หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"ฮิญาบ" กับ "บุรกา" และสถานะสตรีในสังคมมุสลิม

"ฮิญาบ" กับ "บุรกา" และสถานะสตรีในสังคมมุสลิม

โดย ศราวุฒิ อารีย์ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอ์มินให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงมา...และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกนางลดสายตาของพวกนางลงต่ำและให้พวกนางรักษาสิ่งสงวนของพวกนางและอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้นางปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของนางลงมาถึงหน้าอกของนาง..." (อัลกุรอ่าน 24: 30-31)


เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2010 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศสลงมติด้วยคะแนนเสียง 335 ต่อ 1 เสียง เห็นชอบกฎหมายห้ามหญิงชาวมุสลิมสวมเครื่องแต่งกายที่ปกคลุมใบหน้าอย่างมิดชิดหรือที่เรียกว่า "นิกอบ" และ "บุรกา" ตามที่สาธารณะ โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน


นอกจากนี้ ยังได้อ้างเหตุผลอีกว่าการห้ามสตรีมุสลิมคลุมฮิญาบแบบบุรกาไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติหรือจำกัดสิทธิกันเกินไป แต่สตรีมุสลิมส่วนใหญ่ในฝรั่งเศสก็สวม "ฮิญาบ" แบบธรรมดากันได้อยู่แล้ว


มิเชล อัลเลียต-มารี รัฐมนตรียุติธรรมฝรั่งเศส กล่าวว่า "การอนุมัติครั้งนี้เป็นความสำเร็จสำหรับค่านิยมเรื่องเสรีภาพ, เสมอภาค, ภราดรภาพ และโลกย์วิสัยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส" กฎหมายฉบับนี้จะต้องส่งให้สภารัฐธรรมนูญตรวจสอบและส่งวุฒิสภาลงมติในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ หากผ่านก็จะทำให้ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศยุโรปชาติที่สองต่อจากเบลเยียม ที่ออกกฎหมายกำหนดให้การสวมใส่ชุดบุรกาหรือนิกอบของสตรีมุสลิมในที่สาธารณะ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย


ส่วนฝ่ายคัดค้านก็ออกมาต้าน เช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนจากลอนดอน ได้ประณามการลงมติดังกล่าวโดย จอห์น ดัลฮุยเซน ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรนิรโทษกรรมสากลด้านประเด็นการกีดกันเลือกปฏิบัติในยุโรป กล่าวว่า การห้ามคลุมหน้าอย่างสิ้นเชิงนี้เป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการนับถือศาสนาของสตรีที่ครองนิกอบหรือบุรกา ที่จะแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์หรือศรัทธาความเชื่อของเขาเหล่านั้น


ความจริง ทางการฝรั่งเศสได้ห้ามนักเรียนหญิงและข้าราชการพลเรือนคลุมผมหรือฮิญาบในสถานที่ราชการมาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว แม้ว่านักศึกษาหญิงมุสลิมอาจคลุมฮิญาบในมหาวิทยาลัยให้เห็นบ้างก็ตาม


ฮิญาบและบุรกา


กรณีของการคลุมศีรษะหรือฮิญาบเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันอยู่มาก หากใครที่ได้มีโอกาสเดินทางไปโลกมุสลิมบ่อยๆ หรือคุ้นเคยกับสังคมมุสลิมในไทย โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะพบว่าวัฒนธรรมการใส่ผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมีปรากฏเพิ่มมากขึ้นในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกระแสการฟื้นฟูอิสลาม (Islamic Revivalism) ที่เข้มข้นขึ้นนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 และ 1990 และค่อยๆ แพร่กระจายขยายออกไปทั่ว


คนหัวสมัยใหม่ โดยเฉพาะคนตะวันตก อาจมองวัฒนธรรมการคลุมศีรษะของอาหรับเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ทางเพศ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่คนมุสลิมเองกลับมีมุมมองที่ต่างออกไป มุสลิมบางคนมองเพียงว่าการคลุมศีรษะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการทำตามหลักการศาสนา โดยมิได้มีความหมายสำคัญอันใดที่จะไปเกี่ยวข้องกับการเมือง


ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมการคลุมศีรษะอาจมองได้อีกมุมว่าเป็นการฉายภาพให้เห็นถึง "อิสรภาพ" ที่ผู้หญิงสามารถเลือกที่จะสวมใส่มันได้ อย่างไรก็ตาม สภาวะกดดันทางสังคมโดยเฉพาะจากครอบครัวหรือเพื่อนๆ ก็มีส่วนทำให้ผู้หญิงมุสลิมใส่ฮิญาบกันมากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง บางครอบครัวก็อาจรู้สึกอึดอัดใจเมื่อเห็นลูกสาวหรือหลานสาวตนเองสวมใส่ฮิญาบ


บางคนเชื่อว่าการสวมใส่ฮิญาบแบบสมัครใจ (ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลส่วนตัวหรือสังคม) เป็นการแสดงออกให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของความรู้สึกห่วงแหนอัตลักษณ์มุสลิม บางคนไปไกลถึงขนาดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องความสำคัญของฮิญาบทางการเมืองหรือเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง


แต่ผู้หญิงมุสลิมจำนวนมากก็คิดว่า การอำพรางอวัยวะส่วนที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกทางเพศ (เส้นผมและอื่นๆ) จะทำให้พวกเธอรู้สึกเป็นอิสระมากกว่าในการเดินทางเคลื่อนย้ายใช้ชีวิตที่สาธารณะ เพราะฮิญาบจะป้องกันพวกเธอจากสายตาที่ไม่พึงปรารถนาหรือความสนใจที่แฝงเร้นไปด้วยตัณหาราคะของเพศตรงข้าม


