หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

จักรวรรดิโรมันกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

ขณะที่ผู้เขียนกำลังบรรยายเรื่องกฎหมายโรมันให้กับนิสิตที่กำลังเรียนวิชารัฐศาสตร์เบื้องต้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อยู่นั้น ได้มีนิสิตผู้หนึ่งยกมือถามแบบทะลุกลางปล้องขึ้นมาว่า

"อาจารย์ จักรวรรดิโรมันกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เป็นจักรวรรดิเดียวกันหรือเปล่าครับ?"

เจอคำถามแบบนี้เข้า ผู้เขียนจึงเกิดอาการกระอักกระอ่วนคือ ลังเลใจว่าจะตอบหรือไม่ตอบดี เนื่องจากมันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน จึงตัดบทไปว่า

"คนละจักรวรรดิ คนละเวลา แต่ถ้าจะว่าไปหากนับจักรวรรดิโรมันตะวันออกด้วยก็อาจจะว่าเป็นจักรวรรดิร่วมสมัยกันได้แต่คนละแห่ง เรื่องนี้ยาวมากเอาไว้มาคุยกันนอกเวลาดีกว่า ใครอยากรู้ไปต่อกันที่ห้องทำงานของผมเย็นนี้ก็แล้วกัน ตอนนี้พูดเรื่องกฎหมายโรมันต่อดีกว่า !"

เย็นนั้นจึงมีนิสิต 3 คนตามมาเอาคำตอบ เลยต้องชี้แจงจนเป็นที่พอใจกันด้วยการพูดคุยกันร่วม 2 ชั่วโมง ต้องงัดแผนที่ประวัติศาสตร์มาดูกันด้วยยกใหญ่ เสร็จแล้วผู้เขียนเห็นว่าน่าสนใจดี จึงขออนุญาตเอามาแชร์กับท่านผู้อ่านที่เคารพ คงไม่ว่ากันนะครับ

เรื่องนี้เริ่มต้นที่ราชอาณาจักรเล็กๆ ชื่อโรมันที่ตั้งอยู่บริเวณกรุงโรม ประเทศอิตาลีปัจจุบันที่เป็นราชอาณาจักร (Kingdom) ก็เพราะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ตามตำนานอ้างว่าราชอาณาจักรตั้งขึ้นเมื่อ 210 ปีก่อนพุทธศักราช ราชอาณาจักรโรมันมีอายุประมาณ 244 ปี จึงได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐ (republic) เมื่อ พ.ศ.34 (ช่วงของการเป็นสาธารณรัฐนี่เองที่พวกนักประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์เอาสร้างเรื่องให้ดูหรูว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยอุดมคติสวยงาม แต่ความจริงก็คือ ระบบอภิชนาธิปไตยนั่นเอง)

ใน พ.ศ.517 สาธารณรัฐโรมันก็เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นจักรวรรดิ (Empire) จึงต้องมีจักรพรรดิเป็นผู้เผด็จการถาวรแบบสมบูรณาญาสิทธิราช (ควรดูหนังสือ "กาลานุกรม" ของพระพรหมคุณากรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) ประกอบด้วย)

จักรวรรดิโรมันขยายอำนาจครอบครองยุโรปส่วนใหญ่และทวีปแอฟริกาตอนเหนือกับเอเชียตะวันออกกลาง แบบว่าทะเลเมดิเตอเรเนียนคือ ทะเลของโรมันโดยแท้ รวมพื้นที่ในความครอบครองของจักรวรรดิโรมันมีประมาณ 5,900,000 ตารางกิโลเมตร (ขนาดประมาณเท่ากับเนื้อที่ของสหรัฐอเมริกาปัจจุบัน) อิทธิพลวัฒนธรรมของจักรวรรดิโรมันส่งผลต่อการพัฒนาด้านกฎหมายการปกครอง ศาสนา (คริสต์) สถาปัตยกรรมและปรัชญาของโลกมาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อ พ.ศ.873 จักรวรรดิโรมันได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่กรุงคอนแสตนติโนเปิ้ล (ปัจจุบันนี้คือ กรุงอีสตันบูล ของตุรกี) ซึ่งต่อมาจึงได้มีการแบ่งจักรวรรดิโรมันออกเป็น 2 จักรวรรดิคือ จักรวรรดิโรมันตะวันตกมีเมืองหลวงคือ กรุงโรม กับ จักรวรรดิโรมันตะวันออกมีเมืองหลวงคือ กรุงคอนแสตนติโนเปิ้ล

จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลงเมื่อ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.1019 (ตอนนั้นยังไม่ได้ตั้งประเทศไทยที่กรุงสุโขทัยเลยนะครับ) ส่วนจักรวรรดิโรมันตะวันออกยังคงยืนยงอยู่ได้อีกร่วมพันปีจนถึง พ.ศ.1996 (สมัยพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา) จึงเสียให้แก่ตุรกีไป

ครับ ! ในช่วงประมาณหนึ่งพันปีที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายไปแล้วแต่ยังคงมีจักรวรรดิโรมันตะวันออกอยู่นั้น ในบริเวณที่เป็นยุโรปตะวันตกตอนกลางนั้น พวกเยอรมันที่ทำลายจักรวรรดิโรมันตะวันตกนั่นแหละได้ร่วมมือกับพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา

ยุโรปตะวันตกช่วงนั้นคือ ช่วงยุคมืดหรือยุคกลาง (Medieval period)

เมื่อตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาแล้ว พวกเยอรมัน (ที่พวกโรมันแท้ๆ เรียกว่า "บาเบเรี่ยน" เนื่องจากไว้ผมและหนวดเครายาวรุงรังไม่ตัดผมโกนหนวดให้เรียบร้อยเหมือนพวกโรมัน) ก็เลยไปตั้งแง่กับจักรวรรดิโรมันตะวันออก เนื่องจากพวกนี้ไม่ยอมรับนับถือสันตะปาปาที่กรุงโรมว่าเป็นประมุขของศาสนาคริสต์ว่าเป็นพวกกรีกไม่ใช่โรมัน (พวกเยอรมันก็ไม่ใช่โรมันเหมือนกัน) เลยเรียกจักรวรรดิโรมันตะวันออกว่า ไบแซนไตน์ (Byzantine) ไปเสียเลย

จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ถูกยกเลิกโดยจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ.2349 (หลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองไป 39 ปี คือปลายสมัย ร.1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)

ครับ ! เรียนประวัติศาสตร์ต้องใจเย็นๆ แต่จะเลี่ยงไม่เรียนประวัติศาสตร์ไม่ได้หรอก เพราะว่าหากไม่รู้ประวัติศาสตร์แล้วไปเรียนวิชาอะไรก็ได้แค่ก็สุกๆ ดิบๆ เอาดีไม่ได้หรอก

ยิ่งถ้าไปเรียนไปรู้ประวัติศาสตร์กำมะลอผิดๆ มั่วๆ แบบ "เขาเล่าว่า" เข้าไปด้วยยิ่งเสียผู้เสียคนไปใหญ่เลยนะครับ
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1293619709&grpid=&catid=02&subcatid=0207 30/12/2010

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เมื่อเจ้าอนุวงศ์ยืนผงาด ตำราเรียน "ประวัติศาสตร์ไทย" จะ "ปรับเปลี่ยน" อย่างไร?

โดย สายพิน แก้วงามประเสริฐ
เนื้อหาตำราเรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนไม่เคยสอนให้รักใคร นอกจากตัวเอง โดยเฉพาะความรักชาติของตนเองเหนือสิ่งอื่นใด ด้วยความที่ตำราเรียนประวัติศาสตร์ถูกนำมาใช้รองรับอุดมการณ์ของรัฐ ไม่ว่าในยุคก่อนหรือหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 แล้วก็ตาม

วิชาประวัติศาสตร์ยังคงเป็นวิชาที่ให้ความสำคัญกับการรักตนเอง จนแทบไม่เคยสอนให้รู้จักรักผู้อื่น หรือเห็นอกเห็นใจผู้ที่ด้อยกว่าตนเลย

ด้วยเหตุดังนี้เนื้อหาสาระวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียน จึงเต็มไปด้วยการสู้รบ การศึกสงครามทุกยุคสมัย โดยมีพล็อตเรื่องที่แสดงความยิ่งใหญ่ กล้าหาญ ของบรรดาวีรบุรุษวีรสตรีทั้งหลาย เมื่อไทยเป็นฝ่ายชนะตำราเรียนประวัติศาสตร์จะแต่งแต้มเติมสีสันให้ยิ่งใหญ่ ขณะที่หากไทยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หรือดูเหมือนว่าจะด้อยกว่า ตำราเรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนก็จะมีเหตุผลแห่งความพ่ายแพ้นั้น หรือมีสิ่งแสดงความไม่ชอบมาพากลที่ทำให้พ่ายแพ้

เนื้อหาในตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทย ผ่านกระบวนการผลิตซ้ำตามอุดมการณ์ชาตินิยมมาเนิ่นนานจนกระทั่งในความรับรู้ของผู้คนที่ผ่านกระบวนการการเรียนการสอนในโรงเรียนมองพม่าเหมือนเป็นศัตรู มองกัมพูชา และมองลาวอีกรูปแบบหนึ่ง

ตำราเรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนจึงถูกวิจารณ์ว่าก่อให้เกิดความล้าหลังคลั่งชาติ เพราะสอนให้รักชาติของตนเองจนไม่สนใจไยดีเพื่อนบ้าน แม้บางประเทศเรามักจะพูดอยู่เสมอว่าเป็น "บ้านพี่เมืองน้อง" แต่เรื่องราวที่ถูกเขียนไว้ในตำราเรียน หรือเรื่องที่บอกเล่าสืบต่อกันมา ผ่านนวัตกรรมต่างๆ ล้วนแล้วแต่ไม่ได้ส่งเสริมความเป็นพี่น้องแต่อย่างใด จนทำให้เกิดความรู้สึกว่า เป็นพี่น้องกันประสาอะไร?

เรื่องราวที่บาดหมางเช่นนี้ คงหนีไม่พ้นกรณีเหตุการณ์ศึกเจ้าอนุวงศ์ ที่ตำราเรียนหรือเรื่องราวในประวัติศาสตร์ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ชนะอยู่เสมอ และมักมองด้วยสายตา มุมมองของตนเอง โดยเรียกเหตุการณ์นี้ว่า "กบฏ" ทั้งที่หากมองด้วยสายตาอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ย่อมเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นการกอบกู้เอกราช

ดังนั้นเจ้าอนุวงศ์ย่อมอยู่ในฐานะที่มิใช่ "กบฏ"

ด้วยความที่เหตุการณ์ศึกเจ้าอนุวงศ์มีความชัดเจนว่าไทยเป็นฝ่ายชนะสงคราม อีกทั้งวีรกรรมท้าวสุรนารี ที่บอกเล่าเป็นตำนานสืบต่อกันมาว่ารบชนะลาว จนกลายเป็นเรื่องราวในตำราเรียน ผ่านกระบวนการผลิตซ้ำทั้งในตำราเรียน บทเพลง บทละคร และอนุสาวรีย์ ในสมัยรัฐชาตินิยม และยังไม่จืดจางจนสมัยปัจจุบัน

การรับรู้ประวัติศาสตร์แบบชาตินิยม โดยไม่สนใจความรู้สึกของผู้คนรอบบ้าน ยังคงสืบเนื่องยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้ และควรจะเป็นเช่นนี้ต่อไป? ในเมื่อสังคมโลกเปลี่ยนแปลงไป การอยู่ร่วมกับผู้คนไม่ใช่แค่ในประเทศเดียวกันเท่านั้น แต่ต้องอยู่ร่วมกับนานาชาติ โดยเฉพาะขณะนี้เราไม่ได้เป็นแค่พลเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังอยู่ในฐานะสมาชิกของอาเซียนด้วย แต่เนื้อหาตำราเรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียน ที่ก่อให้เกิดความบาดหมางกับประเทศเพื่อนบ้านยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง แล้วเราจะอยู่ในสังคมแห่งอาเซียนอย่างไร?

ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2553 รัฐบาลประเทศลาวได้ทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ วีรกษัตริย์ของลาว ซึ่งรูปปั้นเจ้าอนุวงศ์หล่อด้วยทองแดงมีน้ำหนักถึง 8 ตัน อนุสาวรีย์นี้มีความสูงถึง 15 เมตร ตั้งอยู่บนแท่นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละ 5.5 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นอนุสาวรีย์ที่ทั้งสูงและใหญ่มาก

อนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับเมืองศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย หันพระพักตร์มาทางไทย สิ่งที่น่าสนใจมากคือพระหัตถ์ขวายื่นออกไปด้านหน้า ลักษณะผายออกผ่านแม่น้ำโขงมายังฝั่งไทย ซึ่งรัฐมนตรีลาวกล่าวถึงรูปลักษณ์ของรูปปั้นเจ้าอนุวงศ์ว่า พระหัตถ์ที่ยื่นออกมาเป็นการแสดงถึงการให้อภัยแก่ "ผู้รุกราน" และผู้ที่เคยกระทำต่อพระองค์แล้ว

นอกจากนั้นยังมีข้อมูลรายละเอียดที่แสดงถึงการรับรู้ของฝ่ายลาว ถึงการศึกษาสงครามครั้งนี้ ไปจนถึงวาระสุดท้ายแห่งพระชนมชีพของเจ้าอนุวงศ์ ซึ่งการรับรู้เรื่องนี้สอดคล้องกับพระราชพงศาวดารของไทยที่บันทึกไว้ในฐานะผู้ชนะสงคราม จึงเขียนด้วยความสะใจ โดยหลงลืมนึกถึงจิตใจของผู้อื่น รวมทั้งการสร้างความรับรู้เรื่องวีรกรรมท้าวสุรนารี ที่ไปเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย เป็นสิ่งที่แสดงว่าการเรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

แม้พระหัตถ์ที่ยื่นออกมาของเจ้าอนุวงศ์จะได้รับการให้ความหมายโดยฝ่ายลาวว่า เป็นการยื่นออกมาเพื่อแสดงถึงการให้อภัยแก่ผู้ที่กระทำกับพระองค์ แต่อีกนัยหนึ่งคือการตอกย้ำความมีอยู่จริงของโศกนาฏกรรมของความเป็นพี่เป็นน้องในครั้งนั้น

เป็นการใช้ประวัติศาสตร์ต่อสู้กันอีกครั้งหนึ่ง และเป็นประวัติศาสตร์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับว่ามีอยู่จริง

ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ เหตุการณ์ศึกเจ้าอนุวงศ์หากนับถึงวันนี้ ผ่านมาเกือบ 200 ปี แต่เพราะเหตุใดอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์จึงพึ่งปรากฏตัว ณ พ.ศ.นี้ แสดงนัยยะอะไรหรือไม่ ทั้งที่ประเทศลาวไม่ได้มีอนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นแห่งแรก

อนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์แสดงความสัมพันธ์ หรือเป็นสัญญาอะไรบางอย่างหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เมื่อลาวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ มีการสร้างสนามกีฬาขนาดใหญ่ โดยได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม และตั้งชื่อสนามกีฬาแห่งนี้ว่า "สนามกีฬาเจ้าอนุวงศ์"

ทั้งอนุสาวรีย์และสนามกีฬาล้วนแสดงทัศนคติ และนัยยะที่มีต่อไทย อย่างน้อยก็แสดงความรับรู้ต่อเรื่องราวที่ปรากฏแก่เจ้าอนุวงศ์ วีรกษัตริย์ของลาว

แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ย่อมมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเป็นความจริงที่รับรู้กันทั้งสองฝ่ายแต่จะทำอย่างไรที่จะทำให้ปัจจุบันและอนาคตสามารถอยู่ร่วมกันฉันมิตรที่ดีได้อย่างจริงใจ

ถึงที่สุดแล้ว ลาวเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียนที่มีประเพณีวัฒนธรรม วิถีการดำรงชีวิต และภาษาพูด หรืออาจหมายถึงที่มาของเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ที่ทำให้คำกล่าวที่ว่า ไทยกับลาวเป็นบ้านพี่เมืองน้องไม่ไกลไปจากความจริงเท่าไร แล้วไยเนื้อหาในตำราเรียนประวัติศาสตร์ และอื่นๆ ไม่เคยแสดงความรู้สึกห่วงใยพี่น้องของตนเองเลย โดยเฉพาะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ควรมีความเอื้ออาทรต่อคนเป็นน้อง

เมื่อเจ้าอนุวงศ์ยืนตระหง่านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง แล้วยื่นพระหัตถ์มาฝั่งไทย แสดงนัยยะของการให้อภัยแก่ผู้ที่กระทำต่อพระองค์แล้ว ผู้ที่เป็นฝ่ายกระทำจะไม่รู้สึกอย่างไรบ้างเชียว? เมื่อรู้สึกแล้ว ตำราเรียนประวัติศาสตร์ที่ได้หล่อหลอมกล่อมเกลาให้เกิดความบาดหมางกับประเทศเพื่อนบ้าน จะไม่ยอมปรับเปลี่ยนบ้างเลย?

อย่างน้อยๆ การเหลือพี่น้องไว้คบค้าสมาคมบ้างก็ยังดี ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่เหินห่างกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเพื่อนบ้านที่ได้ชื่อว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมาเนิ่นนาน เพราะอย่างน้อยการมีพี่น้องย่อมดีกว่าการไม่มีใครคบ

เมื่อเป็นดังนี้ จึงควรหวนกลับมาพิจารณาตนเอง สร้างนิสัยการรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ด้วยการชำระสะสางตำราเรียนประวัติศาสตร์ที่ก่อให้เกิดความล้าหลังคลั่งชาติ และประวัติศาสตร์บาดหมางกันเสียที

REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1292934820&grpid=&catid=02&subcatid=0207 21/12/2010

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความเที่ยงธรรมของสถาบันตุลาการ

สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่








ระบบตุลาการเป็นสถาบันที่มีความสำคัญในสังคมเสรี/ประชาธิปไตย โดยในด้านหนึ่งจะทำให้เกิดความมั่นคงแก่ชีวิตและเสรีภาพของปัจเจกบุคคลจากการล่วงละเมิดตามอำเภอใจขององค์กรเจ้าหน้าที่รัฐ และในอีกด้านหนึ่งสถาบันตุลาการที่มีความชอบธรรมและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง จะเป็นกลไกที่ทำให้สังคมสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ลงได้

องค์กรตุลาการจึงมีความหมายสำหรับสังคมการเมืองทั้งในด้านที่เป็นการปกป้องปัจเจกบุคคลด้วยการควบคุมและตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝ่ายบริหาร ว่าจะดำเนินการไปภายใต้กรอบของกฎหมายที่มีความเป็นธรรม

ทั้งองค์กรตุลาการที่สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพก็จะเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับสังคม ดังเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างฝ่ายต่างๆ ก็จะมีความมั่นใจในการใช้องค์กรตุลาการเป็นกลไกในการยุติข้อพิพาท โดยไม่เลือกใช้วิธีการอื่นซึ่งอาจนำมาซึ่งความรุนแรงและสั่นคลอนความมั่นคงของสังคมโดยรวม

หลักการพื้นฐานสำคัญประการหนึ่งอันเป็นที่ยอมรับกันในนานาอารยประเทศว่าจะทำให้สถาบันตุลาการสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายดังกล่าวก็คือ การดำรงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรม (Impartiality)

เมื่อกล่าวถึงความเที่ยงธรรมของสถาบันตุลาการโดยทั่วไปมีความหมายว่าประชาชนมีสิทธิได้รับการพิจารณาจากคณะผู้พิพากษาที่ไม่มีผลประโยชน์หรือส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับคู่ความในคดี ดังเช่นการมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ การเป็นหุ้นส่วนด้านธุรกิจการค้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดี เป็นต้น

การมีส่วนเกี่ยวข้องในลักษณะที่กล่าวมาทำให้เห็นได้ว่าอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ที่ทำหน้าที่วินิจฉัยข้อพิพาทนั้นอาจเอนเอียงไปยังฝ่ายที่ตนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงความเที่ยงธรรมของตุลาการแล้ว ไม่ได้มีความหมายจำกัดเฉพาะเพียงผลประโยชน์ที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมเท่านั้น หากยังมีความหมายรวมไปถึงการกระทำอื่นที่แสดงให้เห็นได้ว่าบุคคลที่ทำหน้าที่ในระบบตุลาการไม่อยู่ในฐานะที่มีความเป็นกลาง หากเอนเอียงไปหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ดังเช่นการแสดงความคิดเห็นไว้ล่วงหน้าไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งและเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทที่กำลังได้รับการวินิจฉัย

หลักการพื้นฐานว่าด้วยความเป็นอิสระของศาล (Basic Principle on the Independence of the Judiciary) ซึ่งรับรองโดยที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิด ครั้งที่ 7 เมื่อ ค.ศ.1985 และได้รับการรับรองโดยที่ประชุมทั่วไป โดยมติที่ 40/32 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ.1985 และโดยมติที่ 40/32 เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1985 ได้บัญญัติรับรองหลักการเรื่องความเที่ยงธรรมของสถาบันตุลาการไว้ ดังนี้

"ข้อ 2 ศาลพึงตัดสินคดีด้วยความยุติธรรม บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและเป็นไปตามกฎหมาย โดยปราศจากการตัดทอน การใช้อิทธิพลโดยมิชอบ การชักนำ การกดดัน การข่มขู่หรือแทรกแซง ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมจากบุคคลใดๆ หรือเพื่อวัตถุประสงค์ใด"

การวินิจฉัยข้อพิพาทต่างๆ ของศาลจึงต้องวางอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและตัดสินให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ในการที่จะบรรลุถึงความเที่ยงธรรม รัฐ สถาบันและบุคคลจึงมีพันธะในการละเว้นจากการกดดันหรือโน้มน้าวให้ผู้พิพากษาตัดสินไปในทางใดทางหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งซึ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ ผู้พิพากษาก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตนเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเที่ยงธรรมของตนเองควบคู่ไปด้วย อันจะทำให้เกิดความมั่นใจว่าการตัดสินในข้อพิพาทนั้นได้กระทำอย่างเป็นธรรม

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสากลแห่งสหประชาชาติมีความเห็นต่อความเที่ยงธรรมของศาลในส่วนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา ดังนี้

"การทรงความเที่ยงธรรมของศาล มีนัยยะว่าผู้พิพากษาจะต้องไม่มีความคิดล่วงหน้าใดๆ เกี่ยวกับประเด็นที่กำลังพิจารณา และผู้พิพากษาจะต้องไม่ปฏิบัติไปในทางที่ส่งเสริมผลประโยชน์ของคู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เมื่อมีการกำหนดลักษณะที่ทำให้ผู้พิพากษาขาดคุณสมบัติในการทำหน้าที่ไว้ในกฎหมาย ก็เป็นหน้าที่ของศาลที่จะพิจารณาคุณสมบัติเหล่านี้ และหาผู้มาแทนที่สมาชิกของศาลคนที่มีพฤติกรรมที่ทำให้ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งนี้"

