กฎหมายว่าด้วยห้ามการปิดหน้าของสตรีมุสลิม กดขี่หรือปลดปล่อย
โดย อุสตาซอับดุชชะกูร บิน ชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนามูฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดิ์แด่ผู้อ่านทุกท่าน
เมื่อ 14 กรกฎาคม 2553 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศส ลงมติด้วยคะแนนเสียง 335 ต่อ 1 เสียง เห็นชอบกฎหมายห้ามหญิงชาวมุสลิมสวมเครื่องแต่งกายที่ปกคลุมใบหน้าอย่างมิดชิด หรือที่เรียกว่า "นิกอบ"และ "บุรกา" ตามที่สาธารณะ
สำหรับผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับเงิน 150 ยูโร (ประมาณ 6,100 บาท) และหากใครบังคับให้สตรีมุสลิมสวมผ้าปิดบังใบหน้า จะต้องโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี และปรับ 15,000 ยูโร (มากกว่า 610,000 บาท) โดยร่างกฎหมายดังกล่าวเตรียมถูกส่งให้วุฒิสภาพิจารณาลงมติในเดือนกันยายนนี้ ก่อนจะบังคับใช้เป็นกฎหมาย
ด้านกระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศส ประเมินว่า ขณะนี้มีหญิงชาวมุสลิมสวมผ้าปิดบังทั้งร่างกายเพียง 1,900 คน จากจำนวนชาวมุสลิมทั้งประเทศที่มีมากกว่า 5 ล้านคน
จากกฎหมายดังกล่าวจะทำให้สตรีมุสลิมที่มีความต้องการจะปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามไม่สามารถปฏิบัติได้ในกรณีดังกล่าวหากวุฒิสภาลงมติรับรองในเดือนกันยายนนี้
ในขณะที่ผู้ที่เห็นด้วยในกฎหมายนี้มองว่าเป็นกฎหมายที่ช่วยปลดปล่อยสตรีมุสลิมเองให้เป็นไทจากการกดขี่สตรีเพศ
อะไรคือหลักการของศาสนาอิสลามที่ทำให้บรรดาสตรีมุสลิมมีความประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะปฏิบัติตามหลักศาสนาซึ่งเป็นกฎหมายของพระเจ้าและอาจจะทำให้หลายคนยอมฝ่าฝืนกฎหมายของฝรั่งเศส ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นกฎหมายของมนุษย์ และสตรีผู้ศรัทธาอันแรงกล้ากลับมองว่า การปิดหน้าเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพในการปกป้องสตรีจากความเหลวทรามของยุคเซ็กซ์เสรี ที่ผู้ชายพยายามใช่สตรีเป็นเครื่องมือหรือสินค้าหรือทาสทางวัตถุให้กับพวกเขาต่างหาก
จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ผู้เขียนได้อธิบายเหตุผลของสตรีมุสลิมที่เคร่งครัดหรือสุดโต่งตามทรรศนะตะวันตกและแนวร่วมดังนี้
1. การแต่งกายของสตรีมุสลิมตามหลักการอิสลาม
สตรีมุสลิมเมื่อบรรลุศาสนภาวะ มีความจำเป็นจะต้องแต่งกายที่มิดชิดซึ่งเรียกว่า ฮิญาบ เพื่อการปกป้อง ศักดิ์ศรีของความเป็นสตรีจากบุรุษเพศที่ใช้สายตาตามอารมณ์ฝ่ายต่ำในการลวนลาม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก่ออาชญากรรม หรือความเสื่อมทรามทางสังคมที่ไม่อาจคำนวณนับได้นั้น
2. คำนิยามของฮิญาบ
คำว่า ฮิญาบ มาจากรากศัพท์คำว่า (hajaba yahjibu hijba wa hijabba) แปลว่า ซ่อน ปกปิด กีดกั้น
ในขณะคำนิยามของฮิญาบตามศาสนบัญญัติหมายถึงการปกปิดร่างกายและเครื่องประดับเว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ (ใบหน้าและฝ่ามือ) ยกเว้นผู้ที่ได้รับการยกเว้น ดั่งที่อัลลอฮฺได้โองการไว้ความว่า
