. นายศุภเกียรติ ศุภศักดิ์ศึกษากร นิสิตปริญญาโท คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
363. นายสราวุฒิ เคลือแก้ว คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
364. นางสาวชุมาพร เเต่งเกลี้ยง ศิษย์เก่า คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
365. นางสาวนูรียะ ยูโซะ คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
366. นายณัฐพงศ์ ดวงแก้ว คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
367. น.ส.สิริกานดา สกุลพิมลรัตน์ คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
368. น.ส.ขวัญชนก พันธุพัก คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
369. นายนิติพล นิลุบล คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
370. นายนันทพงศ์ ละอองวัลย์ คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
371. น.ส.ณัฐสุดา บุษยบุตร คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
372. นายศตวรรษ โรจนสมบัติ คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
373. นายอาทิจ อัศวจินดา คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
374. นายตรีสิริ เซาวิเศษ คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
375. น.ส.จุฑามาศ คำเรียงศรี คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
376. น.ส.วิภาพร เปรมศิริ คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
377. น.ส.พรรณทิพย์ แสนคำ คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
378. น.ส.ศุภิสรา กิตติสท้านไตรภพ คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
379. น.ส.สายชล นิพนุติยันต์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
380. นายเชาวนนท์ เกตุแก้ว คณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
381. นายเอกพล พงษ์มณี ปีบัณฑิต วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติสิรินธร ไทย-เยอรมัน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
382. นายธานี ชัยวัฒน์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งเมืองโบโลนญ่า ประเทศอิตาลี
383. นายพงษ์สุวรรณ สิทธิเสนา อดีตเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแหงประเทศไทย 2550-51
384. น.ส.อัญชลี นิลศิริ นักศึกษาปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง
385. น.ส.กาญจนารถ ทาหอม คณะอักษรศาสตร์ ปี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
386. นายธนวุฒิ ธนาธิบดี ชั้นม.6 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
387. น.ส.ยอดฉัตร บุพศิริ ศิษย์เก่าคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
388. นายสุริยะ พิบูลย์ ศิษย์เก่า คณะรัฐศาสตร์รามคำแหง
389. น.ส.ลัดดา โศภนรัตน์ ศิษย์เก่าอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
390. นายเสกสรรค์ อัศววิไลรัตน์ ศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
391. น.ส.พิมชนก พึ่งบุญ ณ อยุธยา ศิษย์เก่า คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
392. น.ส.ปิยนุช ธรรมจริยวัธน์ ศิษย์เก่า คณะครุศิลป์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
393. น.ส.พามิลา ดาราวิโรจน์ ศิษย์เก่า คณะครุศิลป์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
394. นายณัฐพล สวัสดี คณะศิลปกรรมศาสตร์ ปี2 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
395. นายณัฐธิกรณ์ คามะโน คณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่3 มหาวิทยาลัยรามคาแหง
