หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"ฮิญาบ" กับ "บุรกา" และสถานะสตรีในสังคมมุสลิม

"ฮิญาบ" กับ "บุรกา" และสถานะสตรีในสังคมมุสลิม

โดย ศราวุฒิ อารีย์ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอ์มินให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงมา...และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกนางลดสายตาของพวกนางลงต่ำและให้พวกนางรักษาสิ่งสงวนของพวกนางและอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้นางปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของนางลงมาถึงหน้าอกของนาง..." (อัลกุรอ่าน 24: 30-31)


เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2010 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศสลงมติด้วยคะแนนเสียง 335 ต่อ 1 เสียง เห็นชอบกฎหมายห้ามหญิงชาวมุสลิมสวมเครื่องแต่งกายที่ปกคลุมใบหน้าอย่างมิดชิดหรือที่เรียกว่า "นิกอบ" และ "บุรกา" ตามที่สาธารณะ โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน


นอกจากนี้ ยังได้อ้างเหตุผลอีกว่าการห้ามสตรีมุสลิมคลุมฮิญาบแบบบุรกาไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติหรือจำกัดสิทธิกันเกินไป แต่สตรีมุสลิมส่วนใหญ่ในฝรั่งเศสก็สวม "ฮิญาบ" แบบธรรมดากันได้อยู่แล้ว


มิเชล อัลเลียต-มารี รัฐมนตรียุติธรรมฝรั่งเศส กล่าวว่า "การอนุมัติครั้งนี้เป็นความสำเร็จสำหรับค่านิยมเรื่องเสรีภาพ, เสมอภาค, ภราดรภาพ และโลกย์วิสัยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส" กฎหมายฉบับนี้จะต้องส่งให้สภารัฐธรรมนูญตรวจสอบและส่งวุฒิสภาลงมติในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ หากผ่านก็จะทำให้ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศยุโรปชาติที่สองต่อจากเบลเยียม ที่ออกกฎหมายกำหนดให้การสวมใส่ชุดบุรกาหรือนิกอบของสตรีมุสลิมในที่สาธารณะ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย


ส่วนฝ่ายคัดค้านก็ออกมาต้าน เช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนจากลอนดอน ได้ประณามการลงมติดังกล่าวโดย จอห์น ดัลฮุยเซน ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรนิรโทษกรรมสากลด้านประเด็นการกีดกันเลือกปฏิบัติในยุโรป กล่าวว่า การห้ามคลุมหน้าอย่างสิ้นเชิงนี้เป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการนับถือศาสนาของสตรีที่ครองนิกอบหรือบุรกา ที่จะแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์หรือศรัทธาความเชื่อของเขาเหล่านั้น


ความจริง ทางการฝรั่งเศสได้ห้ามนักเรียนหญิงและข้าราชการพลเรือนคลุมผมหรือฮิญาบในสถานที่ราชการมาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว แม้ว่านักศึกษาหญิงมุสลิมอาจคลุมฮิญาบในมหาวิทยาลัยให้เห็นบ้างก็ตาม


ฮิญาบและบุรกา


กรณีของการคลุมศีรษะหรือฮิญาบเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันอยู่มาก หากใครที่ได้มีโอกาสเดินทางไปโลกมุสลิมบ่อยๆ หรือคุ้นเคยกับสังคมมุสลิมในไทย โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะพบว่าวัฒนธรรมการใส่ผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมีปรากฏเพิ่มมากขึ้นในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกระแสการฟื้นฟูอิสลาม (Islamic Revivalism) ที่เข้มข้นขึ้นนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 และ 1990 และค่อยๆ แพร่กระจายขยายออกไปทั่ว


คนหัวสมัยใหม่ โดยเฉพาะคนตะวันตก อาจมองวัฒนธรรมการคลุมศีรษะของอาหรับเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ทางเพศ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่คนมุสลิมเองกลับมีมุมมองที่ต่างออกไป มุสลิมบางคนมองเพียงว่าการคลุมศีรษะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการทำตามหลักการศาสนา โดยมิได้มีความหมายสำคัญอันใดที่จะไปเกี่ยวข้องกับการเมือง


ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมการคลุมศีรษะอาจมองได้อีกมุมว่าเป็นการฉายภาพให้เห็นถึง "อิสรภาพ" ที่ผู้หญิงสามารถเลือกที่จะสวมใส่มันได้ อย่างไรก็ตาม สภาวะกดดันทางสังคมโดยเฉพาะจากครอบครัวหรือเพื่อนๆ ก็มีส่วนทำให้ผู้หญิงมุสลิมใส่ฮิญาบกันมากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง บางครอบครัวก็อาจรู้สึกอึดอัดใจเมื่อเห็นลูกสาวหรือหลานสาวตนเองสวมใส่ฮิญาบ


บางคนเชื่อว่าการสวมใส่ฮิญาบแบบสมัครใจ (ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลส่วนตัวหรือสังคม) เป็นการแสดงออกให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของความรู้สึกห่วงแหนอัตลักษณ์มุสลิม บางคนไปไกลถึงขนาดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องความสำคัญของฮิญาบทางการเมืองหรือเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง


แต่ผู้หญิงมุสลิมจำนวนมากก็คิดว่า การอำพรางอวัยวะส่วนที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกทางเพศ (เส้นผมและอื่นๆ) จะทำให้พวกเธอรู้สึกเป็นอิสระมากกว่าในการเดินทางเคลื่อนย้ายใช้ชีวิตที่สาธารณะ เพราะฮิญาบจะป้องกันพวกเธอจากสายตาที่ไม่พึงปรารถนาหรือความสนใจที่แฝงเร้นไปด้วยตัณหาราคะของเพศตรงข้าม


ในอีกมุมหนึ่ง หากฝ่ายชายเห็นฮิญาบก็จะเกิดความเกรงใจและให้ความเคารพมากกว่าผู้หญิงที่ไม่สวมใส่ฮิญาบ แต่ผู้หญิงมุสลิมบางคนก็ใส่ฮิญาบที่หรูหราทันสมัย ราคาแพง และแต่งแต้มสีสันตามความนิยมของแฟชั่นสมัยใหม่


การสวมใส่ฮิญาบต้องแยกประเด็นออกไปต่างหากจากการปิดหน้า ส่วนใหญ่วัฒนธรรมการปิดหน้ามักเห็นอย่างเป็นปกติในประเทศแถบอ่าวเปอร์เซียและพื้นที่บางส่วนของแอฟริกาเหนือ (มุสลิมอพยพส่วนใหญ่ที่อยู่ในฝรั่งเศสมาจากแอฟริกาเหนือ) ผู้หญิงที่ปิดหน้ายังมีความแตกต่างหลากหลาย ตั้งแต่ปิดหน้าทั้งหมดหรือปิดหน้าบางส่วน แต่ในขณะเดียวกันประเทศอย่างตูนิเซียกลับออกกฎหมายห้ามการปิดหน้าอย่างเด็ดขาด


อัลกุรอ่านเองมิได้ระบุอันใดเกี่ยวกับการคลุมหน้าหรือการแยกผู้หญิงไปอยู่ต่างหากภายในบ้าน นักวิชาการบางคนอธิบายว่า วัฒนธรรมที่ว่านี้พัฒนาขึ้นภายหลังและไม่ได้เป็นที่นิยมแพร่หลายในอาณาจักรอิสลาม จนกระทั่งเวลาผ่านไป 3-4 ชั่วอายุคนหลังการจากไปของศาสนทูตมุฮัมมัด


บ้างก็ว่าวัฒนธรรมการปิดหน้าและการแยกผู้หญิงในบ้านไม่ให้ยุ่งย่ามในส่วนที่เป็นพื้นที่ของผู้ชายในโลกมุสลิมนั้นมาจากวัฒนธรรมเปอร์เซียและไบเซนไตน์โบราณ เพราะพวกเขามีวัฒนธรรมการปฏิบัติต่อผู้หญิงเช่นนั้น


สถานะสตรีในสังคมมุสลิม


คนนอกที่ไม่ใช่มุสลิมซึ่งเคยได้เห็นได้ยินและได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงมุสลิม มักจะเข้าใจไปเองว่าพวกเธอต้องตกเป็นเบี้ยล่างและเป็นกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ในสังคม หลายคนเชื่อว่าสถานการณ์เช่นนี้จะต้องได้รับการแก้ไขปรับปรุงอย่างเร่งด่วน


อย่างไรก็ตาม แม้คนนอกอย่างเราจะไม่เห็นด้วยกับสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่เป็นอยู่ในสังคมมุสลิม แต่อย่างน้อยเราก็ควรที่จะต้องพยายามเข้าใจมุมมองอีกด้านหนึ่ง และจะต้องไม่รีบตัดสินหรือกล่าวโทษสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมมุสลิม บางครั้งการรับฟังเหตุผลอีกชุดหนึ่งจากผู้ปฏิบัติอาจทำให้เราเข้าใจโลกได้กว้างขึ้น


ตามความเข้าใจของมุสลิมทั้งชายและหญิง พวกเขาไม่ได้มองว่าประเพณีทางสังคมและขอบเขตข้อจำกัดของผู้หญิงเป็นเรื่องของการกดขี่ แต่เป็นความเหมาะสมตามธรรมชาติของผู้หญิง พวกเขาไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นการละเมิดสิทธิหรือเป็นการกดขี่ผู้หญิง แต่มองว่าการจำกัดขอบเขตผู้หญิงเป็นเสมือนการปกป้องพวกเธอ อันจะทำให้พวกเธอไม่ต้องตกอยู่ในความตึงเครียด การแย่งชิงแข่งขัน การถูกยั่วยุ และการเสียเกียรติยศชื่อเสียงเหมือนที่เกิดขึ้นในสังคมอื่น


ส่วนผู้หญิงมุสลิมเองส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน ก็รู้สึกพอใจและอบอุ่นใจที่ระบบสังคมปัจจุบันยังคงรักษาความมั่นคง การปกป้องดูแล และการเคารพให้เกียรติพวกเธออยู่


โดยธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว สถานะสตรีในสังคมมุสลิมนั้นถูกครอบงำโดยระบบปิตาธิปัตย์หรือระบบสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่มาตลอด ซึ่งเป็นระบบที่มีมาก่อนที่ศาสนาอิสลามจะมาถึงในศตวรรษที่ 7 ฉะนั้น ธรรมเนียมปฏิบัติหลายอย่างที่เกี่ยวกับสถานะสตรีที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันจึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากประเพณีท้องถิ่นและธรรมเนียมปฏิบัติทางสังคมที่สืบทอดต่อเนื่องกันมายาวนาน ซึ่งหลายๆ อย่างก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาหรือไม่ได้เป็นหลักการที่ศาสนากำหนดไว้


ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่ต้องการทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมมุสลิมในหลายๆ แง่มุม
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280914421&catid=02 10/08/2010

"ฮิญาบ" กับ "บุรกา" และสถานะสตรีในสังคมมุสลิม

"ฮิญาบ" กับ "บุรกา" และสถานะสตรีในสังคมมุสลิม

โดย ศราวุฒิ อารีย์ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอ์มินให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงมา...และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกนางลดสายตาของพวกนางลงต่ำและให้พวกนางรักษาสิ่งสงวนของพวกนางและอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้นางปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของนางลงมาถึงหน้าอกของนาง..." (อัลกุรอ่าน 24: 30-31)


เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2010 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศสลงมติด้วยคะแนนเสียง 335 ต่อ 1 เสียง เห็นชอบกฎหมายห้ามหญิงชาวมุสลิมสวมเครื่องแต่งกายที่ปกคลุมใบหน้าอย่างมิดชิดหรือที่เรียกว่า "นิกอบ" และ "บุรกา" ตามที่สาธารณะ โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน


นอกจากนี้ ยังได้อ้างเหตุผลอีกว่าการห้ามสตรีมุสลิมคลุมฮิญาบแบบบุรกาไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติหรือจำกัดสิทธิกันเกินไป แต่สตรีมุสลิมส่วนใหญ่ในฝรั่งเศสก็สวม "ฮิญาบ" แบบธรรมดากันได้อยู่แล้ว