(Communication 387/1989, Arvo O. Karttunen V. Finland จากหลักการสากลว่าด้วยความเป็นอิสระและความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้พิพากษา ทนายความ และอัยการ. จัดพิมพ์โดย International Commission of Jurists)

ความเที่ยงธรรมของสถาบันตุลาการจึงสัมพันธ์กับสถานะ ผลประโยชน์และการปฏิบัติตัวของผู้พิพากษาอย่างใกล้ชิด การดำรงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมก่อให้เกิดหน้าที่ของผู้พิพากษาที่จะต้องปฏิบัติตนเพื่อแสดงให้ขึ้นความเที่ยงธรรม มีการสร้างมาตรฐานในระดับระหว่างประเทศเกิดขึ้นเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติอันเหมาะสมของผู้พิพากษาไว้ อาทิ

หลักการบังกาลอร์ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ทางตุลาการ (The Bangalore Principle of Judicial Conduct) รับรองโดยกลุ่มตุลาการว่าด้วยการเสริมสร้างบูรณภาพทางตุลาการ (Judicial Group on Strengthening Judicial Integrity) ปรับแก้ตามที่ประชุมโต๊ะกลมของประธานศาลสูงสุด ณ Peace Palace กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ 2002 มีบทบัญญัติดังนี้

"คุณค่าที่ 2 การดำรงความเที่ยงธรรม

2.1 ผู้พิพากษาจะต้องปฏิบัติหน้าที่ทางตุลาการของตนโดยปราศจากความชอบ ความเอนเอียงหรืออคติ

2.2 ผู้พิพากษาจะดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของตนทั้งภายในและภายนอกศาล รักษาและส่งเสริมความเชื่อมั่นของสาธารณะ ผู้ปฏิบัติวิชาชีพทางกฎหมาย และคู่ความในคดี ในเรื่องการดำรงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมของผู้พิพากษา

2.3 ผู้พิพากษาจะปฏิบัติตนเพื่อลดโอกาสในการถูกถอดถอนจากการพิจารณาคดีหรือตัดสินคดีให้น้อยที่สุด

2.4 ในระหว่างพิจารณาคดี หรือระหว่างที่อาจจะได้พิจารณาคดีหนึ่งๆ ผู้พิพากษาจะต้องไม่แสดงความเห็นใดๆ อย่างตั้งใจอันอาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อการพิจารณาคดี หรือเป็นผลเสียต่อภาพความเป็นธรรมของกระบวนพิจารณาคดี ผู้พิพากษาต้องไม่แสดงความเห็นต่อสาธารณะหรืออื่นๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมของบุคคล"

ในกรณีที่ผู้พิพากษาไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้อย่างเที่ยงธรรมหรือเมื่อความเที่ยงธรรมถูกตั้งข้อสงสัย ผู้พิพากษาไม่ควรให้คู่กรณีท้าทายความเที่ยงธรรมของตนเอง หลักการบังกาลอร์ฯ ได้ระบุถึงแนวทางที่ผู้พิพากษาควรปฏิบัติไว้ ดังนี้

2.5 ผู้พิพากษาควรจะต้องถอนตัวออกจากการมีส่วนร่วมในกระบวนการใดๆ ที่ผู้พิพากษาจะไม่สามารถตัดสินคดีได้อย่างเที่ยงธรรม หรือในกระบวนการที่อาจปรากฏแก่วิญญูชนว่าผู้พิพากษาไม่สามารถตัดสินคดีได้อย่างเที่ยงธรรม กระบวนการเช่นนั้นรวมถึงกรณีที่

2.5.1 ผู้พิพากษามีอคติที่แท้จริงหรือมีความโน้มเอียงต่อคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือมีความรู้ส่วนบุคคลในข้อเท็จจริงที่เป็นหลักฐานเกี่ยวกับคดีที่กำลังถูกโต้แย้งอยู่

2.5.2 ฯลฯ

บทความนี้เกิดขึ้นด้วยความตระหนักว่าปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่สถาบันตุลาการไทยกำลังเผชิญอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศาลรัฐธรรมนูญคือ ประเด็นเรื่องความเที่ยงธรรมของสถาบันตุลาการในการปฏิบัติหน้าที่

หลักการเรื่องความเที่ยงธรรมเกิดขึ้นในนานาอารยประเทศจึงเป็นส่วนหนึ่งที่อาจนำมาเป็นหลักในการพิจารณาและรวมถึงการแสวงหาทางออกซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจต่อความเที่ยงธรรมของสถาบันตุลาการให้เกิดขึ้น

มากกว่าเพียงความพยายามในการหันเหประเด็นไปสู่การกล่าวอ้างเรื่องการทำลายความน่าเชื่อของสถาบันตุลาการ

ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อทั้งสถาบันตุลาการและสังคมไทยในระยะยาวแต่อย่างใด

Ref : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1289292445&grpid=&catid=02&subcatid=0207 10/11/2010

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เสนอปฏิรูปกระบวนการให้ตรวจสอบได้(ศาลรัฐธรรมนูญ)

ม.เที่ยงคืนซัดศาลรธน.ไม่เคลียร์ตัวเอง เรียกร้องกดดันไขก๊อกทั้งคณะ เสนอปฏิรูปกระบวนการให้ตรวจสอบได้
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ออกแถลงการณ์เรื่อง "ความรับผิดชอบของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว" โดยระบุว่า แม้ข้อกล่าวหาต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ปรากฏในปัจจุบัน อาจยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร แต่ก็มีผลสั่นคลอนความไว้วางใจของสาธารณชนที่มีต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง ซึ่งตลอดเวลานับตั้งแต่เกิดคำถามขึ้นกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กลับไม่เคยมีการชี้แจงหรือการอธิบายที่จะช่วยสร้างความมั่นใจแก่สาธารณชนในเรื่องความเป็นอิสระ (Independence) และความเที่ยงธรรม (Impartiality) ของตุลาการแต่อย่างใด


แถลงการณ์ระบุว่า บัดนี้ความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่อยู่ในสถานะที่จะทำหน้าที่ของผู้วินิจฉัยได้อย่างชอบธรรมอีกต่อไป จึงขอเรียกร้องให้สังคมร่วมกันกดดันเพื่อให้เกิดการแสดงความรับผิดต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนี้ ประการแรก ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งสร้างความสงสัยต่อความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจให้ความกระจ่างแก่ปัญหาดังกล่าวได้ ประการที่สอง ให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว เพราะถึงแม้จะมีการสับเปลี่ยนตัวบุคคลที่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ปัญหาพื้นฐานสำคัญประการหนึ่งก็คือ สถาบันตุลาการในสังคมไทยเป็นองค์กรที่ปราศจากระบบการตรวจสอบทั้งจากสังคมและระบบการเมือง ซึ่งเมื่อปราศจากการตรวจสอบ การปฏิบัติหน้าที่ก็อาจไม่ได้ดำเนินไปบนหลักการหรือมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรม


"หากปล่อยให้สถาบันตุลาการทำงานโดยไม่มีการตรวจสอบ ปราศจากความรับผิดชอบ และไม่มีความชอบธรรม สถาบันตุลาการจะกลายเป็นองค์กรที่สร้างปัญหาให้กับสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น แต่การมีสถาบันตุลาการที่เป็นอิสระและเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง จะมีส่วนอย่างสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับสังคมการเมืองไทย สังคมจึงต้องตระหนักและร่วมกันผลักดันทั้งในกรณีความรับผิดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในอนาคต" มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนระบุ

ref : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1288858581&grpid=00&catid= 4/11/2010

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"ฮิญาบ" กับ "บุรกา" และสถานะสตรีในสังคมมุสลิม

"ฮิญาบ" กับ "บุรกา" และสถานะสตรีในสังคมมุสลิม

โดย ศราวุฒิ อารีย์ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอ์มินให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงมา...และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกนางลดสายตาของพวกนางลงต่ำและให้พวกนางรักษาสิ่งสงวนของพวกนางและอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้นางปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของนางลงมาถึงหน้าอกของนาง..." (อัลกุรอ่าน 24: 30-31)


เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2010 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศสลงมติด้วยคะแนนเสียง 335 ต่อ 1 เสียง เห็นชอบกฎหมายห้ามหญิงชาวมุสลิมสวมเครื่องแต่งกายที่ปกคลุมใบหน้าอย่างมิดชิดหรือที่เรียกว่า "นิกอบ" และ "บุรกา" ตามที่สาธารณะ โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน


นอกจากนี้ ยังได้อ้างเหตุผลอีกว่าการห้ามสตรีมุสลิมคลุมฮิญาบแบบบุรกาไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติหรือจำกัดสิทธิกันเกินไป แต่สตรีมุสลิมส่วนใหญ่ในฝรั่งเศสก็สวม "ฮิญาบ" แบบธรรมดากันได้อยู่แล้ว


มิเชล อัลเลียต-มารี รัฐมนตรียุติธรรมฝรั่งเศส กล่าวว่า "การอนุมัติครั้งนี้เป็นความสำเร็จสำหรับค่านิยมเรื่องเสรีภาพ, เสมอภาค, ภราดรภาพ และโลกย์วิสัยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส" กฎหมายฉบับนี้จะต้องส่งให้สภารัฐธรรมนูญตรวจสอบและส่งวุฒิสภาลงมติในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ หากผ่านก็จะทำให้ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศยุโรปชาติที่สองต่อจากเบลเยียม ที่ออกกฎหมายกำหนดให้การสวมใส่ชุดบุรกาหรือนิกอบของสตรีมุสลิมในที่สาธารณะ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย


ส่วนฝ่ายคัดค้านก็ออกมาต้าน เช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนจากลอนดอน ได้ประณามการลงมติดังกล่าวโดย จอห์น ดัลฮุยเซน ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรนิรโทษกรรมสากลด้านประเด็นการกีดกันเลือกปฏิบัติในยุโรป กล่าวว่า การห้ามคลุมหน้าอย่างสิ้นเชิงนี้เป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการนับถือศาสนาของสตรีที่ครองนิกอบหรือบุรกา ที่จะแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์หรือศรัทธาความเชื่อของเขาเหล่านั้น


ความจริง ทางการฝรั่งเศสได้ห้ามนักเรียนหญิงและข้าราชการพลเรือนคลุมผมหรือฮิญาบในสถานที่ราชการมาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว แม้ว่านักศึกษาหญิงมุสลิมอาจคลุมฮิญาบในมหาวิทยาลัยให้เห็นบ้างก็ตาม


ฮิญาบและบุรกา


กรณีของการคลุมศีรษะหรือฮิญาบเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันอยู่มาก หากใครที่ได้มีโอกาสเดินทางไปโลกมุสลิมบ่อยๆ หรือคุ้นเคยกับสังคมมุสลิมในไทย โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะพบว่าวัฒนธรรมการใส่ผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมีปรากฏเพิ่มมากขึ้นในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกระแสการฟื้นฟูอิสลาม (Islamic Revivalism) ที่เข้มข้นขึ้นนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 และ 1990 และค่อยๆ แพร่กระจายขยายออกไปทั่ว