396. นายปณต สุขเกษม ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง
397. น.ส.สายใจ ตันติวิท คณะอักษรศาสตร์ ปี4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
398. นายธีรนัย จารุวัสต์ คณะอักษรศาสตร์ ปี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
399. นายพันฤทธิ์ เจริญสุข คณะวิศวกรรมศาตร์ ปี 4 มหาวิทยาลัยสยาม
400. นายชนะชัย มานุจา นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
401. นายวีรภัทร คันธะ นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (อดีตรองประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย )
402. นายพิชญ์ จงวัฒนากุล นักศึกษาปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
403. นายวิทิต กาพย์ไกรแก้ว ศิษย์เก่า คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
404. นายเกรียงไกร เอนกเด่นดวง นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
405. นายเอนกพงศ์ จิตรเลิศปัญญา นิสิต ปี4 คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
406. น.ส.บงกช รัตนประทีป ศิษย์เก่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
407. นายวิสิทธิ์ ตออำนวย ศิษย์เก่าคณะอักษรศาสตร์ ศิลปากร
408. นายวิริยะ เตชะรุ่งโรจน์ MA Publishing, London College of Communication, UK
409. นายสัมฤทธิ์ เตชะวงศ์ธรรม ศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
410. น.ส.ปภาวี ลิขิตเดชาโรจน์ นิสิตคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
411. น.ส.พรปวีณ์ แสงสุระเดช ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
412. น.ส.พิมพ์ชนก ตั้งธนธานิช ศิษย์เก่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และ Bauhaus University Weimar, Germany
413. นายฐิติพันธุ์ บุญมงคลรักษา ศิษย์เก่า คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
414. นายประวิทย์ ชัยชนะ นักศึกษาคณะ ทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
415. น.ส.กมลวัทน์ อุ่นเจริญ ชั้นปี 3 คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
416. น.ส.กิตติมา คงครบ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
417. น.ส.ธินินันท์ ศรีละบุตร นักศึกษาปริญญตรี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
418. ด.ญ. พิชามญชุ์ ศรีละบุตร ประถมศึกษาปีที่ 3/6 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี
419. นายสุกิต เถื่อนสันเทียะ นิสิตชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
420. น.ส.กมลทิพย์ โยหา นักศึกษาชั้นปีที่..... คณะ.........มหาวิทยาลัยขอนแก่น
421. น.ส.ศศิธร พาณิชย์กฺล ศิษย์เก่า คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
422. น.ส.ศิรินธร พาณิชย์กฺล ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
423. น.ส. ศุภกานต์ วรินทร์ปราโมทย์ นักศึกษาวิทยาลัยนานาชาติ คณะเศรษฐศาสตร์บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยมหิดล
424. ว่าที่ ร.ต.ว่าที่ร้อยตรีจรัสฤกษ์ นิพิฐรัชนะผล ศิษย์เก่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง
425. นายวรชัย ทับสี คณะวิทยาศาสตร์ นิสิตชั้นปีที่3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
426. นายนรินทร์ จีนเชื่อม คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
427. น.ส.ภาวิดา ฉวีวงศ์ อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
428. นายทูนธรรม เหรียญทอง คณะการสื่อสารมวลชน ปี4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