ในอีกมุมหนึ่ง หากฝ่ายชายเห็นฮิญาบก็จะเกิดความเกรงใจและให้ความเคารพมากกว่าผู้หญิงที่ไม่สวมใส่ฮิญาบ แต่ผู้หญิงมุสลิมบางคนก็ใส่ฮิญาบที่หรูหราทันสมัย ราคาแพง และแต่งแต้มสีสันตามความนิยมของแฟชั่นสมัยใหม่


การสวมใส่ฮิญาบต้องแยกประเด็นออกไปต่างหากจากการปิดหน้า ส่วนใหญ่วัฒนธรรมการปิดหน้ามักเห็นอย่างเป็นปกติในประเทศแถบอ่าวเปอร์เซียและพื้นที่บางส่วนของแอฟริกาเหนือ (มุสลิมอพยพส่วนใหญ่ที่อยู่ในฝรั่งเศสมาจากแอฟริกาเหนือ) ผู้หญิงที่ปิดหน้ายังมีความแตกต่างหลากหลาย ตั้งแต่ปิดหน้าทั้งหมดหรือปิดหน้าบางส่วน แต่ในขณะเดียวกันประเทศอย่างตูนิเซียกลับออกกฎหมายห้ามการปิดหน้าอย่างเด็ดขาด


อัลกุรอ่านเองมิได้ระบุอันใดเกี่ยวกับการคลุมหน้าหรือการแยกผู้หญิงไปอยู่ต่างหากภายในบ้าน นักวิชาการบางคนอธิบายว่า วัฒนธรรมที่ว่านี้พัฒนาขึ้นภายหลังและไม่ได้เป็นที่นิยมแพร่หลายในอาณาจักรอิสลาม จนกระทั่งเวลาผ่านไป 3-4 ชั่วอายุคนหลังการจากไปของศาสนทูตมุฮัมมัด


บ้างก็ว่าวัฒนธรรมการปิดหน้าและการแยกผู้หญิงในบ้านไม่ให้ยุ่งย่ามในส่วนที่เป็นพื้นที่ของผู้ชายในโลกมุสลิมนั้นมาจากวัฒนธรรมเปอร์เซียและไบเซนไตน์โบราณ เพราะพวกเขามีวัฒนธรรมการปฏิบัติต่อผู้หญิงเช่นนั้น


สถานะสตรีในสังคมมุสลิม


คนนอกที่ไม่ใช่มุสลิมซึ่งเคยได้เห็นได้ยินและได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงมุสลิม มักจะเข้าใจไปเองว่าพวกเธอต้องตกเป็นเบี้ยล่างและเป็นกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ในสังคม หลายคนเชื่อว่าสถานการณ์เช่นนี้จะต้องได้รับการแก้ไขปรับปรุงอย่างเร่งด่วน


อย่างไรก็ตาม แม้คนนอกอย่างเราจะไม่เห็นด้วยกับสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่เป็นอยู่ในสังคมมุสลิม แต่อย่างน้อยเราก็ควรที่จะต้องพยายามเข้าใจมุมมองอีกด้านหนึ่ง และจะต้องไม่รีบตัดสินหรือกล่าวโทษสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมมุสลิม บางครั้งการรับฟังเหตุผลอีกชุดหนึ่งจากผู้ปฏิบัติอาจทำให้เราเข้าใจโลกได้กว้างขึ้น


ตามความเข้าใจของมุสลิมทั้งชายและหญิง พวกเขาไม่ได้มองว่าประเพณีทางสังคมและขอบเขตข้อจำกัดของผู้หญิงเป็นเรื่องของการกดขี่ แต่เป็นความเหมาะสมตามธรรมชาติของผู้หญิง พวกเขาไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นการละเมิดสิทธิหรือเป็นการกดขี่ผู้หญิง แต่มองว่าการจำกัดขอบเขตผู้หญิงเป็นเสมือนการปกป้องพวกเธอ อันจะทำให้พวกเธอไม่ต้องตกอยู่ในความตึงเครียด การแย่งชิงแข่งขัน การถูกยั่วยุ และการเสียเกียรติยศชื่อเสียงเหมือนที่เกิดขึ้นในสังคมอื่น


ส่วนผู้หญิงมุสลิมเองส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน ก็รู้สึกพอใจและอบอุ่นใจที่ระบบสังคมปัจจุบันยังคงรักษาความมั่นคง การปกป้องดูแล และการเคารพให้เกียรติพวกเธออยู่


โดยธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว สถานะสตรีในสังคมมุสลิมนั้นถูกครอบงำโดยระบบปิตาธิปัตย์หรือระบบสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่มาตลอด ซึ่งเป็นระบบที่มีมาก่อนที่ศาสนาอิสลามจะมาถึงในศตวรรษที่ 7 ฉะนั้น ธรรมเนียมปฏิบัติหลายอย่างที่เกี่ยวกับสถานะสตรีที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันจึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากประเพณีท้องถิ่นและธรรมเนียมปฏิบัติทางสังคมที่สืบทอดต่อเนื่องกันมายาวนาน ซึ่งหลายๆ อย่างก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาหรือไม่ได้เป็นหลักการที่ศาสนากำหนดไว้


ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่ต้องการทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมมุสลิมในหลายๆ แง่มุม
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280914421&catid=02 10/08/2010

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น