คนหัวสมัยใหม่ โดยเฉพาะคนตะวันตก อาจมองวัฒนธรรมการคลุมศีรษะของอาหรับเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ทางเพศ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่คนมุสลิมเองกลับมีมุมมองที่ต่างออกไป มุสลิมบางคนมองเพียงว่าการคลุมศีรษะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการทำตามหลักการศาสนา โดยมิได้มีความหมายสำคัญอันใดที่จะไปเกี่ยวข้องกับการเมือง


ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมการคลุมศีรษะอาจมองได้อีกมุมว่าเป็นการฉายภาพให้เห็นถึง "อิสรภาพ" ที่ผู้หญิงสามารถเลือกที่จะสวมใส่มันได้ อย่างไรก็ตาม สภาวะกดดันทางสังคมโดยเฉพาะจากครอบครัวหรือเพื่อนๆ ก็มีส่วนทำให้ผู้หญิงมุสลิมใส่ฮิญาบกันมากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง บางครอบครัวก็อาจรู้สึกอึดอัดใจเมื่อเห็นลูกสาวหรือหลานสาวตนเองสวมใส่ฮิญาบ


บางคนเชื่อว่าการสวมใส่ฮิญาบแบบสมัครใจ (ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลส่วนตัวหรือสังคม) เป็นการแสดงออกให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของความรู้สึกห่วงแหนอัตลักษณ์มุสลิม บางคนไปไกลถึงขนาดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องความสำคัญของฮิญาบทางการเมืองหรือเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง


แต่ผู้หญิงมุสลิมจำนวนมากก็คิดว่า การอำพรางอวัยวะส่วนที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกทางเพศ (เส้นผมและอื่นๆ) จะทำให้พวกเธอรู้สึกเป็นอิสระมากกว่าในการเดินทางเคลื่อนย้ายใช้ชีวิตที่สาธารณะ เพราะฮิญาบจะป้องกันพวกเธอจากสายตาที่ไม่พึงปรารถนาหรือความสนใจที่แฝงเร้นไปด้วยตัณหาราคะของเพศตรงข้าม


ในอีกมุมหนึ่ง หากฝ่ายชายเห็นฮิญาบก็จะเกิดความเกรงใจและให้ความเคารพมากกว่าผู้หญิงที่ไม่สวมใส่ฮิญาบ แต่ผู้หญิงมุสลิมบางคนก็ใส่ฮิญาบที่หรูหราทันสมัย ราคาแพง และแต่งแต้มสีสันตามความนิยมของแฟชั่นสมัยใหม่


การสวมใส่ฮิญาบต้องแยกประเด็นออกไปต่างหากจากการปิดหน้า ส่วนใหญ่วัฒนธรรมการปิดหน้ามักเห็นอย่างเป็นปกติในประเทศแถบอ่าวเปอร์เซียและพื้นที่บางส่วนของแอฟริกาเหนือ (มุสลิมอพยพส่วนใหญ่ที่อยู่ในฝรั่งเศสมาจากแอฟริกาเหนือ) ผู้หญิงที่ปิดหน้ายังมีความแตกต่างหลากหลาย ตั้งแต่ปิดหน้าทั้งหมดหรือปิดหน้าบางส่วน แต่ในขณะเดียวกันประเทศอย่างตูนิเซียกลับออกกฎหมายห้ามการปิดหน้าอย่างเด็ดขาด


อัลกุรอ่านเองมิได้ระบุอันใดเกี่ยวกับการคลุมหน้าหรือการแยกผู้หญิงไปอยู่ต่างหากภายในบ้าน นักวิชาการบางคนอธิบายว่า วัฒนธรรมที่ว่านี้พัฒนาขึ้นภายหลังและไม่ได้เป็นที่นิยมแพร่หลายในอาณาจักรอิสลาม จนกระทั่งเวลาผ่านไป 3-4 ชั่วอายุคนหลังการจากไปของศาสนทูตมุฮัมมัด


บ้างก็ว่าวัฒนธรรมการปิดหน้าและการแยกผู้หญิงในบ้านไม่ให้ยุ่งย่ามในส่วนที่เป็นพื้นที่ของผู้ชายในโลกมุสลิมนั้นมาจากวัฒนธรรมเปอร์เซียและไบเซนไตน์โบราณ เพราะพวกเขามีวัฒนธรรมการปฏิบัติต่อผู้หญิงเช่นนั้น


สถานะสตรีในสังคมมุสลิม


คนนอกที่ไม่ใช่มุสลิมซึ่งเคยได้เห็นได้ยินและได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงมุสลิม มักจะเข้าใจไปเองว่าพวกเธอต้องตกเป็นเบี้ยล่างและเป็นกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ในสังคม หลายคนเชื่อว่าสถานการณ์เช่นนี้จะต้องได้รับการแก้ไขปรับปรุงอย่างเร่งด่วน


อย่างไรก็ตาม แม้คนนอกอย่างเราจะไม่เห็นด้วยกับสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่เป็นอยู่ในสังคมมุสลิม แต่อย่างน้อยเราก็ควรที่จะต้องพยายามเข้าใจมุมมองอีกด้านหนึ่ง และจะต้องไม่รีบตัดสินหรือกล่าวโทษสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมมุสลิม บางครั้งการรับฟังเหตุผลอีกชุดหนึ่งจากผู้ปฏิบัติอาจทำให้เราเข้าใจโลกได้กว้างขึ้น


ตามความเข้าใจของมุสลิมทั้งชายและหญิง พวกเขาไม่ได้มองว่าประเพณีทางสังคมและขอบเขตข้อจำกัดของผู้หญิงเป็นเรื่องของการกดขี่ แต่เป็นความเหมาะสมตามธรรมชาติของผู้หญิง พวกเขาไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นการละเมิดสิทธิหรือเป็นการกดขี่ผู้หญิง แต่มองว่าการจำกัดขอบเขตผู้หญิงเป็นเสมือนการปกป้องพวกเธอ อันจะทำให้พวกเธอไม่ต้องตกอยู่ในความตึงเครียด การแย่งชิงแข่งขัน การถูกยั่วยุ และการเสียเกียรติยศชื่อเสียงเหมือนที่เกิดขึ้นในสังคมอื่น


ส่วนผู้หญิงมุสลิมเองส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน ก็รู้สึกพอใจและอบอุ่นใจที่ระบบสังคมปัจจุบันยังคงรักษาความมั่นคง การปกป้องดูแล และการเคารพให้เกียรติพวกเธออยู่


โดยธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว สถานะสตรีในสังคมมุสลิมนั้นถูกครอบงำโดยระบบปิตาธิปัตย์หรือระบบสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่มาตลอด ซึ่งเป็นระบบที่มีมาก่อนที่ศาสนาอิสลามจะมาถึงในศตวรรษที่ 7 ฉะนั้น ธรรมเนียมปฏิบัติหลายอย่างที่เกี่ยวกับสถานะสตรีที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันจึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากประเพณีท้องถิ่นและธรรมเนียมปฏิบัติทางสังคมที่สืบทอดต่อเนื่องกันมายาวนาน ซึ่งหลายๆ อย่างก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาหรือไม่ได้เป็นหลักการที่ศาสนากำหนดไว้


ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่ต้องการทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมมุสลิมในหลายๆ แง่มุม
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280914421&catid=02 10/08/2010

"ฮิญาบ" กับ "บุรกา" และสถานะสตรีในสังคมมุสลิม

"ฮิญาบ" กับ "บุรกา" และสถานะสตรีในสังคมมุสลิม

โดย ศราวุฒิ อารีย์ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอ์มินให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงมา...และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกนางลดสายตาของพวกนางลงต่ำและให้พวกนางรักษาสิ่งสงวนของพวกนางและอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้นางปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของนางลงมาถึงหน้าอกของนาง..." (อัลกุรอ่าน 24: 30-31)


เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2010 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศสลงมติด้วยคะแนนเสียง 335 ต่อ 1 เสียง เห็นชอบกฎหมายห้ามหญิงชาวมุสลิมสวมเครื่องแต่งกายที่ปกคลุมใบหน้าอย่างมิดชิดหรือที่เรียกว่า "นิกอบ" และ "บุรกา" ตามที่สาธารณะ โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน


นอกจากนี้ ยังได้อ้างเหตุผลอีกว่าการห้ามสตรีมุสลิมคลุมฮิญาบแบบบุรกาไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติหรือจำกัดสิทธิกันเกินไป แต่สตรีมุสลิมส่วนใหญ่ในฝรั่งเศสก็สวม "ฮิญาบ" แบบธรรมดากันได้อยู่แล้ว


มิเชล อัลเลียต-มารี รัฐมนตรียุติธรรมฝรั่งเศส กล่าวว่า "การอนุมัติครั้งนี้เป็นความสำเร็จสำหรับค่านิยมเรื่องเสรีภาพ, เสมอภาค, ภราดรภาพ และโลกย์วิสัยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส" กฎหมายฉบับนี้จะต้องส่งให้สภารัฐธรรมนูญตรวจสอบและส่งวุฒิสภาลงมติในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ หากผ่านก็จะทำให้ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศยุโรปชาติที่สองต่อจากเบลเยียม ที่ออกกฎหมายกำหนดให้การสวมใส่ชุดบุรกาหรือนิกอบของสตรีมุสลิมในที่สาธารณะ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย


ส่วนฝ่ายคัดค้านก็ออกมาต้าน เช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนจากลอนดอน ได้ประณามการลงมติดังกล่าวโดย จอห์น ดัลฮุยเซน ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรนิรโทษกรรมสากลด้านประเด็นการกีดกันเลือกปฏิบัติในยุโรป กล่าวว่า การห้ามคลุมหน้าอย่างสิ้นเชิงนี้เป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการนับถือศาสนาของสตรีที่ครองนิกอบหรือบุรกา ที่จะแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์หรือศรัทธาความเชื่อของเขาเหล่านั้น


ความจริง ทางการฝรั่งเศสได้ห้ามนักเรียนหญิงและข้าราชการพลเรือนคลุมผมหรือฮิญาบในสถานที่ราชการมาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว แม้ว่านักศึกษาหญิงมุสลิมอาจคลุมฮิญาบในมหาวิทยาลัยให้เห็นบ้างก็ตาม


ฮิญาบและบุรกา


กรณีของการคลุมศีรษะหรือฮิญาบเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันอยู่มาก หากใครที่ได้มีโอกาสเดินทางไปโลกมุสลิมบ่อยๆ หรือคุ้นเคยกับสังคมมุสลิมในไทย โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะพบว่าวัฒนธรรมการใส่ผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมีปรากฏเพิ่มมากขึ้นในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกระแสการฟื้นฟูอิสลาม (Islamic Revivalism) ที่เข้มข้นขึ้นนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 และ 1990 และค่อยๆ แพร่กระจายขยายออกไปทั่ว


คนหัวสมัยใหม่ โดยเฉพาะคนตะวันตก อาจมองวัฒนธรรมการคลุมศีรษะของอาหรับเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ทางเพศ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่คนมุสลิมเองกลับมีมุมมองที่ต่างออกไป มุสลิมบางคนมองเพียงว่าการคลุมศีรษะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการทำตามหลักการศาสนา โดยมิได้มีความหมายสำคัญอันใดที่จะไปเกี่ยวข้องกับการเมือง


ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมการคลุมศีรษะอาจมองได้อีกมุมว่าเป็นการฉายภาพให้เห็นถึง "อิสรภาพ" ที่ผู้หญิงสามารถเลือกที่จะสวมใส่มันได้ อย่างไรก็ตาม สภาวะกดดันทางสังคมโดยเฉพาะจากครอบครัวหรือเพื่อนๆ ก็มีส่วนทำให้ผู้หญิงมุสลิมใส่ฮิญาบกันมากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง บางครอบครัวก็อาจรู้สึกอึดอัดใจเมื่อเห็นลูกสาวหรือหลานสาวตนเองสวมใส่ฮิญาบ


บางคนเชื่อว่าการสวมใส่ฮิญาบแบบสมัครใจ (ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลส่วนตัวหรือสังคม) เป็นการแสดงออกให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของความรู้สึกห่วงแหนอัตลักษณ์มุสลิม บางคนไปไกลถึงขนาดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องความสำคัญของฮิญาบทางการเมืองหรือเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง


แต่ผู้หญิงมุสลิมจำนวนมากก็คิดว่า การอำพรางอวัยวะส่วนที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกทางเพศ (เส้นผมและอื่นๆ) จะทำให้พวกเธอรู้สึกเป็นอิสระมากกว่าในการเดินทางเคลื่อนย้ายใช้ชีวิตที่สาธารณะ เพราะฮิญาบจะป้องกันพวกเธอจากสายตาที่ไม่พึงปรารถนาหรือความสนใจที่แฝงเร้นไปด้วยตัณหาราคะของเพศตรงข้าม


ในอีกมุมหนึ่ง หากฝ่ายชายเห็นฮิญาบก็จะเกิดความเกรงใจและให้ความเคารพมากกว่าผู้หญิงที่ไม่สวมใส่ฮิญาบ แต่ผู้หญิงมุสลิมบางคนก็ใส่ฮิญาบที่หรูหราทันสมัย ราคาแพง และแต่งแต้มสีสันตามความนิยมของแฟชั่นสมัยใหม่


การสวมใส่ฮิญาบต้องแยกประเด็นออกไปต่างหากจากการปิดหน้า ส่วนใหญ่วัฒนธรรมการปิดหน้ามักเห็นอย่างเป็นปกติในประเทศแถบอ่าวเปอร์เซียและพื้นที่บางส่วนของแอฟริกาเหนือ (มุสลิมอพยพส่วนใหญ่ที่อยู่ในฝรั่งเศสมาจากแอฟริกาเหนือ) ผู้หญิงที่ปิดหน้ายังมีความแตกต่างหลากหลาย ตั้งแต่ปิดหน้าทั้งหมดหรือปิดหน้าบางส่วน แต่ในขณะเดียวกันประเทศอย่างตูนิเซียกลับออกกฎหมายห้ามการปิดหน้าอย่างเด็ดขาด


อัลกุรอ่านเองมิได้ระบุอันใดเกี่ยวกับการคลุมหน้าหรือการแยกผู้หญิงไปอยู่ต่างหากภายในบ้าน นักวิชาการบางคนอธิบายว่า วัฒนธรรมที่ว่านี้พัฒนาขึ้นภายหลังและไม่ได้เป็นที่นิยมแพร่หลายในอาณาจักรอิสลาม จนกระทั่งเวลาผ่านไป 3-4 ชั่วอายุคนหลังการจากไปของศาสนทูตมุฮัมมัด


บ้างก็ว่าวัฒนธรรมการปิดหน้าและการแยกผู้หญิงในบ้านไม่ให้ยุ่งย่ามในส่วนที่เป็นพื้นที่ของผู้ชายในโลกมุสลิมนั้นมาจากวัฒนธรรมเปอร์เซียและไบเซนไตน์โบราณ เพราะพวกเขามีวัฒนธรรมการปฏิบัติต่อผู้หญิงเช่นนั้น


สถานะสตรีในสังคมมุสลิม


คนนอกที่ไม่ใช่มุสลิมซึ่งเคยได้เห็นได้ยินและได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงมุสลิม มักจะเข้าใจไปเองว่าพวกเธอต้องตกเป็นเบี้ยล่างและเป็นกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ในสังคม หลายคนเชื่อว่าสถานการณ์เช่นนี้จะต้องได้รับการแก้ไขปรับปรุงอย่างเร่งด่วน


อย่างไรก็ตาม แม้คนนอกอย่างเราจะไม่เห็นด้วยกับสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่เป็นอยู่ในสังคมมุสลิม แต่อย่างน้อยเราก็ควรที่จะต้องพยายามเข้าใจมุมมองอีกด้านหนึ่ง และจะต้องไม่รีบตัดสินหรือกล่าวโทษสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมมุสลิม บางครั้งการรับฟังเหตุผลอีกชุดหนึ่งจากผู้ปฏิบัติอาจทำให้เราเข้าใจโลกได้กว้างขึ้น


ตามความเข้าใจของมุสลิมทั้งชายและหญิง พวกเขาไม่ได้มองว่าประเพณีทางสังคมและขอบเขตข้อจำกัดของผู้หญิงเป็นเรื่องของการกดขี่ แต่เป็นความเหมาะสมตามธรรมชาติของผู้หญิง พวกเขาไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นการละเมิดสิทธิหรือเป็นการกดขี่ผู้หญิง แต่มองว่าการจำกัดขอบเขตผู้หญิงเป็นเสมือนการปกป้องพวกเธอ อันจะทำให้พวกเธอไม่ต้องตกอยู่ในความตึงเครียด การแย่งชิงแข่งขัน การถูกยั่วยุ และการเสียเกียรติยศชื่อเสียงเหมือนที่เกิดขึ้นในสังคมอื่น


ส่วนผู้หญิงมุสลิมเองส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน ก็รู้สึกพอใจและอบอุ่นใจที่ระบบสังคมปัจจุบันยังคงรักษาความมั่นคง การปกป้องดูแล และการเคารพให้เกียรติพวกเธออยู่


โดยธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว สถานะสตรีในสังคมมุสลิมนั้นถูกครอบงำโดยระบบปิตาธิปัตย์หรือระบบสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่มาตลอด ซึ่งเป็นระบบที่มีมาก่อนที่ศาสนาอิสลามจะมาถึงในศตวรรษที่ 7 ฉะนั้น ธรรมเนียมปฏิบัติหลายอย่างที่เกี่ยวกับสถานะสตรีที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันจึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากประเพณีท้องถิ่นและธรรมเนียมปฏิบัติทางสังคมที่สืบทอดต่อเนื่องกันมายาวนาน ซึ่งหลายๆ อย่างก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาหรือไม่ได้เป็นหลักการที่ศาสนากำหนดไว้


ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่ต้องการทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมมุสลิมในหลายๆ แง่มุม
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280914421&catid=02 10/08/2010

กฎหมายว่าด้วยห้ามการปิดหน้าของสตรีมุสลิม กดขี่หรือปลดปล่อย

กฎหมายว่าด้วยห้ามการปิดหน้าของสตรีมุสลิม กดขี่หรือปลดปล่อย

โดย อุสตาซอับดุชชะกูร บิน ชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)


ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนามูฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดิ์แด่ผู้อ่านทุกท่าน


เมื่อ 14 กรกฎาคม 2553 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศส ลงมติด้วยคะแนนเสียง 335 ต่อ 1 เสียง เห็นชอบกฎหมายห้ามหญิงชาวมุสลิมสวมเครื่องแต่งกายที่ปกคลุมใบหน้าอย่างมิดชิด หรือที่เรียกว่า "นิกอบ"และ "บุรกา" ตามที่สาธารณะ


สำหรับผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับเงิน 150 ยูโร (ประมาณ 6,100 บาท) และหากใครบังคับให้สตรีมุสลิมสวมผ้าปิดบังใบหน้า จะต้องโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี และปรับ 15,000 ยูโร (มากกว่า 610,000 บาท) โดยร่างกฎหมายดังกล่าวเตรียมถูกส่งให้วุฒิสภาพิจารณาลงมติในเดือนกันยายนนี้ ก่อนจะบังคับใช้เป็นกฎหมาย


ด้านกระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศส ประเมินว่า ขณะนี้มีหญิงชาวมุสลิมสวมผ้าปิดบังทั้งร่างกายเพียง 1,900 คน จากจำนวนชาวมุสลิมทั้งประเทศที่มีมากกว่า 5 ล้านคน


จากกฎหมายดังกล่าวจะทำให้สตรีมุสลิมที่มีความต้องการจะปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามไม่สามารถปฏิบัติได้ในกรณีดังกล่าวหากวุฒิสภาลงมติรับรองในเดือนกันยายนนี้


ในขณะที่ผู้ที่เห็นด้วยในกฎหมายนี้มองว่าเป็นกฎหมายที่ช่วยปลดปล่อยสตรีมุสลิมเองให้เป็นไทจากการกดขี่สตรีเพศ


อะไรคือหลักการของศาสนาอิสลามที่ทำให้บรรดาสตรีมุสลิมมีความประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะปฏิบัติตามหลักศาสนาซึ่งเป็นกฎหมายของพระเจ้าและอาจจะทำให้หลายคนยอมฝ่าฝืนกฎหมายของฝรั่งเศส ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นกฎหมายของมนุษย์ และสตรีผู้ศรัทธาอันแรงกล้ากลับมองว่า การปิดหน้าเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพในการปกป้องสตรีจากความเหลวทรามของยุคเซ็กซ์เสรี ที่ผู้ชายพยายามใช่สตรีเป็นเครื่องมือหรือสินค้าหรือทาสทางวัตถุให้กับพวกเขาต่างหาก


จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ผู้เขียนได้อธิบายเหตุผลของสตรีมุสลิมที่เคร่งครัดหรือสุดโต่งตามทรรศนะตะวันตกและแนวร่วมดังนี้


1. การแต่งกายของสตรีมุสลิมตามหลักการอิสลาม


สตรีมุสลิมเมื่อบรรลุศาสนภาวะ มีความจำเป็นจะต้องแต่งกายที่มิดชิดซึ่งเรียกว่า ฮิญาบ เพื่อการปกป้อง ศักดิ์ศรีของความเป็นสตรีจากบุรุษเพศที่ใช้สายตาตามอารมณ์ฝ่ายต่ำในการลวนลาม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก่ออาชญากรรม หรือความเสื่อมทรามทางสังคมที่ไม่อาจคำนวณนับได้นั้น


2. คำนิยามของฮิญาบ


คำว่า ฮิญาบ มาจากรากศัพท์คำว่า (hajaba yahjibu hijba wa hijabba) แปลว่า ซ่อน ปกปิด กีดกั้น


ในขณะคำนิยามของฮิญาบตามศาสนบัญญัติหมายถึงการปกปิดร่างกายและเครื่องประดับเว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ (ใบหน้าและฝ่ามือ) ยกเว้นผู้ที่ได้รับการยกเว้น ดั่งที่อัลลอฮฺได้โองการไว้ความว่า


"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดาสตรีผู้ศรัทธาให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาของสงวนของพวกเธอไว้ อย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ อย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺเถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ยเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ" (อัลกุรอาน บทอันนูร / 31)


3. การคลุมหน้า


เมื่อพิจารณาคำว่าฮิญาบในความหมายตามทรรศนะศาสนบัญญัตินั้นสตรีมุสลิมไม่จำเป็นต้องคลุมหน้า ("นิกอบ" และ "บุรกา" ) และเหตุใดมีสตรีมุสลิมหลายคนทั้งในประเทศอาหรับหรือในฝรั่งเศสคลุมหน้าอย่างเปิดเผยซ้ำยอมเสี่ยงในการทำผิดกฎหมายของฝรั่งเศส หากกฎหมายดังกล่าวประกาศใช้หรือถูกรับรองจากวุฒิสภาพิจารณาลงมติในเดือน ก.ย. นี้