มิเชล อัลเลียต-มารี รัฐมนตรียุติธรรมฝรั่งเศส กล่าวว่า "การอนุมัติครั้งนี้เป็นความสำเร็จสำหรับค่านิยมเรื่องเสรีภาพ, เสมอภาค, ภราดรภาพ และโลกย์วิสัยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส" กฎหมายฉบับนี้จะต้องส่งให้สภารัฐธรรมนูญตรวจสอบและส่งวุฒิสภาลงมติในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ หากผ่านก็จะทำให้ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศยุโรปชาติที่สองต่อจากเบลเยียม ที่ออกกฎหมายกำหนดให้การสวมใส่ชุดบุรกาหรือนิกอบของสตรีมุสลิมในที่สาธารณะ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย


ส่วนฝ่ายคัดค้านก็ออกมาต้าน เช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนจากลอนดอน ได้ประณามการลงมติดังกล่าวโดย จอห์น ดัลฮุยเซน ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรนิรโทษกรรมสากลด้านประเด็นการกีดกันเลือกปฏิบัติในยุโรป กล่าวว่า การห้ามคลุมหน้าอย่างสิ้นเชิงนี้เป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการนับถือศาสนาของสตรีที่ครองนิกอบหรือบุรกา ที่จะแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์หรือศรัทธาความเชื่อของเขาเหล่านั้น


ความจริง ทางการฝรั่งเศสได้ห้ามนักเรียนหญิงและข้าราชการพลเรือนคลุมผมหรือฮิญาบในสถานที่ราชการมาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว แม้ว่านักศึกษาหญิงมุสลิมอาจคลุมฮิญาบในมหาวิทยาลัยให้เห็นบ้างก็ตาม


ฮิญาบและบุรกา


กรณีของการคลุมศีรษะหรือฮิญาบเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันอยู่มาก หากใครที่ได้มีโอกาสเดินทางไปโลกมุสลิมบ่อยๆ หรือคุ้นเคยกับสังคมมุสลิมในไทย โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะพบว่าวัฒนธรรมการใส่ผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมีปรากฏเพิ่มมากขึ้นในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกระแสการฟื้นฟูอิสลาม (Islamic Revivalism) ที่เข้มข้นขึ้นนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 และ 1990 และค่อยๆ แพร่กระจายขยายออกไปทั่ว


คนหัวสมัยใหม่ โดยเฉพาะคนตะวันตก อาจมองวัฒนธรรมการคลุมศีรษะของอาหรับเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ทางเพศ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่คนมุสลิมเองกลับมีมุมมองที่ต่างออกไป มุสลิมบางคนมองเพียงว่าการคลุมศีรษะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการทำตามหลักการศาสนา โดยมิได้มีความหมายสำคัญอันใดที่จะไปเกี่ยวข้องกับการเมือง


ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมการคลุมศีรษะอาจมองได้อีกมุมว่าเป็นการฉายภาพให้เห็นถึง "อิสรภาพ" ที่ผู้หญิงสามารถเลือกที่จะสวมใส่มันได้ อย่างไรก็ตาม สภาวะกดดันทางสังคมโดยเฉพาะจากครอบครัวหรือเพื่อนๆ ก็มีส่วนทำให้ผู้หญิงมุสลิมใส่ฮิญาบกันมากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง บางครอบครัวก็อาจรู้สึกอึดอัดใจเมื่อเห็นลูกสาวหรือหลานสาวตนเองสวมใส่ฮิญาบ


บางคนเชื่อว่าการสวมใส่ฮิญาบแบบสมัครใจ (ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลส่วนตัวหรือสังคม) เป็นการแสดงออกให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของความรู้สึกห่วงแหนอัตลักษณ์มุสลิม บางคนไปไกลถึงขนาดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องความสำคัญของฮิญาบทางการเมืองหรือเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง


แต่ผู้หญิงมุสลิมจำนวนมากก็คิดว่า การอำพรางอวัยวะส่วนที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกทางเพศ (เส้นผมและอื่นๆ) จะทำให้พวกเธอรู้สึกเป็นอิสระมากกว่าในการเดินทางเคลื่อนย้ายใช้ชีวิตที่สาธารณะ เพราะฮิญาบจะป้องกันพวกเธอจากสายตาที่ไม่พึงปรารถนาหรือความสนใจที่แฝงเร้นไปด้วยตัณหาราคะของเพศตรงข้าม


ในอีกมุมหนึ่ง หากฝ่ายชายเห็นฮิญาบก็จะเกิดความเกรงใจและให้ความเคารพมากกว่าผู้หญิงที่ไม่สวมใส่ฮิญาบ แต่ผู้หญิงมุสลิมบางคนก็ใส่ฮิญาบที่หรูหราทันสมัย ราคาแพง และแต่งแต้มสีสันตามความนิยมของแฟชั่นสมัยใหม่


การสวมใส่ฮิญาบต้องแยกประเด็นออกไปต่างหากจากการปิดหน้า ส่วนใหญ่วัฒนธรรมการปิดหน้ามักเห็นอย่างเป็นปกติในประเทศแถบอ่าวเปอร์เซียและพื้นที่บางส่วนของแอฟริกาเหนือ (มุสลิมอพยพส่วนใหญ่ที่อยู่ในฝรั่งเศสมาจากแอฟริกาเหนือ) ผู้หญิงที่ปิดหน้ายังมีความแตกต่างหลากหลาย ตั้งแต่ปิดหน้าทั้งหมดหรือปิดหน้าบางส่วน แต่ในขณะเดียวกันประเทศอย่างตูนิเซียกลับออกกฎหมายห้ามการปิดหน้าอย่างเด็ดขาด


อัลกุรอ่านเองมิได้ระบุอันใดเกี่ยวกับการคลุมหน้าหรือการแยกผู้หญิงไปอยู่ต่างหากภายในบ้าน นักวิชาการบางคนอธิบายว่า วัฒนธรรมที่ว่านี้พัฒนาขึ้นภายหลังและไม่ได้เป็นที่นิยมแพร่หลายในอาณาจักรอิสลาม จนกระทั่งเวลาผ่านไป 3-4 ชั่วอายุคนหลังการจากไปของศาสนทูตมุฮัมมัด


บ้างก็ว่าวัฒนธรรมการปิดหน้าและการแยกผู้หญิงในบ้านไม่ให้ยุ่งย่ามในส่วนที่เป็นพื้นที่ของผู้ชายในโลกมุสลิมนั้นมาจากวัฒนธรรมเปอร์เซียและไบเซนไตน์โบราณ เพราะพวกเขามีวัฒนธรรมการปฏิบัติต่อผู้หญิงเช่นนั้น


สถานะสตรีในสังคมมุสลิม


คนนอกที่ไม่ใช่มุสลิมซึ่งเคยได้เห็นได้ยินและได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงมุสลิม มักจะเข้าใจไปเองว่าพวกเธอต้องตกเป็นเบี้ยล่างและเป็นกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ในสังคม หลายคนเชื่อว่าสถานการณ์เช่นนี้จะต้องได้รับการแก้ไขปรับปรุงอย่างเร่งด่วน


อย่างไรก็ตาม แม้คนนอกอย่างเราจะไม่เห็นด้วยกับสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่เป็นอยู่ในสังคมมุสลิม แต่อย่างน้อยเราก็ควรที่จะต้องพยายามเข้าใจมุมมองอีกด้านหนึ่ง และจะต้องไม่รีบตัดสินหรือกล่าวโทษสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมมุสลิม บางครั้งการรับฟังเหตุผลอีกชุดหนึ่งจากผู้ปฏิบัติอาจทำให้เราเข้าใจโลกได้กว้างขึ้น


ตามความเข้าใจของมุสลิมทั้งชายและหญิง พวกเขาไม่ได้มองว่าประเพณีทางสังคมและขอบเขตข้อจำกัดของผู้หญิงเป็นเรื่องของการกดขี่ แต่เป็นความเหมาะสมตามธรรมชาติของผู้หญิง พวกเขาไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นการละเมิดสิทธิหรือเป็นการกดขี่ผู้หญิง แต่มองว่าการจำกัดขอบเขตผู้หญิงเป็นเสมือนการปกป้องพวกเธอ อันจะทำให้พวกเธอไม่ต้องตกอยู่ในความตึงเครียด การแย่งชิงแข่งขัน การถูกยั่วยุ และการเสียเกียรติยศชื่อเสียงเหมือนที่เกิดขึ้นในสังคมอื่น


ส่วนผู้หญิงมุสลิมเองส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน ก็รู้สึกพอใจและอบอุ่นใจที่ระบบสังคมปัจจุบันยังคงรักษาความมั่นคง การปกป้องดูแล และการเคารพให้เกียรติพวกเธออยู่


โดยธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว สถานะสตรีในสังคมมุสลิมนั้นถูกครอบงำโดยระบบปิตาธิปัตย์หรือระบบสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่มาตลอด ซึ่งเป็นระบบที่มีมาก่อนที่ศาสนาอิสลามจะมาถึงในศตวรรษที่ 7 ฉะนั้น ธรรมเนียมปฏิบัติหลายอย่างที่เกี่ยวกับสถานะสตรีที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันจึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากประเพณีท้องถิ่นและธรรมเนียมปฏิบัติทางสังคมที่สืบทอดต่อเนื่องกันมายาวนาน ซึ่งหลายๆ อย่างก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาหรือไม่ได้เป็นหลักการที่ศาสนากำหนดไว้


ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่ต้องการทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมมุสลิมในหลายๆ แง่มุม
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280914421&catid=02 10/08/2010

กฎหมายว่าด้วยห้ามการปิดหน้าของสตรีมุสลิม กดขี่หรือปลดปล่อย

กฎหมายว่าด้วยห้ามการปิดหน้าของสตรีมุสลิม กดขี่หรือปลดปล่อย

โดย อุสตาซอับดุชชะกูร บิน ชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)


ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนามูฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดิ์แด่ผู้อ่านทุกท่าน


เมื่อ 14 กรกฎาคม 2553 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศส ลงมติด้วยคะแนนเสียง 335 ต่อ 1 เสียง เห็นชอบกฎหมายห้ามหญิงชาวมุสลิมสวมเครื่องแต่งกายที่ปกคลุมใบหน้าอย่างมิดชิด หรือที่เรียกว่า "นิกอบ"และ "บุรกา" ตามที่สาธารณะ


สำหรับผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับเงิน 150 ยูโร (ประมาณ 6,100 บาท) และหากใครบังคับให้สตรีมุสลิมสวมผ้าปิดบังใบหน้า จะต้องโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี และปรับ 15,000 ยูโร (มากกว่า 610,000 บาท) โดยร่างกฎหมายดังกล่าวเตรียมถูกส่งให้วุฒิสภาพิจารณาลงมติในเดือนกันยายนนี้ ก่อนจะบังคับใช้เป็นกฎหมาย


ด้านกระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศส ประเมินว่า ขณะนี้มีหญิงชาวมุสลิมสวมผ้าปิดบังทั้งร่างกายเพียง 1,900 คน จากจำนวนชาวมุสลิมทั้งประเทศที่มีมากกว่า 5 ล้านคน


จากกฎหมายดังกล่าวจะทำให้สตรีมุสลิมที่มีความต้องการจะปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามไม่สามารถปฏิบัติได้ในกรณีดังกล่าวหากวุฒิสภาลงมติรับรองในเดือนกันยายนนี้


ในขณะที่ผู้ที่เห็นด้วยในกฎหมายนี้มองว่าเป็นกฎหมายที่ช่วยปลดปล่อยสตรีมุสลิมเองให้เป็นไทจากการกดขี่สตรีเพศ


อะไรคือหลักการของศาสนาอิสลามที่ทำให้บรรดาสตรีมุสลิมมีความประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะปฏิบัติตามหลักศาสนาซึ่งเป็นกฎหมายของพระเจ้าและอาจจะทำให้หลายคนยอมฝ่าฝืนกฎหมายของฝรั่งเศส ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นกฎหมายของมนุษย์ และสตรีผู้ศรัทธาอันแรงกล้ากลับมองว่า การปิดหน้าเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพในการปกป้องสตรีจากความเหลวทรามของยุคเซ็กซ์เสรี ที่ผู้ชายพยายามใช่สตรีเป็นเครื่องมือหรือสินค้าหรือทาสทางวัตถุให้กับพวกเขาต่างหาก


จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ผู้เขียนได้อธิบายเหตุผลของสตรีมุสลิมที่เคร่งครัดหรือสุดโต่งตามทรรศนะตะวันตกและแนวร่วมดังนี้


1. การแต่งกายของสตรีมุสลิมตามหลักการอิสลาม


สตรีมุสลิมเมื่อบรรลุศาสนภาวะ มีความจำเป็นจะต้องแต่งกายที่มิดชิดซึ่งเรียกว่า ฮิญาบ เพื่อการปกป้อง ศักดิ์ศรีของความเป็นสตรีจากบุรุษเพศที่ใช้สายตาตามอารมณ์ฝ่ายต่ำในการลวนลาม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก่ออาชญากรรม หรือความเสื่อมทรามทางสังคมที่ไม่อาจคำนวณนับได้นั้น


2. คำนิยามของฮิญาบ


คำว่า ฮิญาบ มาจากรากศัพท์คำว่า (hajaba yahjibu hijba wa hijabba) แปลว่า ซ่อน ปกปิด กีดกั้น


ในขณะคำนิยามของฮิญาบตามศาสนบัญญัติหมายถึงการปกปิดร่างกายและเครื่องประดับเว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ (ใบหน้าและฝ่ามือ) ยกเว้นผู้ที่ได้รับการยกเว้น ดั่งที่อัลลอฮฺได้โองการไว้ความว่า


"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดาสตรีผู้ศรัทธาให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาของสงวนของพวกเธอไว้ อย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ อย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺเถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ยเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ" (อัลกุรอาน บทอันนูร / 31)


3. การคลุมหน้า


เมื่อพิจารณาคำว่าฮิญาบในความหมายตามทรรศนะศาสนบัญญัตินั้นสตรีมุสลิมไม่จำเป็นต้องคลุมหน้า ("นิกอบ" และ "บุรกา" ) และเหตุใดมีสตรีมุสลิมหลายคนทั้งในประเทศอาหรับหรือในฝรั่งเศสคลุมหน้าอย่างเปิดเผยซ้ำยอมเสี่ยงในการทำผิดกฎหมายของฝรั่งเศส หากกฎหมายดังกล่าวประกาศใช้หรือถูกรับรองจากวุฒิสภาพิจารณาลงมติในเดือน ก.ย. นี้


ปราชญ์อิสลามศึกษาในอดีตได้ให้ทรรศนะที่สอดคล้องกันว่าสตรีมุสลิมปกติสามารถเปิดเผยใบหน้าและฝ่ามืดได้ (ทั้ง 4 สำนักคิดไม่ว่าจะเป็นหะนาฟียะฮ์ มาลิกียะห์ ชาฟิอียะห์ และ ฮัมบาลียะห์ โปรดดู Abd al - Rahman al-Jaziri. N.d. al-Figh ala al-Mazhab al-Arbaah. 5/54) หากไม่เกิดอันตรายต่อสตรี เช่น สตรีวัยรุ่นหรือผู้มีใบหน้าสวยอาจจะทำให้ชายมองแล้วหลงใหล แต่มิได้หมายความว่าการปิดหน้าเป็นสิ่งที่ผิดในทางกลับกัน ปราชญ์ในอดีตมองว่าควรส่งเสริมไม่ถึงขั้นจำเป็นต้องทำ หากไม่ทำจะบาป


ซึ่งสอดคล้องกับปราชญ์ร่วมสมัย อย่างเช่น ชัยค์ ดร.ยูซุฟ อัล-ก๊อรฏอวีย์ ปราชญ์ส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร และมหาวิทยาลัยอิสลามเก่าแก่อื่นๆ อย่างชัยตูนะฮฺ (ตูนิเซีย) และกอรอวียีน (โมร็อกโก) และชัยค์นาศิรุดดีนอัล-อัลบานียฺ


จากเหตุผลดังกล่าวทำให้สตรีบางท่าน (ในที่นี้หมายถึงพ่อ สามีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลสตรีตามศาสนบัญญัติ ซึ่งผู้ปกครองบางท่านบังคับสตรีภายใต้ปกครอง) คลุมหน้า หรือ นิกอบและบุรกาเมื่อต้องออกจากที่พักอาศัยดังเช่นในภาคใต้ของประเทศไทย ตะวันออกกลางหรือฝรั่งเศสในปัจจุบัน


ปิดหน้า : กดขี่หรือปลดปล่อย


นักสิทธิมนุษยชนตะวันตกส่วนใหญ่ รวมทั้งผู้ที่เห็นด้วยในกฎหมายของฝรั่งเศสฉบับนี้ มองว่ากฎหมายการห้ามปิดหน้าเป็นการช่วยปลดปล่อยสตรีมุสลิมเองให้เป็นไทจากจากการกดขี่สตรีเพศ


อัลอัค นักวิชาการมุสลิมไทยร่วมสมัยได้ให้ทรรศนะพอสรุปใจความได้ว่า การแสดงการเป็นผู้ปลดปล่อยสตรีทำแค่เพียงแค่กระชากผ้าปิดหน้าผืนหนึ่งออกจากใบหน้าของสตรีมุสลิมกระนั้นหรือ?


การไม่มีผ้าปิดหน้าถือเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะแห่งการปลดปล่อยสตรีมุสลิมให้เป็นไท สู่ความเสมอภาคระหว่างชายหญิงกระนั้นหรือ?


ขณะที่ภาพสตรีจำนวนมากมายในเอเชียใต้ที่ถือกะลาขอทาน ถูกพูดในแง่มุมนี้น้อยเกินไป หรือว่าพวกเธอเหล่านั้นไม่มีผ้าปิดหน้า... ความยากจนไม่มีอันจะกินของผู้หญิงจำนวนหลายร้อยล้านถือว่าเป็นประเด็นอื่นไม่เกี่ยวกับสิทธิของสตรีกระนั้นหรือ?


การกระแหนะกระแหนของบางคนที่มีต่อผ้าคลุมหน้าเป็นเรื่องที่ไม่วางอยู่บนตรรกะ และบางทีก็ขาดความยุติธรรมอย่างเห็นได้ชัด เป็นไปได้ว่าบางคนปิดหน้าอย่างไม่เข้าใจ ปิดหน้าตาม


กลุ่มชนที่ตนอาศัยอยู่ และก็เป็นไปได้ว่าคนปิดหน้าจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้หนังสือ แต่นี้ไม่ใช่ความผิดของผ้าคลุมหน้า การกล่าวถึงมุสลิมะฮฺที่ปิดหน้าว่าเป็นพวกสุดโต่งหรือเลยเถิดนั้น จัดว่าเป็นถ้อยคำที่อธรรม การปฏิบัติตามทรรศนะทางนิติศาสตร์แบบเข้มงวดใดๆ ที่ได้มาจากปราชญ์มุสลิมนั้นมิใช่ความสุดโด่ง แต่ความสุดโต่งอยู่ที่การไปบังคับคนอื่นทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ปฏิบัติตามทรรศนะของตนเองต่างหาก


กฎหมายอิสลามนั้น ไม่ใช่กฎหมายที่มองอะไรเพียงด้านเดียว หรือไม่มีเหตุมีผล ในแง่หนึ่งนั้น อิสลามก็มุ่งปกป้องคุ้มกันจริยธรรมของมนุษย์ให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง และในอีกแง่หนึ่งก็คำนึงถึงความจำเป็นต่างๆ ของมนุษย์ด้วย ดังนั้น จึงก่อให้เกิดความสมดุลทั้งสองด้านของชีวิต...ดังนั้น นางก็อาจเปิดใบหน้าได้ถ้าต้องการเมื่อมีความจำเป็น ขอเพียงว่านางอย่าได้ประสงค์จะอวดความงาม...บทบัญญัติที่มีเหตุผลนั้นยืดหยุ่นได้ มีทั้งความเข้มงวดเคร่งครัดและโอนอ่อนผ่อนตามสถานการณ์ มีข้อยกเว้นในตัวบทตามกาละเทศะ บทบัญญัติเช่นนี้ ไม่ใช่ให้หลับหูหลับตาตาม แต่ต้องมีการพินิจพิเคราะห์ด้วย..." (ดู การคลุมหน้ากับสถานภาพสตรีในอิสลาม โดย อบุล อะอฺลา เมาดูดียฺ น. 405-407)


ผ้าปิดหน้าจึงกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญในอารยธรรมมุสลิม แต่มิใช่สัญลักษณ์แห่งการกดขี่ แต่เป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพในการปกป้องตัวเองที่สตรีมุสลิมสามารถเลือกได้ มิใช่การนำไปใช้แบบแข็งทื่อที่มีรูปแบบเดียว และมิใช่การประกาศความเคร่งในศาสนาว่าใครเหนือกว่าใคร แต่เป็นสัญลักษณ์ของการปลดปล่อยตนเองจากการแสดงอำนาจของผู้ชายด้วยการเลือกที่จะใช้มันอย่างไร?


เป็นที่น่าเสียดายว่าสังคมโลกในยุคประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนแบ่งบานพยายามไปบังคับสตรีผู้ที่แสดงเจตนารมณ์อย่างแรงกล้าที่ต้องการปิดหน้าเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของตัวเขาเองแต่กลับเมินเฉยกับสตรีหรือบุรุษเพศที่พยายามเปลือกาย สร้างความหายนะทางศีลธรรมต่อสังคมโลกและเซ็กซ์เสรีจนนำสู่การแพร่ระบาดของโรคร้ายมากมายทั้งสังคมไทยและสังคมโลก


นี่คือมุมมองที่แตกต่างระหว่างแนวคิดของอิสลามกับตะวันตกและการปิดหน้าเป็นเพียงหนึ่งกรณีตัวอย่างเท่านั้นของการต่อสู้ระหว่างแนวคิดของตะวันตกกับอิสลามในยุคโรคกลัวอิสลาม หรือ Islamophobia
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280914690&catid=02 10/08/2010

ปราสาทพระวิหาร เอ็มโอยู 2543 และแผนที่ : พวงทอง ภวัครพันธุ์

ปราสาทพระวิหาร เอ็มโอยู 2543 และแผนที่

โดย พวงทอง ภวัครพันธุ์


ปราสาทพระวิหาร เอ็มโอยู 2543 และแผนที่

สถานการณ์ร้อนแรงระหว่างไทย-กัมพูชาลดระดับลงไป เมื่อคณะกรรมการมรดกโลกตัดสินใจเลื่อนพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลกปราสาทพระวิหารของกัมพูชาออกไปเป็นปีหน้า

แน่นอนว่านี่เป็นการผัดผ่อนปัญหาไปชั่วคราวเท่านั้น เรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ

อย่างไรก็ตาม จากการประท้วงของกลุ่มชาตินิยมครั้งล่าสุดนี้ มีประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนต้องการถกเถียง ในที่นี้ คือ กรณีเอ็มโอยู ปี 2543 และคำอธิบายของ กลุ่มชาตินิยมที่มีต่อแผนที่เจ้าปัญหา

ควรยกเลิก MOU 2543 จริงหรือ?

หนึ่งในข้อเรียกร้องของกลุ่มชาตินิยมคือ ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 (เอ็มโอยู 2543) ที่ลงนามโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.กระทรวงการต่างประเทศไทยในขณะนั้น และนายวาร์ คิม ฮง ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการชายแดนของกัมพูชา เหตุผลที่ต้องยกเลิกก็เพราะเอ็มโอยู 2543 ระบุว่า หนึ่งในเอกสารที่ต้องใช้ในการปักปันเขตแดนทางบก คือ แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศสตามอนุสัญญาปี ค.ศ.1904 และ สนธิสัญญาปี ค.ศ.1907 ซึ่งมีความหมายรวมถึง แผนที่ที่ทำให้ไทยแพ้คดีปราสาทพระวิหารในปี 2505 หรือที่ฝ่ายไทยชอบเรียกว่าแผนที่ 1 : 200000 แต่ในที่นี้จะเรียกว่าแผนที่ตอนเทือกเขาดงรัก

เรื่องนี้ดูจะสร้างความตระหนกให้แก่กลุ่มชาตินิยมไม่น้อย เพราะพวกเขายืนยันมาโดยตลอดว่า ไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ฉบับนี้ (ฉะนั้น ไทยจึงไม่ต้องยอมรับคำตัดสินของศาลโลกที่ยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา) แต่ปรากฏว่าพวกเขาได้ค้นพบว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่พวกเขาช่วยกันอุ้มชู กลับเป็นผู้ไปทำเอ็มโอยูที่แสดงการยอมรับแผนที่เจ้าปัญหาเสียเอง ฉะนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์จะต้องเลิกเอ็มโอยูโดยด่วนที่สุด!

