ข้อเสนอเพื่อความปรองดอง
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
กว่าบทความนี้จะได้ตีพิมพ์ ปฏิกิริยาต่อข้อเสนอเพื่อความปรองดองของท่านนายกฯ จากฝ่ายต่างๆ ก็คงเป็นที่รู้กันหมดแล้ว แต่ในขณะที่เขียนบทความนี้ ยังไม่สู้จะชัดนักว่าฝ่ายที่เกี่ยวข้องยอมรับข้อเสนอนี้มากน้อยเพียงไร ดูเหมือนทุกฝ่ายยอมรับโดยมีเงื่อนไขทั้งสิ้น จึงไม่แน่ว่าท่านนายกฯจะยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อเสนอ 5 ข้อ ที่ท่านนายกฯกล่าวในคำแถลง เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ยังมี "สาร" อีกหลายอย่างในคำแถลงที่อยู่ระหว่างบรรทัด อันเป็น "สาร" ที่ท่านนายกฯ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจส่งออกมา ผมเห็นว่า "สาร" เหล่านี้ช่วยอธิบายสภาวะที่แสนจะยุ่งเหยิงอีนุงตุงนังของการเมืองไทยในเวลานี้ออกมาให้เห็นได้มาก
และผมขอนำเอา "สาร" เหล่านี้เท่าที่จะมีสติปัญญาจับได้ขึ้นมาคุยกับท่านผู้อ่าน
1.ท่านนายกฯพูดชัดเจนว่า ข้อเสนอทั้ง 5 นี้ มาจากการปรึกษาหารือกับผู้คนหลากหลายกลุ่ม ท่านนายกฯอ้างเป็นตัวอย่าง เช่น ประชาชนผู้มาชุมนุม (คงจะหมายถึงทั้งสองฝ่าย), นักวิชาการ, องค์กรภาคประชาชน-ประชาสังคมต่างๆ, และประชาชนคนธรรมดา
แต่ทั้งนี้ไม่รวม "ผู้ใหญ่" (ซึ่งเล็กกว่ากำนัน) ในพรรคประชาธิปัตย์ และอาจไม่รวมแม้แต่ "กำนัน" เอง เพราะวิถีทางปฏิบัติของ ศอฉ.ภายใต้กำนัน ก็ยังคงแข็งกร้าวเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม แทนที่จะลดราวาศอกลง อย่างน้อยก็โดยท่าทีเพื่อทำให้ข้อเสนอของท่านนายกฯ เป็นที่น่าไว้วางใจมากขึ้น
ความไม่เป็นเอกภาพเชิงนโยบายเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร ผมตอบไม่ได้ อาจเป็นเพราะท่านนายกฯตั้งใจมาแต่แรกแล้วให้การปฏิบัติต้องไม่เป็นเอกภาพกับข้อเสนอ เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ฝ่าย นปช. หรือแท้จริงแล้ว ท่านนายกฯเองก็เป็นเพียง "มุ้ง" (faction) หนึ่งของเครือข่ายอำนาจที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลชุดนี้ ข้อเสนอของท่านนายกฯได้รับความเห็นพ้องจากกลุ่มหนึ่งของ "มุ้ง" ต่างๆ แต่รวมไม่ได้หมดทุก "มุ้ง"
ถ้าเป็นอย่างหลัง ก็แสดงว่ามีเครือข่ายอำนาจหลากหลายอยู่เบื้องหลังรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งไม่แปลกอะไร รัฐบาลไทยชุดไหนๆ ก็มีเครือข่ายอำนาจหลากหลายอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น แต่ที่แปลกก็คือ เครือข่ายอำนาจเบื้องหลังนั้น ไม่สามารถแบ่งอำนาจกันได้ลงตัว จึงทำให้ยากที่รัฐบาลจะดำเนินนโยบายอะไรด้วยพลังที่มีเอกภาพได้ ข้อนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใดใน 1 ปี 4 เดือนที่ผ่านมา ท่านนายกฯจึงทำอะไรนอกโพเดียมไม่ได้มากไปกว่านี้
ก็ข้อเสนอที่ 2, 3 และ 5 นั้น ท่านมีโอกาสจะทำได้มาตั้งแต่ 1 ปี 4 เดือนที่แล้ว แต่ท่านก็ไม่ได้ทำ จะหวังให้ท่านทำจนสำเร็จใน 7 เดือนที่เหลือได้อย่างไร อีกทั้งข้อเสนอเพื่อความปรองดองในครั้งนี้ ก็ไม่ได้มาจากเอกภาพของเครือข่ายอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเหมือนเดิม
2. ท่านนายกฯ แยกวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสองด้านออกจากกันอย่างเด็ดขาด คือด้านที่เกี่ยวกับความมั่นคง และด้านที่เกี่ยวกับการเมือง ถ้าพูดในทางกฎหมายคือ การกระทำที่ผิดกฎหมายอาญา (ขั้นร้ายแรง) เช่นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, มีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง, การสังหารหมู่ประชาชนและทหาร, ฯลฯ กับการกระทำที่มุ่งผลทางการเมือง (เช่นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธเพื่อเรียกร้องให้ยุบสภา), การยุบสภา, ข้อเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ ฯลฯ
นอกจากเส้นแบ่งระหว่างสองเรื่องนี้จะเบลอแล้ว ในความเป็นจริงก็แยกจากกันได้ยากด้วย ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันได้เสมอว่า ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้เริ่มแปรปัญหาทางการเมืองให้กลายเป็นปัญหาเชิงความมั่นคง ด้วยเหตุดังนั้น ไม่เฉพาะแต่แกนนำ นปช.ที่ต้องขึ้นศาลในคดีต่างๆ หลายคดีแล้ว ตัวท่านนายกฯ, รองนายกฯ, ผบ.ทบ. หรือผู้ออกคำสั่งให้สลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน และ 28 เมษายน ทหาร-ตำรวจที่ยิงเข้าใส่ประชาชนด้วยกระสุนจริง, ทหาร-ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการตั้งด่าน, ผู้ชุมนุมซึ่งปิดถนน, กักมิให้ตำรวจ-ทหารยกกำลังเข้ากรุงเทพฯ ตามคำสั่ง ฯลฯ ล้วนมีคดีอาญาที่ต้องขึ้นศาลทั้งสิ้น
มันจะมิวุ่นกันยกใหญ่ไปทั้งเมืองหรือครับ? แม้แต่ยอมว่าวุ่นเป็นวุ่นกัน เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย แต่ก็ไม่ควรลืมด้วยว่า หลายคดีเหล่านี้คงไม่สิ้นสุดลงจนหลังการเลือกตั้งครั้งใหม่ และมีรัฐบาลใหม่แล้ว
ผมจึงออกสงสัยว่า ท่านนายกฯรู้อยู่แล้ว ดังจะเห็นได้ในบางส่วนของข้อเสนอประการที่ 5 แต่จะหาข้อตกลงที่พอจะรับได้กันทุกฝ่ายในภายหลัง ข้อตกลงซึ่งจะต้องเกิดในภายหลังนี้ ย่อมเกิดได้จากการต่อรอง ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าแต่ละฝ่ายจะยังเหลืออำนาจต่อรองที่มีอยู่ในเวลานี้หรือไม่ เช่น แกนนำ นปช.ที่ไม่มีผู้ชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ จะยังเหลืออำนาจต่อรองสักเท่าไร แม้แต่ฝ่ายเสื้อเหลืองและเสื้อหลากสี เมื่อไม่มีการชุมนุมของเสื้อแดง จะยังมีอำนาจต่อรองเหลือเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้หรือ ตัวท่านนายกฯ เองหลังจากวิกฤตเฉพาะหน้าผ่านไปแล้ว จะยังเหลือพลังสำหรับการปลุกระดมสังคมเท่าเดิมละหรือ และด้วยเหตุดังนั้นก็ย่อมมีอำนาจต่อรองลดลงด้วย
จะเหลือก็แต่กลุ่มที่มีอำนาจต่อรองคงที่ ไม่เพิ่มไม่ลดหลังจากที่เสื้อแดงกลับบ้านแล้ว กลุ่มนี้แหละ (ซึ่งในตัวเองอาจมีหลายกลุ่ม) ที่จะเป็นผู้ชี้ขาดในบั้นปลายว่า แค่ไหนเป็นอาญา และแค่ไหนเป็นการเมือง
เช่นเดียวกับเรื่องการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกลือกกลั้วกับการเมือง แค่ไหนถือว่าดึง แค่ไหนถือว่าไม่ดึง ก็กลุ่มนี้แหละที่จะเป็นผู้ชี้ขาดในบั้นปลาย
ปัญหาที่น่าคิดสำหรับคนซึ่งไม่ใช่นายกฯ หรือแกนนำ นปช.อย่างพวกเราก็คือ ภายใต้การนำและกำกับอย่างใกล้ชิดของกลุ่มดังกล่าวนั้น การเมืองไทยจะนำไปสู่การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ, ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากร ฯลฯ ดังข้อเสนอข้อที่ 2 ของท่านนายกฯ ได้หรือไม่
3.ข้อเสนอให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 14 พฤศจิกายน หมายความว่ารัฐบาลจะยุบสภาในกลางเดือนกันยายน (หากจัดเลือกตั้งใน 60 วัน) หรือปลายกันยายน (หากจัดเลือกตั้งใน 45 วัน)