ปราชญ์อิสลามศึกษาในอดีตได้ให้ทรรศนะที่สอดคล้องกันว่าสตรีมุสลิมปกติสามารถเปิดเผยใบหน้าและฝ่ามืดได้ (ทั้ง 4 สำนักคิดไม่ว่าจะเป็นหะนาฟียะฮ์ มาลิกียะห์ ชาฟิอียะห์ และ ฮัมบาลียะห์ โปรดดู Abd al - Rahman al-Jaziri. N.d. al-Figh ala al-Mazhab al-Arbaah. 5/54) หากไม่เกิดอันตรายต่อสตรี เช่น สตรีวัยรุ่นหรือผู้มีใบหน้าสวยอาจจะทำให้ชายมองแล้วหลงใหล แต่มิได้หมายความว่าการปิดหน้าเป็นสิ่งที่ผิดในทางกลับกัน ปราชญ์ในอดีตมองว่าควรส่งเสริมไม่ถึงขั้นจำเป็นต้องทำ หากไม่ทำจะบาป


ซึ่งสอดคล้องกับปราชญ์ร่วมสมัย อย่างเช่น ชัยค์ ดร.ยูซุฟ อัล-ก๊อรฏอวีย์ ปราชญ์ส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร และมหาวิทยาลัยอิสลามเก่าแก่อื่นๆ อย่างชัยตูนะฮฺ (ตูนิเซีย) และกอรอวียีน (โมร็อกโก) และชัยค์นาศิรุดดีนอัล-อัลบานียฺ


จากเหตุผลดังกล่าวทำให้สตรีบางท่าน (ในที่นี้หมายถึงพ่อ สามีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลสตรีตามศาสนบัญญัติ ซึ่งผู้ปกครองบางท่านบังคับสตรีภายใต้ปกครอง) คลุมหน้า หรือ นิกอบและบุรกาเมื่อต้องออกจากที่พักอาศัยดังเช่นในภาคใต้ของประเทศไทย ตะวันออกกลางหรือฝรั่งเศสในปัจจุบัน


ปิดหน้า : กดขี่หรือปลดปล่อย


นักสิทธิมนุษยชนตะวันตกส่วนใหญ่ รวมทั้งผู้ที่เห็นด้วยในกฎหมายของฝรั่งเศสฉบับนี้ มองว่ากฎหมายการห้ามปิดหน้าเป็นการช่วยปลดปล่อยสตรีมุสลิมเองให้เป็นไทจากจากการกดขี่สตรีเพศ


อัลอัค นักวิชาการมุสลิมไทยร่วมสมัยได้ให้ทรรศนะพอสรุปใจความได้ว่า การแสดงการเป็นผู้ปลดปล่อยสตรีทำแค่เพียงแค่กระชากผ้าปิดหน้าผืนหนึ่งออกจากใบหน้าของสตรีมุสลิมกระนั้นหรือ?


การไม่มีผ้าปิดหน้าถือเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะแห่งการปลดปล่อยสตรีมุสลิมให้เป็นไท สู่ความเสมอภาคระหว่างชายหญิงกระนั้นหรือ?


ขณะที่ภาพสตรีจำนวนมากมายในเอเชียใต้ที่ถือกะลาขอทาน ถูกพูดในแง่มุมนี้น้อยเกินไป หรือว่าพวกเธอเหล่านั้นไม่มีผ้าปิดหน้า... ความยากจนไม่มีอันจะกินของผู้หญิงจำนวนหลายร้อยล้านถือว่าเป็นประเด็นอื่นไม่เกี่ยวกับสิทธิของสตรีกระนั้นหรือ?


การกระแหนะกระแหนของบางคนที่มีต่อผ้าคลุมหน้าเป็นเรื่องที่ไม่วางอยู่บนตรรกะ และบางทีก็ขาดความยุติธรรมอย่างเห็นได้ชัด เป็นไปได้ว่าบางคนปิดหน้าอย่างไม่เข้าใจ ปิดหน้าตาม


กลุ่มชนที่ตนอาศัยอยู่ และก็เป็นไปได้ว่าคนปิดหน้าจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้หนังสือ แต่นี้ไม่ใช่ความผิดของผ้าคลุมหน้า การกล่าวถึงมุสลิมะฮฺที่ปิดหน้าว่าเป็นพวกสุดโต่งหรือเลยเถิดนั้น จัดว่าเป็นถ้อยคำที่อธรรม การปฏิบัติตามทรรศนะทางนิติศาสตร์แบบเข้มงวดใดๆ ที่ได้มาจากปราชญ์มุสลิมนั้นมิใช่ความสุดโด่ง แต่ความสุดโต่งอยู่ที่การไปบังคับคนอื่นทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ปฏิบัติตามทรรศนะของตนเองต่างหาก


กฎหมายอิสลามนั้น ไม่ใช่กฎหมายที่มองอะไรเพียงด้านเดียว หรือไม่มีเหตุมีผล ในแง่หนึ่งนั้น อิสลามก็มุ่งปกป้องคุ้มกันจริยธรรมของมนุษย์ให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง และในอีกแง่หนึ่งก็คำนึงถึงความจำเป็นต่างๆ ของมนุษย์ด้วย ดังนั้น จึงก่อให้เกิดความสมดุลทั้งสองด้านของชีวิต...ดังนั้น นางก็อาจเปิดใบหน้าได้ถ้าต้องการเมื่อมีความจำเป็น ขอเพียงว่านางอย่าได้ประสงค์จะอวดความงาม...บทบัญญัติที่มีเหตุผลนั้นยืดหยุ่นได้ มีทั้งความเข้มงวดเคร่งครัดและโอนอ่อนผ่อนตามสถานการณ์ มีข้อยกเว้นในตัวบทตามกาละเทศะ บทบัญญัติเช่นนี้ ไม่ใช่ให้หลับหูหลับตาตาม แต่ต้องมีการพินิจพิเคราะห์ด้วย..." (ดู การคลุมหน้ากับสถานภาพสตรีในอิสลาม โดย อบุล อะอฺลา เมาดูดียฺ น. 405-407)


ผ้าปิดหน้าจึงกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญในอารยธรรมมุสลิม แต่มิใช่สัญลักษณ์แห่งการกดขี่ แต่เป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพในการปกป้องตัวเองที่สตรีมุสลิมสามารถเลือกได้ มิใช่การนำไปใช้แบบแข็งทื่อที่มีรูปแบบเดียว และมิใช่การประกาศความเคร่งในศาสนาว่าใครเหนือกว่าใคร แต่เป็นสัญลักษณ์ของการปลดปล่อยตนเองจากการแสดงอำนาจของผู้ชายด้วยการเลือกที่จะใช้มันอย่างไร?


เป็นที่น่าเสียดายว่าสังคมโลกในยุคประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนแบ่งบานพยายามไปบังคับสตรีผู้ที่แสดงเจตนารมณ์อย่างแรงกล้าที่ต้องการปิดหน้าเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของตัวเขาเองแต่กลับเมินเฉยกับสตรีหรือบุรุษเพศที่พยายามเปลือกาย สร้างความหายนะทางศีลธรรมต่อสังคมโลกและเซ็กซ์เสรีจนนำสู่การแพร่ระบาดของโรคร้ายมากมายทั้งสังคมไทยและสังคมโลก


นี่คือมุมมองที่แตกต่างระหว่างแนวคิดของอิสลามกับตะวันตกและการปิดหน้าเป็นเพียงหนึ่งกรณีตัวอย่างเท่านั้นของการต่อสู้ระหว่างแนวคิดของตะวันตกกับอิสลามในยุคโรคกลัวอิสลาม หรือ Islamophobia
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280914690&catid=02 10/08/2010

ปราสาทพระวิหาร เอ็มโอยู 2543 และแผนที่ : พวงทอง ภวัครพันธุ์

ปราสาทพระวิหาร เอ็มโอยู 2543 และแผนที่

โดย พวงทอง ภวัครพันธุ์


ปราสาทพระวิหาร เอ็มโอยู 2543 และแผนที่

สถานการณ์ร้อนแรงระหว่างไทย-กัมพูชาลดระดับลงไป เมื่อคณะกรรมการมรดกโลกตัดสินใจเลื่อนพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลกปราสาทพระวิหารของกัมพูชาออกไปเป็นปีหน้า

แน่นอนว่านี่เป็นการผัดผ่อนปัญหาไปชั่วคราวเท่านั้น เรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ

อย่างไรก็ตาม จากการประท้วงของกลุ่มชาตินิยมครั้งล่าสุดนี้ มีประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนต้องการถกเถียง ในที่นี้ คือ กรณีเอ็มโอยู ปี 2543 และคำอธิบายของ กลุ่มชาตินิยมที่มีต่อแผนที่เจ้าปัญหา

ควรยกเลิก MOU 2543 จริงหรือ?

หนึ่งในข้อเรียกร้องของกลุ่มชาตินิยมคือ ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 (เอ็มโอยู 2543) ที่ลงนามโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.กระทรวงการต่างประเทศไทยในขณะนั้น และนายวาร์ คิม ฮง ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการชายแดนของกัมพูชา เหตุผลที่ต้องยกเลิกก็เพราะเอ็มโอยู 2543 ระบุว่า หนึ่งในเอกสารที่ต้องใช้ในการปักปันเขตแดนทางบก คือ แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศสตามอนุสัญญาปี ค.ศ.1904 และ สนธิสัญญาปี ค.ศ.1907 ซึ่งมีความหมายรวมถึง แผนที่ที่ทำให้ไทยแพ้คดีปราสาทพระวิหารในปี 2505 หรือที่ฝ่ายไทยชอบเรียกว่าแผนที่ 1 : 200000 แต่ในที่นี้จะเรียกว่าแผนที่ตอนเทือกเขาดงรัก

เรื่องนี้ดูจะสร้างความตระหนกให้แก่กลุ่มชาตินิยมไม่น้อย เพราะพวกเขายืนยันมาโดยตลอดว่า ไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ฉบับนี้ (ฉะนั้น ไทยจึงไม่ต้องยอมรับคำตัดสินของศาลโลกที่ยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา) แต่ปรากฏว่าพวกเขาได้ค้นพบว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่พวกเขาช่วยกันอุ้มชู กลับเป็นผู้ไปทำเอ็มโอยูที่แสดงการยอมรับแผนที่เจ้าปัญหาเสียเอง ฉะนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์จะต้องเลิกเอ็มโอยูโดยด่วนที่สุด!