คำถามที่จะต้องถามคือ

1.ไทยจะอ้างเหตุผลอะไรเพื่อยกเลิกเอ็มโอยู 2543

2.การยกเลิกจะทำให้ประเทศไทยได้และเสียอะไรบ้าง

ตอบคำถามแรก : เอ็มโอยู 2543 ไม่มีส่วนใดที่ระบุว่าคู่สัญญาสามารถบอกเลิกหรือเพิกถอนได้แต่โดยลำพัง ทั้งนี้ อนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ.1969 ได้กำหนดว่า ในกรณีหนังสือสัญญาไม่ได้ระบุเรื่องการบอกเลิกหรือเพิกถอน ก็จะกระทำไม่ได้ ยกเว้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมขั้นพื้นฐานของสนธิสัญญาดังกล่าว

ในกรณีนี้ ไทยจะใช้เหตุผลอะไรเพื่อขอยกเลิกเอ็มโอยู การมาค้นพบภายหลังว่าแผนที่ที่ใช้ปักปันเขต แดนมีปัญหา ย่อมไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสภาพแวด ล้อมขั้นพื้นฐาน

ตอบคำถามที่สอง : หากรัฐบาลอภิสิทธิ์เต้นไปตามแรงกดดันชาตินิยม และตัดสินใจเลิกเอ็มโอยูนี้ สิ่งที่ประเทศไทยจะได้ก็คือ นายกฯที่มีคะแนนนิยมที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ก็คงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น โชคดีที่ครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ไม่ใจร้อนเหมือนปีที่แล้ว ที่ด่วนบอกเลิกเอ็มโอยูการปักปันพื้นที่ไหล่ทวีป กับการให้ความช่วยเหลือสร้างถนนแก่กัมพูชา

การจะตอบคำถามว่า การยกเลิกเอ็มโอยูจะทำให้ไทยเสียอะไรบ้าง จะต้องกลับไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับแผนที่เจ้าปัญหาชุดนี้เสียก่อน กล่าวคือ


แผนที่แสดงพื้นที่ที่มีการปักหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา




แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศสชุดนี้มีทั้งหมด 11 ตอน (ระวาง) ครอบคลุมเขตแดนทางบกด้านตะวันออกของไทย ตั้งแต่ลาว ลงมาถึงกัมพูชา (ตอนเทือกเขาดงรักหรือบริเวณปราสาทพระวิหาร เป็นหนึ่งใน 11 ตอน)

ฉะนั้น แผนที่ชุดนี้จึงไม่ได้ถูกใช้เป็นหลักฐานในการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาเท่านั้น แต่ยังถูกใช้ในการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-ลาวด้วย

หากฝ่ายไทยขอยกเลิกเอ็มโอยู 2543 กับกัมพูชา ด้วยเหตุผลว่าไทยไม่ยอมรับแผนที่ชุดนี้ ก็อาจกระทบต่อการปักปันเขตแดนที่กระทำร่วมกับลาวด้วย เพราะหากไทยไม่ยอมรับสถานะของแผนที่ชุดนี้ในความสัมพันธ์กับกัมพูชา แต่หันไปบอกกับลาวว่า ไม่เป็นไร ไทยยินดีใช้แผนที่ชุดนี้เพราะมันเป็นหลักฐานที่ทำให้ไทยได้เปรียบ กรณีพิพาทบ้านร่มเกล้า... เหตุผลเช่นนี้ก็คงพิลึกดี

สิ่งที่สังคมไทยควรรับทราบไว้ก็คือ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นับแต่ไทยสามารถทำข้อตกลงเพื่อปักปันเขตแดนกับลาวและกัมพูชาได้ กระบวนการปักปันเขตแดนด้านตะวันออกได้ก้าวหน้าไปอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ ข้อมูล กต. ระบุว่า เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาที่มีความยาวทั้งสิ้น 798 กม. ได้ปักหลักเขตแดนไปแล้ว 603 กม. คือตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ-บ้านหาดเล็ก จ.ตราด ส่วนที่ยังไม่ได้ปักหลักมีระยะทาง 195 กม. ซึ่งก็คือตอนเทือกเขา ดงรัก ที่ตั้งของปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. นั่นเอง

ในส่วนของพรมแดนไทย-ลาว การปักหมุดเขต แดนทางบกสามารถดำเนินไปได้ถึงร้อยละ 96 หรือเท่ากับ 676 กม. จากพื้นที่ทั้งหมด 702 กม. ส่วนที่ไม่ค่อยคืบหน้าก็คือ บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง (บริเวณบ้านร่มเกล้า) (ดูเว็บ กต. www.mfa.go.th/ laos/laos.php)

หากมีการยกเลิกเอ็มโอยู ความพยายามที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดันเพื่อยุติ-ป้องกันความขัดแย้งเหนือดินแดนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ย่อมหยุดชะงักลงทันที

อย่างไรก็ตาม คำอธิบายเพียงแค่นี้อาจยังไม่เป็นที่พอใจของกลุ่มชาตินิยม ที่มักเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้อง โง่ ไม่ทำการบ้าน แต่ในกรณีเอ็มโอยู 2543 เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?

สิ่งที่กลุ่มชาตินิยมไม่ได้อ้างถึงก็คือ เอ็มโอยู 2543 ยังระบุถึงเอกสารอีกชุดหนึ่ง ที่ต้องใช้ประกอบการสำรวจและปักหลักเขตแดน นั่นก็คือ อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1907 เอกสารทั้งสองนี้ระบุว่า การปักปันเขตแดนบริเวณเทือกเขาดงรัก ให้ยึดเส้นสันปันน้ำ อันเป็นหลักการที่ไทยยืนยันมาโดยตลอด

ในแง่นี้เอ็มโอยู 2543 จึงประกอบด้วยเอกสารที่ถ่วงดุลอำนาจในการต่อรองและผลประโยชน์ของคู่เจรจาทั้งสองฝ่าย ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติในการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศ เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยืนยันให้ใช้แต่เฉพาะเอกสารที่ให้ประโยชน์กับฝ่ายตนเท่านั้น การเจรจาก็ไม่มีทางคืบหน้าไปได้

นอกจากนี้ มันยังหมายความต่ออีกว่า เจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องก็เห็นประโยชน์จากแผนที่ชุดนี้เช่นกัน เพราะในจำนวน 11 ตอน มีเฉพาะตอนเทือกเขาดงรักเท่านั้นที่ฝ่ายไทยไม่ยอมรับ แต่อีก 10 ตอนที่เหลือ จะช่วยให้ไทยแก้ปัญหาเรื่องดินแดนกับเพื่อนบ้านได้

ไทยไม่เคยยอมรับแผนที่จริงหรือ?

เหตุผลที่ฝ่ายชาตินิยมตอกย้ำ และนายกฯอภิสิทธิ์รับมาเป็นจุดยืนของตนด้วยก็คือ ไทยไม่มีภาระผูกพันต่อแผนที่ตอนเทือกเขาดงรัก และไม่เคยยอมรับ เพราะเส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่ไม่ได้ลากตามเส้นสันปันน้ำดังที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา, ฝรั่งเศสกระทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียว คณะกรรมการปักปันเขตแดนของไทยไม่ได้เข้าร่วมด้วย, ไทยไม่เคยให้สัตยาบันรับรองแผนที่นี้, ไทยถูกฝรั่งเศส ซึ่งเป็น ประเทศใหญ่กว่า กดดันรังแกให้ต้องยอมรับแผนที่ และในขณะนั้น ไทยไม่มีความรู้เรื่องการทำแผนที่ จึงรับแผนที่มาโดยไม่รู้ว่าเส้นเขตแดนไม่ตรงกับเส้นสันปันน้ำ (แม้ว่าสยามได้ก่อตั้งกรมแผนที่ขึ้นมาแล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ.2428 ก็ตาม)

อันที่จริงทีมงานกฎหมายที่นำโดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็ใช้เหตุผลเหล่านี้เพื่อต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลก และทำให้ไทยแพ้มาแล้ว และศาลโลกก็ได้โต้แย้งเหตุผลไปแล้วด้วย โดยศาลโลกยืนยันว่าไทยมีภาระผูกพันต่อแผนที่ตอนเทือกเขา ดงรัก เพราะมีหลักฐานว่าไทยได้เคยตีพิมพ์ เผยแพร่ และจัดส่งแผนที่ทั้ง 11 ตอนหลายครั้งหลายครา ซึ่ง "เพียงพอที่จะก่อให้เกิดผลทางกฎหมายได้" โดยสรุปได้ดังนี้ (ดูคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร)

1.เมื่อสถานทูตไทย ณ กรุงปารีส ได้รับแผนที่ทั้ง 11 ตอน อัครราชทูตไทยได้มีหนังสือไปยังกระทรวงการต่างประเทศในกรุงเทพฯ มีข้อความตอนหนึ่งว่า

"ในเรื่องที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนผสม ตามคำร้องขอของกรรมการฝ่ายสยามให้กรรมการฝ่ายฝรั่งเศสช่วยจัดทำแผนที่เขตแดนต่างๆ ขึ้นนั้น บัดนี้ คณะกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสได้ปฏิบัติงานเสร็จเรียบ ร้อยแล้ว"

อัครราชทูตไทยคนดังกล่าวยังระบุว่า ตนได้รับแผนที่จำนวน 50 ชุด และจะได้ส่งแผนที่อย่างละชุดไปยังสถานทูตไทยในยุโรปและอเมริกา นอกจากนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีมหาด ไทยยังได้ขอบคุณอัครราชทูตฝรั่งเศส ณ กรุงเทพฯ สำหรับแผนที่เหล่านั้น และได้ทรงขอแผนที่จากฝรั่งเศสอีกอย่างละ 15 ชุดเพื่อส่งไปให้ผู้ว่าราชการ จังหวัดต่างๆ ของสยาม

ศาลโลกเห็นว่าข้อความในหนังสือดังกล่าวชี้ว่า เจ้าหน้าที่สยามรับรู้ว่าแผนที่ที่ตนได้รับนั้นคือ ผลงานปักปันเขตแดน ที่รัฐบาลสยามได้ "ร้องขอ" ให้ฝ่ายฝรั่งเศสจัดทำให้ตนนั่นเอง

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สยามได้ยอมรับแผนที่ โดยมิได้มีการตรวจสอบโดยตนเอง "จึงไม่อาจที่จะอ้างในเวลานี้ได้ว่ามีข้อผิดพลาดอันเป็นการลบล้างความยินยอมที่แท้จริงได้"

2.เหตุการณ์ในยุคหลัง ร.5 ยังชี้ว่าสยามได้ยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 ในทางพฤตินัยและไม่ได้สนใจที่จะคัดค้านแผนที่นี้ แม้ว่าจะมีโอกาสหลายครั้งก็ตาม

กล่าวคือ ในช่วงปี พ.ศ.2477-2478 ไทยได้ทำ การสำรวจบริเวณนี้ด้วยตนเอง แล้วพบว่าเส้นสันปันน้ำกับเส้นบนแผนที่ไม่ตรงกัน และฝ่ายไทยได้จัดทำแผนที่ขึ้นมาเอง โดยแสดงว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตไทย แต่ประเทศไทยก็ยังคงใช้แผนที่ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสตลอดมา

และที่น่าประหลาดใจยิ่งขึ้นก็คือ ในปี พ.ศ.2480 ในการลงนามในสนธิสัญญากับฝรั่งเศสเพื่อยืนยันเส้นเขตแดนร่วมที่มีอยู่แล้วอีกครั้งหนึ่ง "กรมแผนที่ของสยามก็ยังคงพิมพ์แผนที่แสดงว่าพระวิหารอยู่ในเขตของกัมพูชาอยู่อีก"