429. นายภู ร้อยแก้ว นักศึกษาปริญญาโท คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


คณาจารย์และนักวิชาการ มหาวิทยาลัยต่างๆ


1. รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2. ดร.ภูมิอินทร์ สิงห์ชวาลา อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
3. นายธร ปีติดล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
4. อ.ทพ.ธีรวัฒน์ ทัศนภิรมย์ อาจารย์ประจำคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
5. นายธีระพล อันมัย อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
6. นางมรกต ไมเยอร์ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ
7. นางวิภา ดาวมณี นักวิชาการวิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
8. ดร.สุรพล จรรยากูล อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ
9. นายสัญญา ชีวะประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ
10. นายศาสวัต บุญศรี อาจารย์ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร
11. นางสาวอรอนงค์ ทิพย์พิมล อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
12. Dr. Michelle Tan, National University of Singapore อดีตอาจารย์พิเศษ, คณะเศรษฐศาสตร์และคณะศิลปศาสตร์ , มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
13. Dr.Kannikar Sartraproong, Affiliated Member of Southeast Asian Studies Program (SEATRiP), University of California, Riverside, USA
14. Dr. Tyrell Haberkorn, ผู้วิจัย ภาควิชาการเปลี่ยนแปลงสังคมและการเมือง มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย
15. นายสันนิธิ ตินทุกะสิริ อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ ม.เทคโนโลยีมหานคร
16. นางสุนีย์ ไชยรส ศิษย์เก่าคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์, อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ


กลุ่มประชาชนทั่วไป


1. นายตากวาง สุขเกษม
2. นายศุภชัย แหลมเกาะ
3. Mr. Prakit Koonto
4. นางสาวอรณิศา ข่าทิพย์พาที
5. นายอรรถพล ศรีประเสริฐ
6. นางสาววรรณลา อังกลมเกลียว
7. นางสาวนริศา ดีจรัส
8. นางสาวปารัชนันท์ ภาวัตโภควินท์
9. นายสิริวิทย์ สุขกันต์
10. นางสาวอัญญกาญ จีระอัญการ
11. นางสาววรัชยา นาชัยเวช พนักงานราชการ
12. นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย
13. นายจักรทอง อุบลสูตรวนิช
14. นายอริยะ กรอบประดับ
15. นายกฤตพีร์ อ่อนประทุม
16. นายนิรุจน์ โพลงเงิน
17. นายทิวา สัมฤทธิ์
18. นางสาวพรนภา สุพิณวงศ์
19. นายสุริยะ ครุฑพันธุ์
20. นายพีรชิต โตนชัยภูมิ
21. นางสาวสุรีภรณ์ แซ่โต๊ะ
22. นายสุรพล ศรีเพ็ญ เป็นญาติอามาตย์ แต่ไม่เอาเผด็จการ
23. นางสาวสุจิตรา อุ่นเอมใจ
24. Ms. Kaewta Kerddeelarp
25. Mr. Suthee Polachai
26. นายชัยศิริ จิวะรังสรรค์
27. นายอาทิตย์ ศรีจันทร์
28. นายวชิระ หนึ่งแววแดง Import Export พัทยา
29. นายสุรพงษ์ หลวงปราบ
30. นางนางดารา มาตรา
31. นายชองชัย มาตรา
32. นายวิศิษฏ์ มาตรา
33. นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์
34. นายบดินทร์ เทพรัตน์ ธุรกิจส่วนตัว
35. นายธานินทร์ อินอ่อน
36. น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา
37. น.ส.สุพัตรา ตันเจริญ
38. นายอัครศักดิ์ ลังกาพินธุ์
39. นายจักเรศ อิฐรัตน์
40. น.ส.เศรษฐศิริ วงศ์ศรานนท์ ประชาชน
41. นายสรวุฒิ วงศ์ศรานนท์
42. น.ส.อรวี สุคันธศิริ
43. นายวัตถาภรณ์ สุพรรณชนะบุรี
44. นายอาทิตย์ สื่อประสาร
45. Chompon Nontaso
46. นายธรรมฤทธิ์ ศริ ID 3120101458740
47. นายสัณห์ชัย โชติรสเศรณี