คำถามที่จะต้องถามคือ

1.ไทยจะอ้างเหตุผลอะไรเพื่อยกเลิกเอ็มโอยู 2543

2.การยกเลิกจะทำให้ประเทศไทยได้และเสียอะไรบ้าง

ตอบคำถามแรก : เอ็มโอยู 2543 ไม่มีส่วนใดที่ระบุว่าคู่สัญญาสามารถบอกเลิกหรือเพิกถอนได้แต่โดยลำพัง ทั้งนี้ อนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ.1969 ได้กำหนดว่า ในกรณีหนังสือสัญญาไม่ได้ระบุเรื่องการบอกเลิกหรือเพิกถอน ก็จะกระทำไม่ได้ ยกเว้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมขั้นพื้นฐานของสนธิสัญญาดังกล่าว

ในกรณีนี้ ไทยจะใช้เหตุผลอะไรเพื่อขอยกเลิกเอ็มโอยู การมาค้นพบภายหลังว่าแผนที่ที่ใช้ปักปันเขต แดนมีปัญหา ย่อมไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสภาพแวด ล้อมขั้นพื้นฐาน

ตอบคำถามที่สอง : หากรัฐบาลอภิสิทธิ์เต้นไปตามแรงกดดันชาตินิยม และตัดสินใจเลิกเอ็มโอยูนี้ สิ่งที่ประเทศไทยจะได้ก็คือ นายกฯที่มีคะแนนนิยมที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ก็คงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น โชคดีที่ครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ไม่ใจร้อนเหมือนปีที่แล้ว ที่ด่วนบอกเลิกเอ็มโอยูการปักปันพื้นที่ไหล่ทวีป กับการให้ความช่วยเหลือสร้างถนนแก่กัมพูชา

การจะตอบคำถามว่า การยกเลิกเอ็มโอยูจะทำให้ไทยเสียอะไรบ้าง จะต้องกลับไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับแผนที่เจ้าปัญหาชุดนี้เสียก่อน กล่าวคือ


แผนที่แสดงพื้นที่ที่มีการปักหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา




แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศสชุดนี้มีทั้งหมด 11 ตอน (ระวาง) ครอบคลุมเขตแดนทางบกด้านตะวันออกของไทย ตั้งแต่ลาว ลงมาถึงกัมพูชา (ตอนเทือกเขาดงรักหรือบริเวณปราสาทพระวิหาร เป็นหนึ่งใน 11 ตอน)

ฉะนั้น แผนที่ชุดนี้จึงไม่ได้ถูกใช้เป็นหลักฐานในการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาเท่านั้น แต่ยังถูกใช้ในการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-ลาวด้วย

หากฝ่ายไทยขอยกเลิกเอ็มโอยู 2543 กับกัมพูชา ด้วยเหตุผลว่าไทยไม่ยอมรับแผนที่ชุดนี้ ก็อาจกระทบต่อการปักปันเขตแดนที่กระทำร่วมกับลาวด้วย เพราะหากไทยไม่ยอมรับสถานะของแผนที่ชุดนี้ในความสัมพันธ์กับกัมพูชา แต่หันไปบอกกับลาวว่า ไม่เป็นไร ไทยยินดีใช้แผนที่ชุดนี้เพราะมันเป็นหลักฐานที่ทำให้ไทยได้เปรียบ กรณีพิพาทบ้านร่มเกล้า... เหตุผลเช่นนี้ก็คงพิลึกดี

สิ่งที่สังคมไทยควรรับทราบไว้ก็คือ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นับแต่ไทยสามารถทำข้อตกลงเพื่อปักปันเขตแดนกับลาวและกัมพูชาได้ กระบวนการปักปันเขตแดนด้านตะวันออกได้ก้าวหน้าไปอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ ข้อมูล กต. ระบุว่า เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาที่มีความยาวทั้งสิ้น 798 กม. ได้ปักหลักเขตแดนไปแล้ว 603 กม. คือตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ-บ้านหาดเล็ก จ.ตราด ส่วนที่ยังไม่ได้ปักหลักมีระยะทาง 195 กม. ซึ่งก็คือตอนเทือกเขา ดงรัก ที่ตั้งของปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. นั่นเอง

ในส่วนของพรมแดนไทย-ลาว การปักหมุดเขต แดนทางบกสามารถดำเนินไปได้ถึงร้อยละ 96 หรือเท่ากับ 676 กม. จากพื้นที่ทั้งหมด 702 กม. ส่วนที่ไม่ค่อยคืบหน้าก็คือ บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง (บริเวณบ้านร่มเกล้า) (ดูเว็บ กต. www.mfa.go.th/ laos/laos.php)

หากมีการยกเลิกเอ็มโอยู ความพยายามที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดันเพื่อยุติ-ป้องกันความขัดแย้งเหนือดินแดนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ย่อมหยุดชะงักลงทันที

อย่างไรก็ตาม คำอธิบายเพียงแค่นี้อาจยังไม่เป็นที่พอใจของกลุ่มชาตินิยม ที่มักเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้อง โง่ ไม่ทำการบ้าน แต่ในกรณีเอ็มโอยู 2543 เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?

สิ่งที่กลุ่มชาตินิยมไม่ได้อ้างถึงก็คือ เอ็มโอยู 2543 ยังระบุถึงเอกสารอีกชุดหนึ่ง ที่ต้องใช้ประกอบการสำรวจและปักหลักเขตแดน นั่นก็คือ อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1907 เอกสารทั้งสองนี้ระบุว่า การปักปันเขตแดนบริเวณเทือกเขาดงรัก ให้ยึดเส้นสันปันน้ำ อันเป็นหลักการที่ไทยยืนยันมาโดยตลอด

ในแง่นี้เอ็มโอยู 2543 จึงประกอบด้วยเอกสารที่ถ่วงดุลอำนาจในการต่อรองและผลประโยชน์ของคู่เจรจาทั้งสองฝ่าย ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติในการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศ เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยืนยันให้ใช้แต่เฉพาะเอกสารที่ให้ประโยชน์กับฝ่ายตนเท่านั้น การเจรจาก็ไม่มีทางคืบหน้าไปได้

นอกจากนี้ มันยังหมายความต่ออีกว่า เจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องก็เห็นประโยชน์จากแผนที่ชุดนี้เช่นกัน เพราะในจำนวน 11 ตอน มีเฉพาะตอนเทือกเขาดงรักเท่านั้นที่ฝ่ายไทยไม่ยอมรับ แต่อีก 10 ตอนที่เหลือ จะช่วยให้ไทยแก้ปัญหาเรื่องดินแดนกับเพื่อนบ้านได้

ไทยไม่เคยยอมรับแผนที่จริงหรือ?

เหตุผลที่ฝ่ายชาตินิยมตอกย้ำ และนายกฯอภิสิทธิ์รับมาเป็นจุดยืนของตนด้วยก็คือ ไทยไม่มีภาระผูกพันต่อแผนที่ตอนเทือกเขาดงรัก และไม่เคยยอมรับ เพราะเส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่ไม่ได้ลากตามเส้นสันปันน้ำดังที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา, ฝรั่งเศสกระทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียว คณะกรรมการปักปันเขตแดนของไทยไม่ได้เข้าร่วมด้วย, ไทยไม่เคยให้สัตยาบันรับรองแผนที่นี้, ไทยถูกฝรั่งเศส ซึ่งเป็น ประเทศใหญ่กว่า กดดันรังแกให้ต้องยอมรับแผนที่ และในขณะนั้น ไทยไม่มีความรู้เรื่องการทำแผนที่ จึงรับแผนที่มาโดยไม่รู้ว่าเส้นเขตแดนไม่ตรงกับเส้นสันปันน้ำ (แม้ว่าสยามได้ก่อตั้งกรมแผนที่ขึ้นมาแล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ.2428 ก็ตาม)

อันที่จริงทีมงานกฎหมายที่นำโดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็ใช้เหตุผลเหล่านี้เพื่อต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลก และทำให้ไทยแพ้มาแล้ว และศาลโลกก็ได้โต้แย้งเหตุผลไปแล้วด้วย โดยศาลโลกยืนยันว่าไทยมีภาระผูกพันต่อแผนที่ตอนเทือกเขา ดงรัก เพราะมีหลักฐานว่าไทยได้เคยตีพิมพ์ เผยแพร่ และจัดส่งแผนที่ทั้ง 11 ตอนหลายครั้งหลายครา ซึ่ง "เพียงพอที่จะก่อให้เกิดผลทางกฎหมายได้" โดยสรุปได้ดังนี้ (ดูคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร)

1.เมื่อสถานทูตไทย ณ กรุงปารีส ได้รับแผนที่ทั้ง 11 ตอน อัครราชทูตไทยได้มีหนังสือไปยังกระทรวงการต่างประเทศในกรุงเทพฯ มีข้อความตอนหนึ่งว่า

"ในเรื่องที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนผสม ตามคำร้องขอของกรรมการฝ่ายสยามให้กรรมการฝ่ายฝรั่งเศสช่วยจัดทำแผนที่เขตแดนต่างๆ ขึ้นนั้น บัดนี้ คณะกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสได้ปฏิบัติงานเสร็จเรียบ ร้อยแล้ว"

อัครราชทูตไทยคนดังกล่าวยังระบุว่า ตนได้รับแผนที่จำนวน 50 ชุด และจะได้ส่งแผนที่อย่างละชุดไปยังสถานทูตไทยในยุโรปและอเมริกา นอกจากนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีมหาด ไทยยังได้ขอบคุณอัครราชทูตฝรั่งเศส ณ กรุงเทพฯ สำหรับแผนที่เหล่านั้น และได้ทรงขอแผนที่จากฝรั่งเศสอีกอย่างละ 15 ชุดเพื่อส่งไปให้ผู้ว่าราชการ จังหวัดต่างๆ ของสยาม

ศาลโลกเห็นว่าข้อความในหนังสือดังกล่าวชี้ว่า เจ้าหน้าที่สยามรับรู้ว่าแผนที่ที่ตนได้รับนั้นคือ ผลงานปักปันเขตแดน ที่รัฐบาลสยามได้ "ร้องขอ" ให้ฝ่ายฝรั่งเศสจัดทำให้ตนนั่นเอง

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สยามได้ยอมรับแผนที่ โดยมิได้มีการตรวจสอบโดยตนเอง "จึงไม่อาจที่จะอ้างในเวลานี้ได้ว่ามีข้อผิดพลาดอันเป็นการลบล้างความยินยอมที่แท้จริงได้"

2.เหตุการณ์ในยุคหลัง ร.5 ยังชี้ว่าสยามได้ยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 ในทางพฤตินัยและไม่ได้สนใจที่จะคัดค้านแผนที่นี้ แม้ว่าจะมีโอกาสหลายครั้งก็ตาม

กล่าวคือ ในช่วงปี พ.ศ.2477-2478 ไทยได้ทำ การสำรวจบริเวณนี้ด้วยตนเอง แล้วพบว่าเส้นสันปันน้ำกับเส้นบนแผนที่ไม่ตรงกัน และฝ่ายไทยได้จัดทำแผนที่ขึ้นมาเอง โดยแสดงว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตไทย แต่ประเทศไทยก็ยังคงใช้แผนที่ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสตลอดมา

และที่น่าประหลาดใจยิ่งขึ้นก็คือ ในปี พ.ศ.2480 ในการลงนามในสนธิสัญญากับฝรั่งเศสเพื่อยืนยันเส้นเขตแดนร่วมที่มีอยู่แล้วอีกครั้งหนึ่ง "กรมแผนที่ของสยามก็ยังคงพิมพ์แผนที่แสดงว่าพระวิหารอยู่ในเขตของกัมพูชาอยู่อีก"

ประเทศไทยมีโอกาสขอแก้ไขเส้นเขตแดนที่ผิดพลาดอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.2490 หรือหลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 ที่ไทยต้องคืนดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ และจำปาสัก ให้แก่ฝรั่งเศส ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการประนอมฝรั่งเศส-ไทยขึ้น โดยภาระหน้าที่ประการหนึ่งคือตรวจแก้ไขเส้นเขตแดนซึ่งไทยอาจยกขึ้นมา ซึ่งไทยได้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับเส้นเขตแดนในหลายบริเวณด้วยกัน