ประเทศไทยมีโอกาสขอแก้ไขเส้นเขตแดนที่ผิดพลาดอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.2490 หรือหลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 ที่ไทยต้องคืนดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ และจำปาสัก ให้แก่ฝรั่งเศส ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการประนอมฝรั่งเศส-ไทยขึ้น โดยภาระหน้าที่ประการหนึ่งคือตรวจแก้ไขเส้นเขตแดนซึ่งไทยอาจยกขึ้นมา ซึ่งไทยได้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับเส้นเขตแดนในหลายบริเวณด้วยกัน

แต่กลับไม่เคยร้องเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเลย แต่กลับยื่นแผนที่ฉบับหนึ่งต่อคณะกรรมการซึ่งแสดงว่าพระวิหารอยู่ในกัมพูชา

ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการปฏิบัติหลายครั้งหลายหนของฝ่ายไทยที่แสดงการยอมรับแผนที่ตอนเทือกเขาดงรัก ศาลโลกจึงมีข้อวินิจฉัยว่า "ประเทศไทยได้ยอมรับเส้นเขตแดนตรงจุดนี้ดังที่ลากไว้บนแผนที่โดยไม่คำนึงว่าจะตรงกันกับเส้นสันปันน้ำหรือไม่"

ถึงแม้ว่าศาลโลกจะไม่ได้ตัดสินให้ตามคำขอของกัมพูชาที่ว่า แผนที่ตอนเทือกเขาดงรักมีสถานะเท่ากับสนธิสัญญา และเส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่เป็นเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา แต่ไทยก็ต้องตระหนักว่าศาลโลกมีความเห็นว่า

"ประเทศไทยใน ค.ศ.1908-1909 ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1 ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้ จึงได้รับรองเส้นบนแผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา ศาลมีความเห็นต่อไปว่า เมื่อพิจารณาโดยทั่วๆ ไป การกระทำต่อๆ มาของไทยมีแต่ยืนยัน และชี้ให้เห็นชัดถึงการยอมรับแต่แรกนั้น และว่าการกระทำของไทยในเขตท้องที่ก็ไม่พอเพียงที่จะลบล้างข้อนี้ได้ คู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยการประพฤติปฏิบัติของตนเองได้รับรองเส้นแผนที่นี้ และดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นการตกลงให้ถือว่าเส้นนี้เป็นเส้นเขตแดน"

ไทยต้องตระหนักว่า รัฐบาลกัมพูชามีสิทธิร้องขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาปี 2505 ได้โดยลำพัง เพื่อให้ศาลชี้ขาดว่า เส้นเขตแดนในบริเวณพิพาทคือเส้นเขตแดนตามที่ปรากฏในแผนที่เจ้าปัญหาหรือไม่

ผู้เขียนเชื่อว่า หากความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาเลวร้ายลงเรื่อยๆ กัมพูชาจะเลือกใช้หนทางนี้เพื่อยุติปัญหาที่ยืดเยื้อมานานเสียที

ปัญหาคือ หากศาลชี้ขาดให้เป็นคุณกับฝ่ายกัมพูชา สังคมไทยจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้อย่างไร ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อการสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม. หรือใครบ้างจะต้องกลายเป็นแพะรับบาป ความ สัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะเลวร้ายลงไปอีกเพียงใด ไม่มีใครรับประกันได้

บางทีการกลับไปอ่านเอกสารหลักฐานเก่าบ้าง อาจช่วยทำให้ผู้นำไทยมีสติมากขึ้น ไม่ต้องวนเวียนกับคำอธิบายเก่าๆ ที่เคยถูกตีตกไปแล้ว ประการสำคัญ อาจทำให้เราพยายามคิดหาหนทางใหม่ๆ ในการแก้ไขข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ต้องอิงกับกระแสชาตินิยมมากจนเกินไป
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280819775&grpid=no&catid=02 10/08/2010

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปฏิบัติการ "ล่าแม่มด" กับการตอกลิ่มความขัดแย้งในสังคม

ปฏิบัติการ "ล่าแม่มด" กับการตอกลิ่มความขัดแย้งในสังคม

โดย พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



ท่ามกลางวาทกรรม "รู้รักสามัคคี" "รักกันไว้เถิด" "อย่าโกรธเกลียดทำร้ายกัน" สิ่งที่ดำเนินควบคู่กันไปก็คือ กระบวนการทำลายความชอบธรรมขบวนการคนเสื้อแดงอย่างเข้มข้นรุนแรงทั้ง โดยรัฐบาล สื่อมวลชนส่วนใหญ่ มวลชนสารพัดสี และเครือข่ายทางสังคมในโลกไซเบอร์

ขบวนการที่ชอบเรียกร้องให้สังคมไทยต้องรู้รักสามัคคีเหล่านี้ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการทำให้ภาพพจน์ของคนเสื้อแดงมีความหมายเท่ากับ ความรุนแรง ความถ่อย โจรสถุล ผู้หลงผิด ขบวนการล้มเจ้า และผู้ก่อการร้าย ฯลฯ

ความสำเร็จดังกล่าวทำให้สังคมไทย ที่เราเห็นผ่านจอทีวี วิทยุ และหน้าหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ จึงไม่ได้รู้สึกโศกสลดต่อการตายของคนเสื้อแดงแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็น 21 ศพเมื่อวันที่ 10 เมษายน หรือกว่า 80 ศพที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ

สำหรับบางคนการสูญเสียโรงหนังสยามอันเก่าแก่ดูน่าโศกสลดเสียยิ่งกว่าการตายของคนเสื้อแดงที่ "เกิดร่วมแดนไทย" กับพวกเขา

ความสำเร็จในการทำลายความชอบธรรมคนเสื้อแดง ทำให้คนในเมืองไม่เคยได้ยินเสียงกู่ร้องทวง "สิทธิและความยุติธรรมทางการเมือง" ของคนเสื้อแดง ไม่เห็นว่าภาวะสองมาตรฐานที่พวกเขาพากันสนับสนุนการรัฐประหารและวิธีการของกลุ่มพันธมิตร เพื่อโค่นล้มรัฐบาลทักษิณด้วยวิธีนอกระบบ ฯลฯ ได้สร้างความรู้สึก "อยุติธรรม" ให้กับคนเสื้อแดงอย่างไร

เมื่อไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง พวกเขาจึงตีความตามประสาอภิสิทธิ์ชนว่า เพราะความยากจน จึงทำให้พวกบ้านนอกต้องเคลื่อนขบวนเข้ายึดกรุงเทพฯ จึงถึงเวลาที่พวกเขาต้องแสดงความเมตตาต่อคนยากไร้ ต่อไปนี้เราต้องช่วยกันปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองเพื่อสร้างความกินดีอยู่ดีให้พี่น้องชาวชนบท พวกเขาจะได้ไม่กลายเป็นผู้หลงผิด ถูกนักการเมืองชั่วหลอกเข้าเมืองอีก คนเสื้อแดงโปรดใจเย็น รัฐบาลกำลังจะส่งโครงการปฏิรูปเศรษฐกิจ-การเมืองไปให้ท่าน

ความสำเร็จของขบวนการทำลายความเป็นมนุษย์ของคนเสื้อแดงในครั้งนี้ ช่างคล้ายคลึงกับสถานการณ์เมื่อ 34 ปีที่แล้ว ที่บรรดาชนชั้นกลางในเมืองช่วยกันเชียร์ให้อำนาจรัฐช่วยกันกวาดล้างนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519

หลัง 6 ตุลา แม้นักศึกษาจะพ่ายแพ้ ขบวนการนักศึกษาถูกทำลายจนต้องพากันหนีหัวซุกหัวซุนเข้าป่า แต่กระบวนการ "ล่าแม่มด" ของรัฐบาลขวาจัด ธานินทร์ กรัยวิเชียร ก็ยังไล่ล่า-คุกคาม ผู้คนต่อไป โดยมีประกาศคณะปฏิวัติที่ให้อำนาจล้นฟ้าแก่กลไกตำรวจ-ทหาร

ณ เดือนพฤษภาคม 2553 ขบวนการคนเสื้อแดงได้ถูกบดขยี้อย่างไร้ความปรานีจากอำนาจรัฐ แกนนำเกือบทั้งหมดถูกจับกุม มวลชนแตกกระสานซ่านเซ็นกลับสู่บ้านเกิดของตนด้วยน้ำตานองหน้า และความโกรธแค้นที่ไม่มีใครไยดี

แต่กระบวนการล่าแม่มดก็ยังดำเนินต่อไป ควบคู่ไปกับภาษาหวานๆ ของบรรดาผู้นำรัฐบาล กองทัพ ปัญญาชน สื่อมวลชนว่า "เราต้องช่วยกันเยียวยา" สังคมไทย

ภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่เป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของรัฐที่จะละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้อย่างเต็มที่ ขบวนการล่าแม่มดของรัฐบาล ได้เริ่มปรากฏตัวให้เห็นเมื่อ ศอฉ.เปิดเผยเครือข่ายขบวนการล้มเจ้า ที่กวาดเอาคนจำนวนมาก ทั้งนายพล นักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ จนถึงนักศึกษาตัวเล็กๆ เข้ามารวมเป็นก๊วนเดียวกัน ต่อมาก็ประกาศรายชื่อแบล๊คลิสต์แหล่งเงินทุนสนับสนุนกิจกรรมของคนเสื้อแดง ซึ่งมีทั้งเศรษฐีพันล้านและนักวิชาการยาจก อย่างจรัล ดิษฐาอภิชัย รวมอยู่ด้วย

เมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์สามารถบดขยี้ขบวนการเสื้อแดงในกรุงเทพฯลงแล้ว พวกเขาย่อมต้องพยายามหาทางขุดรากถอนโคนขบวนการเสื้อแดงต่อไป บรรดาฮาร์ดคอร์ การ์ด และแกนนำคนเสื้อแดงท้องถิ่นในเขตภาคอีสานและภาคเหนือ จะไม่มีวันได้อยู่เย็นเป็นสุขไปอีกนาน และอาจรวมถึงบรรดาผู้ที่พยายามขุดค้นหาความจริงในวันที่ 19 พฤษภาคมเพื่อโต้แย้งกับข้อมูล "ผู้ก่อการร้าย" ของรัฐ

ศอฉ.จัดแสดงอาวุธร้ายแรงจำนวนมากที่อ้างว่ายึดมาได้จากวัดปทุมวนาราม เพื่อยืนยันว่าเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายอย่างแท้จริง

สิ่งที่น่ากังขาคือ ไม่มีประจักษ์พยานที่ยืนยันได้ว่าอาวุธเหล่านั้นยึดมาจากวัดปทุมวนาราม เพราะนักข่าวถูกกันออกจากบริเวณวัดจนหมดด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย รายงานของนักข่าวต่างชาติ เช่น The Independent และ The Australian ซึ่งอยู่ภายในวัดในคืนวันที่ 19 พฤษภาคม ก็ไม่ได้เห็นว่ามีการยิงตอบโต้ด้วยอาวุธร้ายแรงจากผู้คนในวัดเข้าใส่ทหาร ชาวบ้านมีแต่หนังสติ๊ก และปืนแก๊ป มีแต่ฝ่ายทหารที่ยิงเข้าไปในวัดอย่างหูดับตับไหม้ (ดูมติชนออนไลน์ 22 พ.ค.53)

หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ฝ่ายรัฐบาลก็เปิดแถลงต่อสาธารณชนว่า ค้นพบอาวุธจำนวนมากในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงกับนำมาแสดงต่อที่สนามหลวง แต่หลักฐานเรื่องอาวุธนี้กลับไม่ได้นำมาใช้ในการฟ้องดำเนินคดีต่ออดีตผู้นำนักศึกษา 13 คน และฝ่ายรัฐ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

หรือนี่คือส่วนหนึ่งของกระบวนการเยียวยาสังคมไทยของรัฐบาลอภิสิทธิ์?

