การเรียนรู้หลังวิกฤตการณ์ผ่านพ้น โอกาสปฏิรูปตนเองและสังคมการเมือง
โดย สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Director of Rotary Peace Center @ Chulalongkorn University
วิกฤตการณ์มิได้ยุติด้วยตัวมันเอง หากต้องมีการดำเนินการให้ยุติ มีบางช่วงที่ชวนให้เราพิจารณาว่าการใช้กำลังเด็ดขาดเข้าจัดการวิกฤตในภาคปฏิบัติการนั้นแหละจะเป็นการหยุดวิกฤต
แต่การมองอย่างนั้นไม่ถูกต้อง เพราะมีคนจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีนี้ เพราะผ่านประสบการณ์และบทเรียนในอดีตที่มีความเสียหายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสังคมมากมาย จึงผลักดันกันทุกวิถีทางเพื่อให้ใช้สันติวิธีและการเจรจาแก้ปัญหา
การเสนอโรดแมปของนายกฯ นำมาสู่การขานรับกระทั่งถึงวันยุติการชุมนุม แต่เราได้พบแล้วว่าการเมืองภายหลัง "การขานรับ" นั้นมีพลวัตของตัวเองและยังแฝงด้วยความไม่แน่นอน
ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่างก็แสวงหาโอกาสความได้เปรียบทางการเมืองของตนภายหลังวิกฤตผ่านพ้น
เช่น โอกาสโจมตีฝ่ายปฏิปักษ์ โอกาสการหาเสียงสนับสนุน โอกาสการริเริ่มปฏิรูป หรือแม้แต่หาประโยชน์จากโครงสร้างที่ยังสามารถจะยังประโยชน์ได้
การกระทำเหล่านี้กลายเป็นปัจจัยแก่กระบวนการเร่งวิกฤตรอบใหม่ได้ ดังปรากฏเหตุการณ์มิคสัญญีและวินาศกรรมในกรุงเทพฯที่ผ่านมา แม้ภายหลังวิกฤตการณ์ผ่านพ้นสังคมยังอาจตกลงไปวังวนของภาวะวิกฤตซ้ำซากได้อีก
ดังนั้น ภาวะวิกฤตจึงต้องการบริหารจัดการวิกฤตทั้งในมิติปฏิบัติการและมิติการเมืองควบคู่กัน เราจำต้องเห็นความสำคัญของการเมืองทั้ง 2 ระดับ ได้แก่ การเมืองในระดับสังคมให้มีการปฏิบัติการ และการเมืองในระดับสูงและกว้างกว่านั้น เพื่อขับเคลื่อนประชามติและกระแสการสนับสนุนการปฏิรูปสังคมการเมืองไปพร้อมกัน
การเรียนรู้จากวิกฤตมิใช่เรื่องหญ้าปากคอก
1.การเรียนรู้เพื่อที่จะถอดบทเรียนจากวิกฤตการณ์มิใช่เรื่องหญ้าปากคอก เราจึงไม่ต้องการเพียงสรุปแบบทื่อๆ หรือพูดตามๆ กัน
เช่นเดียวกันก็มิใช่การส่งเสริมการพูดถึงแต่ความสำเร็จด้านเดียวโดยปัดทิ้งบางเรื่องที่ไม่ชอบและไม่หันไปมองความล้มเหลวไปเลย
ท่าทีการเรียนรู้แบบด้านเดียวนี้กระมังที่ทำให้เรามีความคับแคบขาดการเตรียมตัวเผชิญโลกที่ยุ่งยากซับซ้อน
สังคมเรานั้นประกอบไปด้วยฝ่ายต่างๆ ซึ่งจำจะต้องมีการปรับท่าทีเชิงบวกต่อการเรียนรู้จากวิกฤตให้มากขึ้น
เราต้องรู้จักเรียนเพื่อให้ตนเรียนรู้ได้ (learning to learn) การถอดบทเรียนจึงเป็นเรื่องการเรียนรู้หาใช่เป็นเพียงเรื่องตัวใครตัวมัน
ยิ่งสำหรับประเทศไทยขณะนี้ก็ไม่ควรจะปล่อยให้ฝ่ายใครฝ่ายมันสรุปเอาฝ่ายเดียวโดยไม่มีการเรียนรู้ร่วมกันอีกต่อไปได้
2.การเรียนรู้ที่ถูกกระตุ้น โดยวิกฤตเช่นครั้งนี้จึงจำต้องเป็นกระบวนการที่มีลักษณะเชิงรุก เป็นกระบวนการเชิงปฏิสัมพันธ์เรียนรู้ร่วมกันและเป็นกระบวนการวางแผนท่ามกลางวิกฤตไปด้วยพร้อมๆ กัน
จากเดิมมุมมองเชิงกลไก ที่แยกส่วนและแยกหน่วยงาน จำต้องเปลี่ยนมุม เป็นมองแบบองค์รวม ทั้งนี้ไม่สำคัญว่าจะเป็นการรับมือในระดับพื้นที่ หรือระดับสูงเท่านั้น