ทำไมจึงต้องเป็นกันยายน ใครๆ ก็รู้อยู่แล้วว่า ไม่ใช่เพื่อผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณ เพราะสามารถทำให้เสร็จก่อนหน้านั้นได้ (หรือปล่อยให้รัฐบาลใหม่เป็นผู้ทำก็ยังทัน หากรีบยุบสภาในทันที) แต่เพื่อจะได้โยกย้ายข้าราชการทหาร-ตำรวจ และมหาดไทยได้ก่อนที่จะกลายเป็นรัฐบาลรักษาการณ์
มหาดไทยนั้นสำหรับประโยชน์ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง แต่ข้าราชการฝ่ายปกครองที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลการเลือกตั้งนั้น จะกระตือรือร้นแค่ไหนกับผู้แต่งตั้งซึ่งรู้อยู่แล้วว่า จะไม่ได้กลับมาเป็นนายอีกต่อไป ยังเป็นปัญหาอยู่ แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ (ซึ่งไม่ได้ถูกยุบ) ได้กลับมาเป็นรัฐบาล ก็เชื่อแน่ว่า จะไม่ปล่อยให้พรรคอื่นใดได้ว่ามหาดไทยอีก
ในส่วนทหารนั้นจะช่วยการเลือกตั้งได้มากน้อยเพียงไร การเลือกตั้งในพ.ศ.2551 พิสูจน์แล้วว่า กองทัพแทบจะไม่สามารถกำกับการเลือกตั้งให้ได้ประโยชน์แก่พรรคใดพรรคหนึ่งได้มากนัก ยิ่งความขัดแย้งแบ่งขั้วทางการเมืองซึ่งดำเนินมานับจากนั้นจนถึงบัดนี้ปรากฏชัดขึ้น ยิ่งจะทำให้อำนาจของกองทัพในการแทรกแซงการเลือกตั้งได้ผลน้อยลงไปอีก
เจตนาที่จะรักษาการแต่งตั้งสายบังคับบัญชาในกองทัพไว้กับรัฐบาล จึงไม่น่าจะเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เท่ากับรักษาอำนาจนอกระบบไว้ให้เป็นมิตรกับรัฐบาลชุดนี้ต่อไป
ปัญหาที่น่าสนใจก็คือ หลังการชุมนุมของ นปช.ในครั้งนี้ อำนาจนอกระบบจะสามารถแทรกแซงทางการเมืองอีก ได้มากน้อยเพียงไร หรือจะแทรกแซงอย่างไร จึงจะเป็นที่ยอมรับได้แก่ผู้คนในสังคมโดยทั่วกัน
ในทางตรงกันข้าม หากอำนาจนอกระบบไม่ได้คิดถึงปัญหานี้อย่างจริงจัง มาตรการที่จะใช้เพื่อแทรกแซงทางการเมือง ก็จำเป็นต้องทำอย่างออกหน้าและรุนแรงมากขึ้น เช่นกองทัพต้องทำรัฐประหาร หรือ "เก็บ" ศัตรูทางการเมืองไว้ในคุกหรือปรโลก
แม้แต่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งสามารถจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ก็ยังมีปัญหาอำนาจนอกระบบ และคงมีการแข่งขันกันอย่างหนักในการควบคุมกองทัพ มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความรุนแรงได้เช่นกัน
4.และเพื่อรักษาอำนาจนอกระบบไว้ให้มีศักยภาพในการแทรกแซงทางการเมือง ก็มีความจำเป็นต้องควบคุมสื่อต่อไป หรือในทางตรงกันข้าม รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งต้องการถ่วงดุลอำนาจนอกระบบ ก็จำเป็นต้องควบคุมสื่อในระดับหนึ่งเหมือนกัน
ความหมายระหว่างบรรทัดของคำแถลงข้อเสนอของนายกฯ เพื่อความปรองดอง ชี้ให้เห็นปัจจัยอันสลับซับซ้อนที่พัวพันอยู่กับการเมืองไทยเวลานี้ และการสลายการชุมนุม ไม่ว่าด้วยกำลังหรือด้วยข้อเสนอ เพื่อความปรองดอง ย่อมไม่อาจนำการเมืองไทยไปสู่ระเบียบหรือความสงบสุขได้ง่ายๆ ความสัมพันธ์ของกลุ่มทางการเมืองต่างๆ (ทั้งที่อยู่ฝ่ายเดียวกันและคนละฝ่ายในเวลานี้) มีความตึงเครียดสูง และอาจปรับเปลี่ยนฝ่ายกันได้โดยง่าย
และการปะทะกัน "นอกกติกา" ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นเท่าเดิม
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1273499397&catid=02 3/06/2010
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น