หรือว่ากระบวนการเยียวยาของรัฐบาลนั้น มุ่งไปที่พวกเดียวกัน เพื่อสร้าง "ความรู้รักสามัคคี" ในหมู่ผู้คนกรุงเทพฯ และผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ให้เหนียวแน่นมากยิ่งขึ้น

สำหรับปฏิบัติการล่าแม่มดในโลกไซเบอร์ ที่จริงได้ดำเนินต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว โดยเริ่มขึ้นในยุครุ่งโรจน์ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เวลาที่มีใครบังอาจวิจารณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร หรือแสดงความเข้าอกเข้าใจขบวนการคนเสื้อแดง ผู้คนในเครือข่ายทางสังคมเหล่านี้จะช่วยกันส่งอี-เมลที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ไปถล่มคนเหล่านั้น บางคนโชคร้ายหน่อยก็จะได้รับทั้งจดหมาย และโทรศัพท์ด่าทอขู่ทำร้ายแถมให้ด้วย

พวกเขาเพลาแรงกันไปพักหนึ่ง จนกระทั่งคนเสื้อแดงยกพลเข้ากรุงเทพฯในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ครั้งนี้พวกเขากลับมาใหม่แต่แรงกว่าเก่า

สุดยอดของขบวนการล่าแม่มดนี้ ก็คือกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า "การลงทัณฑ์ทางสังคม" (Social Sanction) ที่ช่วยกันตามล่าผู้ที่ถูกเหมาเอาว่าไม่จงรักภักดี เอามา "เสียบประจาน" ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวและให้สมาชิกช่วยกันตามราวีทั้งในโลกไซเบอร์ และในโลกที่เป็นจริง

ล่าสุดเครือข่ายโลกไซเบอร์แห่งหนึ่ง กำลังรณรงค์ล่ารายชื่อเรียกร้องไม่ให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์รับเด็กที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นคนเสื้อแดงเข้าศึกษาต่อ

ปฏิบัติการล่าแม่มดของรัฐ มาจากความเชื่อว่า เมื่อโอกาสมาถึงก็ต้องขุดรากถอนโคนฝ่ายศัตรูให้ถึงที่สุด ส่วนของภาคประชาชน ดูจะมาจากความเชื่อในความถูกต้องในคุณธรรมของตนผสมกับความดูถูกเหยียดหยามคนเสื้อแดง ยิ่งเมื่อคนเสื้อแดงพ่ายแพ้ พวกนี้ก็ยิ่งได้ใจ ต้องรุมกระหน่ำให้ถึงที่สุด

ฉะนั้น คาถาที่คนเหล่านี้ชอบพร่ำสอนสังคมให้รักกันไว้เถิด อย่าทะเลาะกันเลย เราต้องมีสติ เราต้องรักกัน จึงมีไว้ฉาบผิวพฤติกรรมอันแท้จริงของตนเอง

แต่พวกเขาควรรับรู้ด้วยว่า ปฏิบัติการแห่งความเกลียดชังนี้จะไม่มีวันช่วยสมานรอยแตกร้าวของสังคมได้เลย มันมีแต่จะช่วยตอกลิ่มแห่งความแตกแยกระหว่างเมืองกับชนบท ช่วยซ้ำเติมให้บาดแผลและความโกรธแค้นของคนเสื้อแดงให้เลวร้ายลงไปอีก

บางทีสังคมไทยควรต้องหัดเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากประเทศเพื่อนบ้านของตนเองบ้าง แม้ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านที่คนไทยไม่ชอบหน้าเอามากๆ เช่น กัมพูชา

ผู้ที่ผ่านยุค 1970s มาแล้ว น่าจะจำกันได้ว่ากลุ่มคนที่เป็นเป้าสังหารของเขมรแดงหลังจากที่พวกเขายึดอำนาจได้ในปี 2518 ก็คือ นักการเมือง ข้าราชการทหาร ตำรวจ ราชวงศ์ พลเรือน พ่อค้านักธุรกิจ ปัญญาชน และพวกประกอบวิชาชีพต่างๆ พูดง่ายๆ คือ บรรดาอภิสิทธิ์ชนคนในเมืองนั่นเอง

ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์กัมพูชา ไมเคิล วิคเคอรี่ เคยวิเคราะห์ไว้ว่าสาเหตุประการสำคัญของการสังหารคนเหล่านี้ก็คือ เขมรแดงเกลียดคนเมือง ที่เอาเปรียบ ข่มขู่ ขูดรีด คุกคาม ดูถูกคนชนบทตลอดมา วิคเคอรี่เห็นว่าอาการเกลียดคนเมืองนี้แพร่กระจายอยู่ในชนบทกัมพูชานานหลายปีก่อนที่เขมรแดงจะยึดอำนาจได้เสียอีก (ดู Michael Vickery, Cambodia 1975-1982) ภายในเวลาแค่ 3 ปีกว่า ระบอบเขมรแดงทำให้ผู้คนเสียชีวิตราว 1.7 ล้านคน

สำหรับสังคมไทย คนในเมืองมักมีภาพฝันเกี่ยวคนบ้านนอกว่าเป็นพวกสุภาพ อ่อนน้อม ซื่อบริสุทธิ์ จนถึงขั้นโง่เง่า แต่วันนี้ คนเสื้อแดง ได้ทำลายภาพลักษณ์เหล่านั้นจนสิ้น แต่คนในเมืองทั้งหลาย ก็ยังอยากจะหลอกตัวเองต่อไปว่า หลังจากวันนี้ ประเทศไทยจะกลับมาเหมือนเดิมได้อีกเมื่อคนเสื้อแดงได้รับบทเรียนราคาแพงกลับไปแล้ว พวกเขาก็จะกลับคืนเป็นคนบ้านนอกที่น่ารักของประเทศไทยต่อไป



เราได้แต่ภาวนาว่า ความหวังของพวกเขาจะเป็นความจริง

REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1275297022&grpid&catid=02 02/08/2010

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จากโสเครติสถึงปัญญาชนสยาม กรณีกฎหมายหมิ่นฯ

จากโสเครติสถึงปัญญาชนสยาม กรณีกฎหมายหมิ่นฯ


เอกศักดิ์ ยุกตะนันทน์


จากชื่อบทความเดิม “การรู้จักตนเองในความหมายของโสกราตีส : การแสวงหาปัญญาและการสร้างสังคมเหตุผลนิยม”โดยคัดลอกและตัดตอนมาจาก บทที่ 4 จากหนังสือ “มนุษย์กับการรู้จักตนเอง:การรู้จักตนเองสำหรับคนหนุ่มสาวในสังคมไทย”
.............................................................................................................................




“กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สังคมไทยยึดถือว่า
สิ่งที่เป็นที่เคารพศรัทธาสูงสุดจะต้องอยู่เหนืออำนาจ
ในการวิพากษ์วิจารณ์ของใครๆ (1)
การห้ามการวิพากษ์วิจารณ์คือการห้ามการพูดแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นความจริง
หากว่ามันส่งผลในทางลบต่อภาพพจน์ของสิ่งเป็นที่เคารพศรัทธา
ซึ่งเท่ากับการปฏิเสธคุณค่าที่ความเป็นจริง
จะมีต่อปัญญาและต่อชีวิตของผู้คน”



โสกราตีสรักและบูชาระบอบประชาธิปไตยของเอเธนส์ ซึ่งเป็นนครรัฐกรีกแห่งเดียวเท่านั้นที่เป็นประชาธิปไตย แต่บางครั้งระบบประชาธิปไตยก็ถูกนักการเมืองทำลาย และยึดอำนาจเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบเผด็จการ ซึ่งชาวเอเธนส์ก็ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา นอกจากนั้นเอเธนส์ก็ยังต้องทำสงครามต่อสู้กับการรุกรานของสปาร์ตา และศัตรูอื่นภายนอก แต่นอกจากระบอบเผด็จการ และปัญหาอธิปไตยแล้ว อะไรคือศัตรูที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย? ผู้เขียนหมายความว่า แม้ว่าเราจะสามารถรักษาระบบประชาธิปไตยไว้จากอำนาจเผด็จการและการรุกรานจากภายนอกได้ แต่อะไรคือเงื่อนไขที่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถสร้างสิ่งที่เป็นอุดมคติของระบบประชาธิปไตย ซึ่งก็คือประโยชน์สุขที่สูงที่สุดของประชาชนและความยุติธรรมในสังคม ถ้าเรามองดูสังคมไทยซึ่งมีระบอบประชาธิปไตยที่อ่อนแอมาก เพราะเต็มไปด้วยการซื้อสิทธิขายเสียง และการมีแต่พรรคการเมืองของนายทุนเท่านั้นให้ประชาชนเลือก เราคงตอบว่า ศัตรูของประชาธิปไตยก็คือ ความไร้จิตสำนึกของพลเมืองเอง และการมีตัวแทนที่ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง แต่เข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชนก็เพื่อที่จะทุจริตโกงกิน ซ่อนผลประโยชน์อันมิชอบของตนไว้เบื้องหลังผลประโยชน์ของประชาชน

เราไม่อาจกล่าวว่าประชาชนเอเธนส์มีปัญหาเรื่องความไร้จิตสำนึกทางการเมือง เพราะประชาชนเอเธนส์มีอำนาจที่จะไปนั่งออกเสียงในสภาโดยตรง จึงไม่มีการซื้อสิทธิขายเสียงเหมือนสังคมไทย แต่ปัญหาเรื่องนักการเมืองที่มีอำนาจในการดูแลกิจการของรัฐ ซ่อนผลประโยชน์ของตนไว้เบื้องหลังผลประโยชน์ของสังคม สามารถเป็นปัญหาของสังคมประชาธิปไตยทุกสังคม ที่ประชาชนรู้ไม่เท่าทันนักการเมือง สามารถถูกชักจูงด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้าที่นักการเมืองนำมาล่อ และถูกวาทศิลป์ของนักการเมืองหว่านล้อมชักจูงให้คิดเห็นคล้อยตามไปกับนโยบายต่างๆที่นักการเมืองเสนอ โดยไม่เข้าใจผลดีผลเสียของนโยบายต่างๆ เหล่านั้นอย่างแท้จริง ดังนั้น ศัตรูที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย ก็คือความรู้ไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของนักการเมือง และการไร้จิตสำนึกที่จะวิเคราะห์วิพากษ์ ใช้ปัญญาไตร่ตรองสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุด้วยผลอย่างถ้วนถี่ ซึ่งสรุปง่ายๆ ก็คือ ความอ่อนแอของพลังทางปัญญาของพลเมืองนั่นเองที่เป็นศัตรูที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย

ลักษณะพิเศษประการหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยคือ ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยจะเผชิญหน้ากับการถูกทำให้อ่อนแออยู่เสมอ กล่าวคือ ทันทีที่นักการเมืองได้รับอำนาจจากประชาชนชนให้เป็นผู้ปกครอง เขาจะพยายามสร้างความอ่อนแอให้กับประชาชน เพื่อที่เขาจะสามารถคงอำนาจของเขาต่อไป นี่อาจดูเหมือนการตีความอย่างหวาดระแวงและมองโลกในแง่ร้าย แต่ขอให้เรามามองดูตัวอย่างของสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ในสมัยประชาธิปไตยเต็มใบ หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา

เมื่อเผด็จการถนอมประภาสหมดอำนาจ ประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีนักการเมืองสองคนก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง ตามลำดับ คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าเสรีไทยและอดีตนายกรัฐมนตรีก่อนระบบเผด็จการทหาร และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช น้องชาย คนที่มีบทบาทเด่นต่อการเมืองไทยในยุคนั้นจริงๆ ก็คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซึ่งเป็นปัญญาชนสูงสุดในสังคมไทย เป็นผู้ทรงความรู้ในหลาย ๆ ด้าน อย่างยากที่จะมีใครเทียบได้ แต่ถ้าเราค้นกลับไปในแนวคิดของคึกฤทธิ์เราจะพบว่า เขาพยายามนำเสนอว่าประเทศไทยควรใช้ “ลัทธิกษัตริย์นิยม” ซึ่งหมายความว่า พระมหากษัตริย์ไม่ควรเป็นเพียงแค่ประมุขของประเทศในฐานะสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ แต่สถาบันกษัตริย์ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้าง “ความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของชาติ” สิ่งที่น่าจะอยู่ตรงกันข้ามกับลัทธิกษัตริย์นิยมคือ “ลัทธิประชาชนนิยม” คำถามคือทำไมคึกฤทธิ์จึงเลือกที่จะสนับสนุนนโยบายลัทธิกษัตริย์นิยม แทนที่จะสนับสนุนนโยบายลัทธิประชาชนนิยม? และทำไมรัฐบาลไทยทุกยุคสมัยไม่ว่าจะเป็นเผด็จการทหาร ประชาธิปไตยเต็มใบ ประชาธิปไตยครึ่งใบ จึงสนับสนุนลัทธิกษัตริย์นิยม? ทำไม “ความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของชาติ” จึงมีความสำคัญเหนือความเข้มแข็งของประชาชน (2)