48. นายสรยศ ประภาพันธ์
49. นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ
50. น.ส.ภาณินี บุญเลิศ
51. น.ส.รวินทร์ คาโพธิ์ทอง ประชาชน
52. น.ส.วิลาสินี สุวรรณสัมฤทธิ
53. นายวุฒิกร แสงรุ่งเรือง
54. นายศิริวัฒน์ โปษะยานนท์
55. นายปกรณ์ อารีกุล
56. น.ส.พัชญ์สิตา กาญจน์ประวัฒน์ ประชาชน
57. นางสาวสุนทรา แก้วป้องปก
58. น.ส.ปรีดามาศ เจียรชุติมา ประชาชนผู้เสียภาษี
59. นายประทักษ์พล ประจักษ์จิตต์
60. น.ส.ปฐมาภรณ์ สุทธิชัยพิชาติ ประชาชน
61. น.ส.ดนยา จุฬพุฒิพงษ์
62. นายธีรพจน์ เกิดยิ้ม ประชาชนผู้รักความยุติธรรม
63. นายพรหมมินทร์ พูลเอี่ยม ประชาชน
64. นายอภิรัฐ เจะเหล่า
65. นายปรมัตถ์ สนิทชาติ ประชาชน
66. นายวัฒนพงศ์ จัยวัฒน์ ประชาชน
67. นายเพียงคำ ประดับความ
68. น.ส.ปรานม สมวงศ์
69. นายศิรสิทธิ์ วัชรินทรานนท์
70. น.ส.เนตรนภิส วรศิริ
71. น.ส.พรทิพย์ ยืนยาว ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
72. น.ส สุภาพร สมเพชร
73. น.ส.วิลาวัลย์ แก้วเรือง ประชาชนรักประชาธิปไตย
74. น.ส.จรรยา ยิ้มประเสริฐ โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย
75. นายก่อเกียรติ เดชวรวิทญ์
76. น.ส.ศิริกัลยา สิงหบุตร
77. น.ส.อริยา พชรวรรณ ประชาชน
78. นายนิธิศ อโนชา ประชาชน
79. นายปองพล สุขสบาย
80. น.ส.วิรพา อังกูรทัศนียรัตน์ ประชาชน
81. นายณัฐพงศ์ ไชยโคตร
82. นายรัฐวิศว์ เอื้อประชานนท์ ประชาชน
83. น.ส.จันทนี ดวงคาสวัสดิ์
84. นายวัฒนา สุขวัจน์ (อริน) นักเขียน/นักหนังสือพิมพ์อิสระ
85. นายเอกชัย สมดุลยกนก พนักงานบริษัทเอกชน
86. นายนฆ ปักษนาวิน นักเขียน
87. นายพิสุทธิ์ ศรีหมอก คนทาสารคดีอิสระ
88. นายกุลวิณ พิศาลบรรเจิดกุล ประชาชน
89. นายจรูญรัฐ วิธูสุวรรณ ประชาชนธรรมดา
90. น.ส.อุบลสิริ พชรวรรณ ประชาชน
91. น.ส.ภัทรียา อนันตสิริภัทร์ ประชาชน
92. นายสุระศักดิ์ จันทร์ชนะ ประชาชน
93. นายบรรเจิด จาริกพัฒน์ ประชาชน
94. นายอาทิตย์ เบญญ ประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่ง
95. น.ส.จิราภรณ์ หิรัญบูรณะ ประชาชน
96. นายฮาเมอร์ ซาลวาลา
97. นายวสันต์ ไพทีกุล ประชาชนคนรักประชาธิปไตย
98. นายอัญคณา เจริญลาภ
99. นายกิตติพงษ์ ราชเกสร
100. นายวรวิทย์ จันทะรัตน์ ประชาชนคนรักประชาธิปไตย
101. นายโสภณ ปัญจขันธ์
102. นายเพ็ญพิณิช โชคบำรุง หญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง
103. นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล
104. น.ส.สนธยา มีพันธ์ ประชาชน
105. น.ส.เบญจวรรณ พราหมณ์โสภี
106. นางฮุสนา เจริญผล
107. นายพวงคราม บูรณ์เจริญ
108. นายศิณะญาณ เหว่านาค
109. น.ส.สุวรรณี จงโอฬาร
110. น.ส.วัชรี รัตนะกรี
111. นายจิรภัทร์ พรพรหมประทาน ประชาชน
112. น.ส.อนัญญา อนันตศิลป์ ประชาชน
113. นายอภิสิทธิ์ ห่อพาณิชย์วิบูลย์ ประชาชนคนไทยคนหนึ่ง
114. นายวีรภัทร คารัตน์ ประชาชน
115. นายพิชัย พืชมงคล ประชาชนทั่วไป
116. นายธีรชานันท์ จันทร์โพธิ์ ประชาชนทั่วไปที่รักความยุติธรรม และประชาธิปไตย
117. นางสมพิศ บุญนิมิ ประชาชนทั่วไป
118. น.ส.เกตุศิริ เสรีวัฒนวุฒิ ประชาชนตาดำๆทั่วๆไป
119. นายประกาณฑ์ นิศารัตน์ ประชาชนทั่วไป
120. นายธงชัย จันทร์ขา ประชาชนคนหนึ่ง
121. น.ส.แสงระวี ทาบ้านแป้น ประชาชนคนหนึ่ง
122. น.ส.เสาวลักษณ์ เด่นกิริยาวาจา ประชาชนคนหนึ่ง
123. นายเธียรชัย อุปชา บุคคลทั่วไป
-----------------------------------------
124. นายทวีศักดิ์ กันโยไช ประชาชนคนหนึ่ง

สรุปตัวเลข ณ เวลา 01.15 น. วันที่ 1 มิถุนายน 53 : รวมทั้งสิ้น 568 รายชื่อ


REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1275367641&catid=02