"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดาสตรีผู้ศรัทธาให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาของสงวนของพวกเธอไว้ อย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ อย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺเถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ยเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ" (อัลกุรอาน บทอันนูร / 31)
3. การคลุมหน้า
เมื่อพิจารณาคำว่าฮิญาบในความหมายตามทรรศนะศาสนบัญญัตินั้นสตรีมุสลิมไม่จำเป็นต้องคลุมหน้า ("นิกอบ" และ "บุรกา" ) และเหตุใดมีสตรีมุสลิมหลายคนทั้งในประเทศอาหรับหรือในฝรั่งเศสคลุมหน้าอย่างเปิดเผยซ้ำยอมเสี่ยงในการทำผิดกฎหมายของฝรั่งเศส หากกฎหมายดังกล่าวประกาศใช้หรือถูกรับรองจากวุฒิสภาพิจารณาลงมติในเดือน ก.ย. นี้
ปราชญ์อิสลามศึกษาในอดีตได้ให้ทรรศนะที่สอดคล้องกันว่าสตรีมุสลิมปกติสามารถเปิดเผยใบหน้าและฝ่ามืดได้ (ทั้ง 4 สำนักคิดไม่ว่าจะเป็นหะนาฟียะฮ์ มาลิกียะห์ ชาฟิอียะห์ และ ฮัมบาลียะห์ โปรดดู Abd al - Rahman al-Jaziri. N.d. al-Figh ala al-Mazhab al-Arbaah. 5/54) หากไม่เกิดอันตรายต่อสตรี เช่น สตรีวัยรุ่นหรือผู้มีใบหน้าสวยอาจจะทำให้ชายมองแล้วหลงใหล แต่มิได้หมายความว่าการปิดหน้าเป็นสิ่งที่ผิดในทางกลับกัน ปราชญ์ในอดีตมองว่าควรส่งเสริมไม่ถึงขั้นจำเป็นต้องทำ หากไม่ทำจะบาป
ซึ่งสอดคล้องกับปราชญ์ร่วมสมัย อย่างเช่น ชัยค์ ดร.ยูซุฟ อัล-ก๊อรฏอวีย์ ปราชญ์ส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร และมหาวิทยาลัยอิสลามเก่าแก่อื่นๆ อย่างชัยตูนะฮฺ (ตูนิเซีย) และกอรอวียีน (โมร็อกโก) และชัยค์นาศิรุดดีนอัล-อัลบานียฺ
จากเหตุผลดังกล่าวทำให้สตรีบางท่าน (ในที่นี้หมายถึงพ่อ สามีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลสตรีตามศาสนบัญญัติ ซึ่งผู้ปกครองบางท่านบังคับสตรีภายใต้ปกครอง) คลุมหน้า หรือ นิกอบและบุรกาเมื่อต้องออกจากที่พักอาศัยดังเช่นในภาคใต้ของประเทศไทย ตะวันออกกลางหรือฝรั่งเศสในปัจจุบัน
ปิดหน้า : กดขี่หรือปลดปล่อย
นักสิทธิมนุษยชนตะวันตกส่วนใหญ่ รวมทั้งผู้ที่เห็นด้วยในกฎหมายของฝรั่งเศสฉบับนี้ มองว่ากฎหมายการห้ามปิดหน้าเป็นการช่วยปลดปล่อยสตรีมุสลิมเองให้เป็นไทจากจากการกดขี่สตรีเพศ
อัลอัค นักวิชาการมุสลิมไทยร่วมสมัยได้ให้ทรรศนะพอสรุปใจความได้ว่า การแสดงการเป็นผู้ปลดปล่อยสตรีทำแค่เพียงแค่กระชากผ้าปิดหน้าผืนหนึ่งออกจากใบหน้าของสตรีมุสลิมกระนั้นหรือ?
การไม่มีผ้าปิดหน้าถือเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะแห่งการปลดปล่อยสตรีมุสลิมให้เป็นไท สู่ความเสมอภาคระหว่างชายหญิงกระนั้นหรือ?
ขณะที่ภาพสตรีจำนวนมากมายในเอเชียใต้ที่ถือกะลาขอทาน ถูกพูดในแง่มุมนี้น้อยเกินไป หรือว่าพวกเธอเหล่านั้นไม่มีผ้าปิดหน้า... ความยากจนไม่มีอันจะกินของผู้หญิงจำนวนหลายร้อยล้านถือว่าเป็นประเด็นอื่นไม่เกี่ยวกับสิทธิของสตรีกระนั้นหรือ?