ถ้ากล่าวอย่างง่ายๆ ลัทธิกษัตริย์นิยมก็คือการส่งเสริมให้กษัตริย์มีบทบาทในสังคมที่มากกว่าการเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือเป็นประมุขของรัฐ แต่ให้เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทุกอย่างของรัฐที่กระทำให้แก่ประชาชน จนเป็นศูนย์กลางของความรักและความศรัทธาของประชาชน สร้างให้เกิดความรักความสามัคคีในหมู่ประชาชน ซึ่งสนับสนุนต่อลัทธิชาตินิยมในที่สุด (3) สิ่งตรงข้ามกับลัทธิกษัตริย์นิยมคือการสร้างประชาชนให้เป็นศูนย์กลาง สนับสนุนให้ประชาชนคิดริเริ่มและพยายามลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ตนเองด้วยตนเอง สนับสนุนให้พยายามรวมตัวกัน สร้างความเข้มแข็งให้แก่กันและกัน นำพลังและสติปัญญามารวมกัน เพื่อที่จะสร้างชีวิตที่ดีงามกว่าเดิมร่วมกัน บนพื้นฐานของความสัมพันธ์แบบเสมอภาค ซึ่งเป็นอุดมคติของระบอบประชาธิปไตย ประเด็นที่สำคัญที่สุด ในความขัดแย้งระหว่างลัทธิกษัตริย์นิยมขัดแย้งกับลัทธิประชาชนนิยม ก็คือการที่ลัทธิกษัตริย์นิยมเน้นการสร้างให้ประชาชนมีศรัทธาต่อสิ่งภายนอกตน สนับสนุนระบบชนชั้น ระบบอุปถัมภ์ จนเกิดความอ่อนแอทางปัญญา การยอมรับคำสอนต่างๆ อย่างไม่ตั้งคำถามหรือโต้แย้ง ซึ่งในที่สุดก็จะนำมาซึ่งความไร้อำนาจทางปัญญาที่จะคิดและตัดสินด้วยตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่ดีงาม อะไรคือสิ่งที่เที่ยงธรรมอย่างแท้จริง สำหรับตนเองและสำหรับสังคม
..................................................................................................................................

โสเครตีสรู้ตัวดีว่าเขาสร้างความระคายเคืองให้กับผู้คนในสังคม แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาเลือกไม่ได้ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ของนักปรัชญา นักปรัชญาเป็นเสมือนปลาไหลไฟฟ้า คือทำให้คนที่ถูกกระทบช๊อตจนมึนงงทำอะไรไม่ถูก นักปรัชญามีหน้าที่ทำให้คนที่ตนสนทนาด้วยรู้ว่าตัวเขาเองนั้นไม่รู้ เพื่อจะได้เริ่มต้นหาความรู้ต่อไป เมื่อนั้นเขาจึงมีโอกาสที่จะมีปัญญาจริงๆ เพราะคนมักจะหลงผิดว่าความเชื่อคือความรู้ จึงจะต้องถูกทำให้รู้ตัวเสียก่อนว่าความเชื่อที่เขามีอยู่นั้น ไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง สำหรับสังคมเอเธนส์นั้นโสเครตีสเปรียบให้เป็นม้า ถ้าทุกอย่างปกติมันก็จะเอาแต่นอนกิน แล้วก็อุ้ยอ้ายเชื่องช้ากลายเป็นม้าเลว ตัวเขาเองจึงเป็นเหมือนตัวเหลือบที่จะต้องคอยกัดเพื่อให้ม้าเจ็บ สะดุ้งตื่น ลุกขึ้นสะบัดตัว เตะหน้าเตะลัง กระปรี้กระเปร่า มันจึงจะคงความเป็นม้าดีไว้ได้

มีอะไรบางอย่างที่ควรจะกล่าวเกี่ยวกับอนีตัส ผู้กล่าวโทษโสเครตีส ในบทสนทนาเรื่องเมโน (Meno) ซึ่งเมโนตั้งคำถามต่อโสเครตีสว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่สอนกันได้หรือไม่ อนีตัสในวัยหนุ่มก็ร่วมอยู่ในการสนทนาด้วย และอนีตัสก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจต่อคำสอนของพวกโซฟิสต์ และกังวลต่อความดีงามในรัฐ ดังนั้นจึงเข้าร่วมการสนทนาดังกล่าว แต่เมื่อโสเครตีสเริ่มให้เหตุผลว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่สอนให้กันไม่ได้ และพูดพาดพิงไปถึงรัฐบุรุษผู้เป็นที่เคารพรักของชาวเอเธนส์ว่า เป็นที่รู้กันดีว่าไม่มีใครสามารถสอนบุตรให้มีคุณธรรมอย่างที่บิดามีได้เลย อนีตัสก็โกรธและเดินออกไปจากวงสนทนา และกล่าวอาฆาตว่าโสเครตีสกำลังพูดในสิ่งที่จะนำภัยมาใส่ตัว โสเครตีสก็ได้แต่ฝากกับเมโนไว้ว่า อาจจะช่วยหาทางพูดกับอนีตัสให้ใจเย็นและมีเหตุผลมากกว่านี้ จะได้รับฟังเรื่องราวจนจบ (4) สิ่งที่เราเห็นก็คืออนีตัสเองก็มีความรักต่อความดีงามในสังคม แต่เขาก็มีความเชื่อที่ผิดๆ ว่าเพื่อรักษาความดีงาม ความจริงบางอย่างเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะพูดถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจริงที่อาจกระทบต่อบุคคลที่ผู้คนเคารพศรัทธา แต่สำหรับโสเครตีสแล้วปัญญาจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าความจริงต้องมีขีดขวางกั้น และแม้คุณธรรมจะเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ แต่คุณธรรมก็ไม่อาจแยกออกจากปัญญาได้ ต่อเมื่อคนมีปัญญาเท่านั้น คนจึงจะบรรลุคุณธรรมที่แท้จริงได้

เราอาจกล่าวได้ว่าโสเครตีสตายเพราะอำนาจของคนที่ใช้ศรัทธาอยู่เหนือปัญญา และใช้อารมณ์โกรธจนไร้สติ พวกเขาปฏิเสธที่จะฟังเรื่องราวต่างๆ จนจบ เพื่อจะได้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของโสเครตีส พวกเขามองเห็นว่าการวิจารณ์คือการทำลาย ทั้งที่มันคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการสร้างสรรค์ สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ก็คือ คนดีสามารถทำลายคนที่ดียิ่งกว่าตนได้ด้วยความเข้าใจผิด และด้วยเหตุแห่งการตกเป็นทาสของอารมณ์โกรธ ห้าศตวรรษหลังความตายของโสเครตีส ผู้ปกครองชาวโรมันรู้ด้วยปัญญาและประสบการณ์ของตน ว่าพระเยซูสอนในความดีที่สูงส่งกว่าศาสนาที่มีอยู่ และเขาพยายามจะต่อรองกับชาวยิวใต้ปกครองทุกวิถีทางที่จะไม่ลงโทษพระเยซู แต่ชาวยิวไม่ยอม ดังนั้นเพื่อความสงบสุขของสังคม เขาก็ต้องออกคำสั่งให้ตรึงกางเขนพระเยซูตามความต้องการของชาวยิว และพระเยซูก็ต้องใช้ชีวิตของพระองค์พิสูจน์คำสอนของพระองค์ว่า พระเจ้าปรารถนาให้มนุษย์รักผู้อื่นเสมือนรักตนเอง เพราะพระเจ้าคือความรักและการให้อภัย ซึ่งชาวยิวยอมรับการตีความพระเจ้าเช่นนี้ไม่ได้ พวกเขาเป็นทาสและถูกรังแกมามากเกินกว่าที่จะรักและให้อภัยต่อศัตรูที่บังคับตนลงเป็นทาส เขาจึงเห็นพระเยซูเป็นผู้ทรยศและทำลายความฝันของชาวยิวที่จะเอาชนะและกลับขึ้นเป็นนายบ้าง ในขณะที่พระเยซูแสดงออกถึงความรักและการให้อภัยต่อผู้ที่กำลังเฆี่ยนตีทรมานตน และกำลังตรึงกางเขนตน อยู่ตลอดเวลา นี่คือมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่สองคนที่ถูกทำลายโดยมนุษย์ที่ก็มิได้ชั่วร้าย แต่ปล่อยให้อารมณ์โกรธมาบดบังปัญญาและธรรมชาติฝ่ายดีในตน
......................................................................................................................

แต่ตอนนี้ขอให้เราย้อนกลับมาดูสภาพที่สังคมไทยเป็นอยู่ ซึ่งหากเทียบกับสิ่งที่โสเครตีสพยายามกระทำให้กับกรุงเอเธนส์ ก็เป็นเรื่องไม่ยากที่จะเห็นว่า ในระดับของจิตสำนึกของผู้คนที่ปรากฏออกมาในวิถีการดำเนินชีวิต คนไทยใช้ศรัทธาอยู่เหนือเหตุผล ซึ่งเท่ากับการใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เห็นได้ไม่ยาก ว่าคนไทยส่วนใหญ่คิดเช่นเดียวกันกับอนีตัสและคนที่ตัดสินเอาผิดต่อโสเครตีส นั่นก็คือ คนไทยเห็นว่าการวิจารณ์คือการทำลาย สำรวจวัฒนธรรมไทยให้ดี แล้วคุณจะพบว่าเราไม่มีวัฒนธรรมของการวิพากษ์วิจารณ์อยู่เลย นี่เป็นจิตสำนึกของสังคมที่แสดงออกอย่างชัดเจนในกฎหมายสูงสุดของประเทศ นั่นก็คือ ในกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สังคมไทยยึดถือว่าสิ่งที่เป็นที่เคารพศรัทธาสูงสุดจะต้องอยู่เหนืออำนาจในการวิพากษ์วิจารณ์ของใครๆ (5) การห้ามการวิพากษ์วิจารณ์คือการห้ามการพูดแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นความจริง หากว่ามันส่งผลในทางลบต่อภาพพจน์ของสิ่งเป็นที่เคารพศรัทธา ซึ่งเท่ากับการปฏิเสธคุณค่าที่ความเป็นจริงจะมีต่อปัญญาและต่อชีวิตของผู้คน แต่ทว่านี่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเองอย่างยิ่ง เพราะภาพพจน์แห่งความดีงามของสิ่งๆ หนึ่งจะตัดขาดจากความเป็นจริงทุกประการที่เกี่ยวกับสิ่งๆ นั้นได้อย่างไร และมนุษย์จะมีชีวิตที่ดีงามที่สุดที่เป็นไปได้ ได้อย่างไร หากเขาไม่สามารถรู้ความจริงทุกประการที่อยู่ในอำนาจที่เขาจะรู้ได้

คำตอบเดียว ของผู้ที่ต้องการห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ก็คือ เขาจำเป็นต้องห้ามการพูดความจริงทางลบก็เพื่อที่จะหยุดยั้งการพูดความเท็จทางลบ หมายความว่า เหตุที่มนุษย์จะต้องรู้ความจริงให้น้อยลงกว่าที่เป็นไปได้ ก็เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องถูกลวงด้วยความเท็จ ดังนั้น ปัจเจกบุคคลจึงไม่มีเสรีภาพในการพูดสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่เห็นว่ามีอันตรายต่อสังคม ซึ่งหมายถึง ไม่มีเสรีภาพในการพูดอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ต่อสิ่งที่สังคมเคารพบูชา เพื่อคนอื่นจะได้ไม่ได้ยินในสิ่งที่เป็นเท็จ นี่คือหลักการที่ดีที่สุดผู้ที่ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล จะสามารถยกขึ้นมากล่าวอ้าง หากเขาจะใจเย็นลงสักนิดหนึ่งและพยายามหาเหตุผลมารับรองสิ่งที่ตนเองกระทำมากยิ่งขึ้น