เพราะทุกจุดต้องการทรรศนะองค์รวมทั้งทางวัตถุและจิตใจซึ่งเรียกร้องการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ เพิ่มสมรรถนะในการเรียนรู้จากวิกฤตไปด้วยพร้อมๆ กัน
การเรียนรู้กับการปฏิรูปสังคมการเมือง
3.การปฏิรูปอย่างกว้างขวางรอบด้านอาจจะมิได้แสดงถึงการเรียนรู้จากวิกฤตการณ์เสมอไป แม้ว่าการปฏิรูปอย่างกว้างของทุกด้านทางจะดูดีในแง่มุมทางการเมือง เพราะพื้นที่เคยปิดหรือเป็นสถานการณ์ทางตันได้ถูกเปิดกว้างแก่ภาวะผู้นำและทำให้สังคมการเมืองมองเห็นภารกิจร่วมที่ต้องฝ่าฝืน
ทว่ามันอาจจะต้องการเวลายาวนานเกินกว่าแรงส่งจากวิกฤต เพราะไฟวิกฤตการณ์อันร้อนแรงมอดไปแล้วและหลายฝ่ายอยากจะลืมเลือนเรื่องร้ายๆ ไปโดยเร็วอยู่ ขณะเดียวกัน แรงส่งและแรงขับเคลื่อนก็มิอาจจะหวังพึ่งแต่พรรคการเมืองหรือชนชั้นนำที่แย่งชิงอำนาจแต่ไม่ใส่ใจปรับปรุงตนได้
เราได้ประจักษ์ถึงเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมและการเผาเมือง ฯลฯ ในกรุงเทพมหานคร และในเมืองใหญ่ เช่น อุบลราชธานี, อุดรธานี, มุกดาหาร และเชียงใหม่
และเหตุการณ์เหล่านี้ต้องถือเป็นความเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยในรอบร้อยปี
เรื่องเลวร้ายที่สุดสะท้อนการที่สังคมหมิ่นเหม่ต่อพัฒนาการไปสู่ภาวะรัฐล้มเหลว
ที่แน่ๆ คือภาวะความมั่นคงของมนุษย์ในมหานครกรุงเทพถูกคุกคามอย่างร้ายแรงในระดับและขอบเขตที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
พื้นฐานคุณค่าแห่งการอยู่ร่วมกัน
ที่ต้องการการสำรวจตรวจสอบและฟื้นฟู
แม้วิกฤตการณ์ดังกล่าวจะผ่านพ้น แต่สังคมการเมืองไทยขณะนี้ยังมีภาวะความแตกแยกทั้งกว้างและลึก ความชอบธรรมทางการเมือง (legitimacy) จึงเป็นประเด็นที่มีการช่วงชิงและเป็นมิติสาธารณะให้ห้วงระยะเวลานี้ไปด้วย
ดังนั้น ภาวะผู้นำในการเปลี่ยนผ่านภายหลังวิกฤตการณ์จึงไม่ควรปล่อยให้คิดกันแบบเชิงเดี่ยว หากควรเป็นภาวะผู้นำเชิงพหุภาคี บทบาทภาคสังคมและภาคประชาชนคนจนซึ่งเป็นพื้นฐานของความชอบธรรมน่ามีความสำคัญเป็นหลักกำกับควบคู่ไปกับภาคการเมืองซึ่งต้องการการปรับตัวร่วมกันใหม่
ณ จุดนี้ ถึงเวลาที่สังคมไทยต้องถามตนเองถึงคุณค่าพื้นฐานร่วมกัน (shared values) อย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง
การที่ฝ่ายตรงกันข้ามกันเคยเลือกเข้าสู่กระบวนการปรองดอง และแม้แต่ความคาดหวังต่อบทบาทหน้าที่ของสถาบัน เช่น ตุลาการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันสะท้อนความต้องการลึกๆ ในใจของแต่ละฝ่ายกันอยู่
แต่เราจำต้องตั้งคำถามฝ่ายที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างขัดแย้งกันว่ายังมีความมุ่งหวังจะอยู่ในสังคมเดียวกันอยู่หรือไม่
ถ้าคำตอบว่าใช่ คุณค่าที่จะยึดเหนี่ยวให้อยู่ร่วมกันได้จักต้องร่วมกันคิดและร่วมกันกำหนดความหมายกัน
ขณะเดียวกัน ความตื่นตัวในเรื่องการปฏิรูปสังคมการเมืองในบ้านเมืองระยะนี้น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นประเด็นเสริมสร้างอนาคตร่วมกันได้ด้วย
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1275380386&catid=02 3/06/2010
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น