การกระแหนะกระแหนของบางคนที่มีต่อผ้าคลุมหน้าเป็นเรื่องที่ไม่วางอยู่บนตรรกะ และบางทีก็ขาดความยุติธรรมอย่างเห็นได้ชัด เป็นไปได้ว่าบางคนปิดหน้าอย่างไม่เข้าใจ ปิดหน้าตาม
กลุ่มชนที่ตนอาศัยอยู่ และก็เป็นไปได้ว่าคนปิดหน้าจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้หนังสือ แต่นี้ไม่ใช่ความผิดของผ้าคลุมหน้า การกล่าวถึงมุสลิมะฮฺที่ปิดหน้าว่าเป็นพวกสุดโต่งหรือเลยเถิดนั้น จัดว่าเป็นถ้อยคำที่อธรรม การปฏิบัติตามทรรศนะทางนิติศาสตร์แบบเข้มงวดใดๆ ที่ได้มาจากปราชญ์มุสลิมนั้นมิใช่ความสุดโด่ง แต่ความสุดโต่งอยู่ที่การไปบังคับคนอื่นทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ปฏิบัติตามทรรศนะของตนเองต่างหาก
กฎหมายอิสลามนั้น ไม่ใช่กฎหมายที่มองอะไรเพียงด้านเดียว หรือไม่มีเหตุมีผล ในแง่หนึ่งนั้น อิสลามก็มุ่งปกป้องคุ้มกันจริยธรรมของมนุษย์ให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง และในอีกแง่หนึ่งก็คำนึงถึงความจำเป็นต่างๆ ของมนุษย์ด้วย ดังนั้น จึงก่อให้เกิดความสมดุลทั้งสองด้านของชีวิต...ดังนั้น นางก็อาจเปิดใบหน้าได้ถ้าต้องการเมื่อมีความจำเป็น ขอเพียงว่านางอย่าได้ประสงค์จะอวดความงาม...บทบัญญัติที่มีเหตุผลนั้นยืดหยุ่นได้ มีทั้งความเข้มงวดเคร่งครัดและโอนอ่อนผ่อนตามสถานการณ์ มีข้อยกเว้นในตัวบทตามกาละเทศะ บทบัญญัติเช่นนี้ ไม่ใช่ให้หลับหูหลับตาตาม แต่ต้องมีการพินิจพิเคราะห์ด้วย..." (ดู การคลุมหน้ากับสถานภาพสตรีในอิสลาม โดย อบุล อะอฺลา เมาดูดียฺ น. 405-407)
ผ้าปิดหน้าจึงกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญในอารยธรรมมุสลิม แต่มิใช่สัญลักษณ์แห่งการกดขี่ แต่เป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพในการปกป้องตัวเองที่สตรีมุสลิมสามารถเลือกได้ มิใช่การนำไปใช้แบบแข็งทื่อที่มีรูปแบบเดียว และมิใช่การประกาศความเคร่งในศาสนาว่าใครเหนือกว่าใคร แต่เป็นสัญลักษณ์ของการปลดปล่อยตนเองจากการแสดงอำนาจของผู้ชายด้วยการเลือกที่จะใช้มันอย่างไร?
เป็นที่น่าเสียดายว่าสังคมโลกในยุคประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนแบ่งบานพยายามไปบังคับสตรีผู้ที่แสดงเจตนารมณ์อย่างแรงกล้าที่ต้องการปิดหน้าเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของตัวเขาเองแต่กลับเมินเฉยกับสตรีหรือบุรุษเพศที่พยายามเปลือกาย สร้างความหายนะทางศีลธรรมต่อสังคมโลกและเซ็กซ์เสรีจนนำสู่การแพร่ระบาดของโรคร้ายมากมายทั้งสังคมไทยและสังคมโลก
นี่คือมุมมองที่แตกต่างระหว่างแนวคิดของอิสลามกับตะวันตกและการปิดหน้าเป็นเพียงหนึ่งกรณีตัวอย่างเท่านั้นของการต่อสู้ระหว่างแนวคิดของตะวันตกกับอิสลามในยุคโรคกลัวอิสลาม หรือ Islamophobia
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280914690&catid=02 10/08/2010
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น