ดูเหมือนโสเครตีสจะไม่เคยมีโอกาสพิจารณาประเด็นเช่นนี้ แต่คนที่พิจารณามันอย่างละเอียดคือ จอห์น สจ็วต มิลล์ (John Stuart Mill) ผู้ซึ่งเป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยอังกฤษสมัยใหม่ ในหนังสือ On Liberty เขาเสนอตรรกบทที่ดีที่สุดที่เคยมีคนคิดขึ้นมา เพื่อหักล้างการปิดกั้นเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ คือ เขากล่าวว่า 1) ในความคิดเรื่องสิ่งที่ดีงามสูงสุดนั้น จะต้องหมายรวมถึงความมีเมตตาสูงสุดอยู่ด้วย และสิ่งที่มีเมตตาสูงสุด ย่อมอนุญาตให้ผู้อยู่ใต้อำนาจตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ตนได้ ดังนั้น ถ้าสิ่งๆ หนึ่งอ้างว่าตนดีงามสูงสุด แต่ไม่อนุญาตให้ใครตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ สิ่งๆ นั้นย่อมยังไม่ดีงามสูงสุดจริง 2) สำหรับสิ่งที่ยังไม่ดีงามอย่างสมบูรณ์นั้น หากอนุญาตให้มีการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ สิ่งๆ นั้นก็สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีงามยิ่งๆ ขึ้นไปได้ และดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ความดีงามสูงสุดของสิ่งที่มีอำนาจในสังคม และเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ ต้องอยู่คู่กัน

ในเรื่องความกลัวต่อความเท็จนั้น มิลล์กล่าวว่า การปิดกั้นความเท็จคือการปิดกั้นปัญญาของมนุษย์ที่จะเรียนรู้และเข้าใจความจริง เพราะความจริงจะปรากฏเป็นความจริงอย่างชัดเจนที่สุด ก็แต่เพียงเมื่อมีความเท็จมาวางเคียงข้างให้เห็นความแตกต่างเท่านั้น หมายความว่า เราไม่อาจเห็นความจริงอย่างชัดเจนได้เมื่อมันปรากฏอยู่แต่เพียงลำพัง คือเมื่อไม่มีใครได้รับอนุญาตให้พูดถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับมันได้ ความกลัวต่อความเท็จจึงเป็นความกลัวของคนขี้ขลาด เป็นความกลัวที่ทำร้ายตนเอง ดังนั้น เราจะต้องกล้าเผชิญหน้ากับคำพูดทุกชนิดและใช้ปัญญาเข้าตรวจสอบหาความจริงจากมัน ถ้าเรากลัวความเท็จ หรือขี้เกียจคิด เราก็จะไม่มีวันมีปัญญาที่แท้จริงเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการใช้สติปัญญาเข้าตรวจสอบหาความจริงไปเรื่อยๆ ชีวิตเราจึงจะพบกับสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง ดังคำกล่าวของโสเครตีสว่า “ชีวิตที่ไม่มีการตรวจสอบคือชีวิตที่ไร้ค่า” และดังนั้นเสรีภาพในการพูดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะหากไม่มีเสรีภาพในการพูด ความสามารถในการคิดก็จะถูกทำลายลงไปด้วย เพราะหากคิดไปแล้วก็พูดออกมาไม่ได้ ก็ไม่รู้จะคิดไปทำไม และไม่มีใครจะมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อให้ความคิดพัฒนา (6)

........................................................................................................




เชิงอรรถ
(1) ในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักสูงสุดในการปกครองประเทศ เราต้องถือว่ากฎหมายแสดง “จิตสำนึกของสังคม” ดังนั้น เราไม่ควรเข้าใจว่านี่เป็นการใช้อำนาจของสถาบันกษัตริย์ เพราะโดยหลักการแล้ว พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจที่จะกำหนดเนื้อหาของกฎหมาย ซึ่งในเชิงประวัติศาสตร์แล้วกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ไม่ได้มีอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับแรก หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหตุผลที่เราควรถือว่ากฎหมายนี้ไม่ใช่การใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันยิ่งปรากฏเด่นชัดมากยิ่งขึ้น เมื่อพระองค์ทรงประกาศว่าไม่ทรงอยู่เหนือคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่หลังจากพระราชดำรัชนั้นแล้วก็ยังมีการใช้กฎหมายดังกล่าวเล่นงานบุคคลต่างๆ อยู่เช่นเดิม กฎหมายนี้จึงเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ฝ่ายต่างๆ ในสังคมจะใช้เล่นงานฝ่ายตรงกันข้ามเสียมากกว่า


(2) สิ่งที่เราควรตระหนักในเบื้องต้นก็คือ คึกฤทธิ์ มาจากชนชั้นสูง เป็นนักการเมืองอาชีพ พร้อมๆ กับการเป็นปัญญาชนระดับสูง แม้คึกฤทธ์จะมีส่วนอย่างมากในการผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าทางภูมิปัญญาในสังคมไทย แต่ก็เป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างวัฒนธรรมอนุรักษ์นิยมของลัทธิชาตินิยม ผู้ที่มีนโยบายสนับสนุนความเข้มแข็งของประชาชนอย่างแท้จริง ได้แก่ นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นผู้นำของคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง


(3) การใช้ลัทธิกษัตริย์นิยมในสังคมประชาธิปไตย โดยตัวเองแล้วฟังดูเป็นเรื่องแปลก เพราะในเชิงประวัติศาสตร์แล้ว ระบบประชาธิปไตยเกิดจากการที่ประชาชนแย่งอำนาจมาจากกษัตริย์ ลัทธิกษัตริย์นิยมจึงเป็นเหมือนการที่รัฐบาลหรือประชาชนพยายามจะคืนอำนาจให้กษัตริย์ ถึงจุดหนึ่งอาจมีการขอรัฐบาลจากกษัตริย์แทนที่จะเลือกตั้งเอาเองก็เป็นได้ ซึ่งเท่ากับเลิกเป็นประชาธิปไตยนั้นเอง อย่างไรก็ตาม ลัทธิกษัตริย์นิยมก็อาจมีผลดีต่อประเทศในระยะที่วัฒนธรรมประชาธิปไตยยังอ่อนแอจนเกิดวิกฤตภายในอยู่เนืองๆ คือ กษัตริย์อาจสร้างสมบารมีและศรัทธาได้มากจนกลายเป็นศูนย์รวมของจิตใจได้อย่างแท้จริง และช่วยแก้ไขวิกฤติทางการเมืองภายในเช่นนั้นได้ แต่ถ้ากษัตริย์ได้สถานะเช่นนี้มาด้วยบารมีที่ตนเองสร้างสมขึ้นมาและทำให้ตนเองมีอำนาจที่พิเศษกว่าปกติ เช่น อยู่เหนือการตรวจสอบและการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้นทั้งมวลและมีอิทธิพลเหนือการเมือง โอกาสก็จะมีสูงมากที่ผู้คนที่แวดล้อมกษัตริย์จะนำอำนาจเช่นนั้นไปใช้ในทางมิชอบเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่ขึ้นมาเป็นกษัตริย์คนต่อไปอาจไม่สามารถสร้างสมบารมีเช่นนั้นได้ แต่อาจต้องการอำนาจอันพิเศษกว่าปกติเช่นนั้น ระบบกษัตริย์ในฐานะของสถาบันทางสังคมก็อาจจะเกิดปัญหา


(4) ที่จริงแล้ว การที่โสเครตีสพูดว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลกแต่อย่างไร เพราะปัญญาที่แท้จริงก็เป็นสิ่งที่สอนให้กันไม่ได้เช่นเดียวกัน เราอาจให้ข้อคิดเห็นต่อกันได้ และมันก็มักจะมาจากญาณทัศนะของแต่ละคน แต่ญาณทัศนะจะกลายเป็นปัญญาที่แท้จริงได้ ก็เมื่อคนแต่ละคนเอาเหตุผลเข้าไปตรวจสอบมันในทุกแง่ทุกมุมที่เป็นไปได้ คนมักจะคิดว่าพอเขาได้ยินอะไรที่เข้าได้กับญาณทัศนะของตน นั่นก็คือความรู้ แต่โสเครตีสยืนยันว่า นั่นยังไม่เพียงพอที่จะเรียกว่าความรู้ ความรู้เป็นญาณทัศนะส่วนที่ผ่านการตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์แล้วเท่านั้น คุณธรรมก็เป็นญาณทัศนะที่ต้องอาศัยเหตุผลเข้าไปตรวจสอบเช่นเดียวกัน


(5) ในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักสูงสุดในการปกครองประเทศ เราต้องถือว่ากฎหมายแสดง “จิตสำนึกของสังคม” ดังนั้น เราไม่ควรเข้าใจว่านี่เป็นการใช้อำนาจของสถาบันกษัตริย์ เพราะโดยหลักการแล้ว พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจที่จะกำหนดเนื้อหาของกฎหมาย ซึ่งในเชิงประวัติศาสตร์แล้วกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ไม่ได้มีอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับแรก หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหตุผลที่เราควรถือว่ากฎหมายนี้ไม่ใช่การใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันยิ่งปรากฏเด่นชัดมากยิ่งขึ้น เมื่อพระองค์ทรงประกาศว่าไม่ทรงอยู่เหนือคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่หลังจากพระราชดำรัชนั้นแล้วก็ยังมีการใช้กฎหมายดังกล่าวเล่นงานบุคคลต่างๆ อยู่เช่นเดิม กฎหมายนี้จึงเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ฝ่ายต่างๆ ในสังคมจะใช้เล่นงานฝ่ายตรงกันข้ามเสียมากกว่า

(6) การที่สังคมไทยมีวัฒนธรรมที่ห้ามการวิพากษ์วิจารณ์นั่น ถ้าพูดตรงแล้วก็คือ มีวัฒนธรรมของความขี้ขลาดทางปัญญานั่นเอง หมายความว่า ถ้าจะคิดอะไรก็ต้องคิดในกรอบที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แม้นี่จะเป็นคำพูดที่รุนแรง แต่ก็ไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว วัฒนธรรมไทยสอนให้คนไทยใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล นี่คือสิ่งที่คนไทยไม่อยากยอมรับ แต่ก็จะแสดงออกทันทีที่มีคนไทยที่กล้าวิจารณ์วัฒนธรรมของตนเองในทางลบ เช่น อาจจะประณามคนเช่นนั้นว่าเป็นทาสของตะวันตก ทั้งที่การวิจารณ์ตนเองเป็นสิ่งที่ไม่ว่าคนในวัฒนธรรมไหนก็ควรกระทำ เว้นก็แต่ผู้ที่เชื่อว่าตนเองดีงามอย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้น






ที่มา : ประชาไท วันที่ : 25/1/2552






Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2552 16:57:39 น. 1 comments
Counter : Pageviews.








บ่อยครั้งที่ความจริงที่ไม่จริง หมายถึงความจริงเพียงด้านเดียว หรือถูกแค่ครึ่งเดียว สร้างปัญหาให้กับสังคมอย่างมากมาย และความจริงเหล่านั้นมักถูกอ้างโดยฝ่ายเดียว แต่ไม่ยอมพูดความจริงอีกด้านหนึ่ง ความจริงของนักปราชญ์ทั้งหลาย ได้พูดความจริงทั้งหมดแล้ว แต่ไม่ได้พูดผลของความจริงที่อาจเป็นผลร้ายขึ้น ในสังคมต่างๆมีความพูดความจริงมากมาย แต่ไม่จริงแท้ ไม่เหมือนองค์ศาสดาที่พูดความจริงทั้งหมดทุกๆด้าน เป็นความจริงแท้ ถึงกระนั้น ปุถุชนยังตีความคำสอนไปในทางที่จริงแค่ครึ่งแล้วนำไปเผยแพร่แบบถูกครึ่งเดียว ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างกว้างขวาง ดังเช่นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบันนี้


REF : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=inthedark&group=16 2/08/2010