แต่กลับไม่เคยร้องเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเลย แต่กลับยื่นแผนที่ฉบับหนึ่งต่อคณะกรรมการซึ่งแสดงว่าพระวิหารอยู่ในกัมพูชา

ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการปฏิบัติหลายครั้งหลายหนของฝ่ายไทยที่แสดงการยอมรับแผนที่ตอนเทือกเขาดงรัก ศาลโลกจึงมีข้อวินิจฉัยว่า "ประเทศไทยได้ยอมรับเส้นเขตแดนตรงจุดนี้ดังที่ลากไว้บนแผนที่โดยไม่คำนึงว่าจะตรงกันกับเส้นสันปันน้ำหรือไม่"

ถึงแม้ว่าศาลโลกจะไม่ได้ตัดสินให้ตามคำขอของกัมพูชาที่ว่า แผนที่ตอนเทือกเขาดงรักมีสถานะเท่ากับสนธิสัญญา และเส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่เป็นเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา แต่ไทยก็ต้องตระหนักว่าศาลโลกมีความเห็นว่า

"ประเทศไทยใน ค.ศ.1908-1909 ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1 ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้ จึงได้รับรองเส้นบนแผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา ศาลมีความเห็นต่อไปว่า เมื่อพิจารณาโดยทั่วๆ ไป การกระทำต่อๆ มาของไทยมีแต่ยืนยัน และชี้ให้เห็นชัดถึงการยอมรับแต่แรกนั้น และว่าการกระทำของไทยในเขตท้องที่ก็ไม่พอเพียงที่จะลบล้างข้อนี้ได้ คู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยการประพฤติปฏิบัติของตนเองได้รับรองเส้นแผนที่นี้ และดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นการตกลงให้ถือว่าเส้นนี้เป็นเส้นเขตแดน"

ไทยต้องตระหนักว่า รัฐบาลกัมพูชามีสิทธิร้องขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาปี 2505 ได้โดยลำพัง เพื่อให้ศาลชี้ขาดว่า เส้นเขตแดนในบริเวณพิพาทคือเส้นเขตแดนตามที่ปรากฏในแผนที่เจ้าปัญหาหรือไม่

ผู้เขียนเชื่อว่า หากความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาเลวร้ายลงเรื่อยๆ กัมพูชาจะเลือกใช้หนทางนี้เพื่อยุติปัญหาที่ยืดเยื้อมานานเสียที

ปัญหาคือ หากศาลชี้ขาดให้เป็นคุณกับฝ่ายกัมพูชา สังคมไทยจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้อย่างไร ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อการสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม. หรือใครบ้างจะต้องกลายเป็นแพะรับบาป ความ สัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะเลวร้ายลงไปอีกเพียงใด ไม่มีใครรับประกันได้

บางทีการกลับไปอ่านเอกสารหลักฐานเก่าบ้าง อาจช่วยทำให้ผู้นำไทยมีสติมากขึ้น ไม่ต้องวนเวียนกับคำอธิบายเก่าๆ ที่เคยถูกตีตกไปแล้ว ประการสำคัญ อาจทำให้เราพยายามคิดหาหนทางใหม่ๆ ในการแก้ไขข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ต้องอิงกับกระแสชาตินิยมมากจนเกินไป
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280819775&grpid=no&catid=02 10/08/2010

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปฏิบัติการ "ล่าแม่มด" กับการตอกลิ่มความขัดแย้งในสังคม

ปฏิบัติการ "ล่าแม่มด" กับการตอกลิ่มความขัดแย้งในสังคม

โดย พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



ท่ามกลางวาทกรรม "รู้รักสามัคคี" "รักกันไว้เถิด" "อย่าโกรธเกลียดทำร้ายกัน" สิ่งที่ดำเนินควบคู่กันไปก็คือ กระบวนการทำลายความชอบธรรมขบวนการคนเสื้อแดงอย่างเข้มข้นรุนแรงทั้ง โดยรัฐบาล สื่อมวลชนส่วนใหญ่ มวลชนสารพัดสี และเครือข่ายทางสังคมในโลกไซเบอร์

ขบวนการที่ชอบเรียกร้องให้สังคมไทยต้องรู้รักสามัคคีเหล่านี้ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการทำให้ภาพพจน์ของคนเสื้อแดงมีความหมายเท่ากับ ความรุนแรง ความถ่อย โจรสถุล ผู้หลงผิด ขบวนการล้มเจ้า และผู้ก่อการร้าย ฯลฯ

ความสำเร็จดังกล่าวทำให้สังคมไทย ที่เราเห็นผ่านจอทีวี วิทยุ และหน้าหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ จึงไม่ได้รู้สึกโศกสลดต่อการตายของคนเสื้อแดงแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็น 21 ศพเมื่อวันที่ 10 เมษายน หรือกว่า 80 ศพที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ

สำหรับบางคนการสูญเสียโรงหนังสยามอันเก่าแก่ดูน่าโศกสลดเสียยิ่งกว่าการตายของคนเสื้อแดงที่ "เกิดร่วมแดนไทย" กับพวกเขา

ความสำเร็จในการทำลายความชอบธรรมคนเสื้อแดง ทำให้คนในเมืองไม่เคยได้ยินเสียงกู่ร้องทวง "สิทธิและความยุติธรรมทางการเมือง" ของคนเสื้อแดง ไม่เห็นว่าภาวะสองมาตรฐานที่พวกเขาพากันสนับสนุนการรัฐประหารและวิธีการของกลุ่มพันธมิตร เพื่อโค่นล้มรัฐบาลทักษิณด้วยวิธีนอกระบบ ฯลฯ ได้สร้างความรู้สึก "อยุติธรรม" ให้กับคนเสื้อแดงอย่างไร

เมื่อไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง พวกเขาจึงตีความตามประสาอภิสิทธิ์ชนว่า เพราะความยากจน จึงทำให้พวกบ้านนอกต้องเคลื่อนขบวนเข้ายึดกรุงเทพฯ จึงถึงเวลาที่พวกเขาต้องแสดงความเมตตาต่อคนยากไร้ ต่อไปนี้เราต้องช่วยกันปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองเพื่อสร้างความกินดีอยู่ดีให้พี่น้องชาวชนบท พวกเขาจะได้ไม่กลายเป็นผู้หลงผิด ถูกนักการเมืองชั่วหลอกเข้าเมืองอีก คนเสื้อแดงโปรดใจเย็น รัฐบาลกำลังจะส่งโครงการปฏิรูปเศรษฐกิจ-การเมืองไปให้ท่าน

ความสำเร็จของขบวนการทำลายความเป็นมนุษย์ของคนเสื้อแดงในครั้งนี้ ช่างคล้ายคลึงกับสถานการณ์เมื่อ 34 ปีที่แล้ว ที่บรรดาชนชั้นกลางในเมืองช่วยกันเชียร์ให้อำนาจรัฐช่วยกันกวาดล้างนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519

หลัง 6 ตุลา แม้นักศึกษาจะพ่ายแพ้ ขบวนการนักศึกษาถูกทำลายจนต้องพากันหนีหัวซุกหัวซุนเข้าป่า แต่กระบวนการ "ล่าแม่มด" ของรัฐบาลขวาจัด ธานินทร์ กรัยวิเชียร ก็ยังไล่ล่า-คุกคาม ผู้คนต่อไป โดยมีประกาศคณะปฏิวัติที่ให้อำนาจล้นฟ้าแก่กลไกตำรวจ-ทหาร

ณ เดือนพฤษภาคม 2553 ขบวนการคนเสื้อแดงได้ถูกบดขยี้อย่างไร้ความปรานีจากอำนาจรัฐ แกนนำเกือบทั้งหมดถูกจับกุม มวลชนแตกกระสานซ่านเซ็นกลับสู่บ้านเกิดของตนด้วยน้ำตานองหน้า และความโกรธแค้นที่ไม่มีใครไยดี

แต่กระบวนการล่าแม่มดก็ยังดำเนินต่อไป ควบคู่ไปกับภาษาหวานๆ ของบรรดาผู้นำรัฐบาล กองทัพ ปัญญาชน สื่อมวลชนว่า "เราต้องช่วยกันเยียวยา" สังคมไทย

ภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่เป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของรัฐที่จะละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้อย่างเต็มที่ ขบวนการล่าแม่มดของรัฐบาล ได้เริ่มปรากฏตัวให้เห็นเมื่อ ศอฉ.เปิดเผยเครือข่ายขบวนการล้มเจ้า ที่กวาดเอาคนจำนวนมาก ทั้งนายพล นักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ จนถึงนักศึกษาตัวเล็กๆ เข้ามารวมเป็นก๊วนเดียวกัน ต่อมาก็ประกาศรายชื่อแบล๊คลิสต์แหล่งเงินทุนสนับสนุนกิจกรรมของคนเสื้อแดง ซึ่งมีทั้งเศรษฐีพันล้านและนักวิชาการยาจก อย่างจรัล ดิษฐาอภิชัย รวมอยู่ด้วย

เมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์สามารถบดขยี้ขบวนการเสื้อแดงในกรุงเทพฯลงแล้ว พวกเขาย่อมต้องพยายามหาทางขุดรากถอนโคนขบวนการเสื้อแดงต่อไป บรรดาฮาร์ดคอร์ การ์ด และแกนนำคนเสื้อแดงท้องถิ่นในเขตภาคอีสานและภาคเหนือ จะไม่มีวันได้อยู่เย็นเป็นสุขไปอีกนาน และอาจรวมถึงบรรดาผู้ที่พยายามขุดค้นหาความจริงในวันที่ 19 พฤษภาคมเพื่อโต้แย้งกับข้อมูล "ผู้ก่อการร้าย" ของรัฐ

ศอฉ.จัดแสดงอาวุธร้ายแรงจำนวนมากที่อ้างว่ายึดมาได้จากวัดปทุมวนาราม เพื่อยืนยันว่าเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายอย่างแท้จริง

สิ่งที่น่ากังขาคือ ไม่มีประจักษ์พยานที่ยืนยันได้ว่าอาวุธเหล่านั้นยึดมาจากวัดปทุมวนาราม เพราะนักข่าวถูกกันออกจากบริเวณวัดจนหมดด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย รายงานของนักข่าวต่างชาติ เช่น The Independent และ The Australian ซึ่งอยู่ภายในวัดในคืนวันที่ 19 พฤษภาคม ก็ไม่ได้เห็นว่ามีการยิงตอบโต้ด้วยอาวุธร้ายแรงจากผู้คนในวัดเข้าใส่ทหาร ชาวบ้านมีแต่หนังสติ๊ก และปืนแก๊ป มีแต่ฝ่ายทหารที่ยิงเข้าไปในวัดอย่างหูดับตับไหม้ (ดูมติชนออนไลน์ 22 พ.ค.53)

หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ฝ่ายรัฐบาลก็เปิดแถลงต่อสาธารณชนว่า ค้นพบอาวุธจำนวนมากในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงกับนำมาแสดงต่อที่สนามหลวง แต่หลักฐานเรื่องอาวุธนี้กลับไม่ได้นำมาใช้ในการฟ้องดำเนินคดีต่ออดีตผู้นำนักศึกษา 13 คน และฝ่ายรัฐ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

หรือนี่คือส่วนหนึ่งของกระบวนการเยียวยาสังคมไทยของรัฐบาลอภิสิทธิ์?

หรือว่ากระบวนการเยียวยาของรัฐบาลนั้น มุ่งไปที่พวกเดียวกัน เพื่อสร้าง "ความรู้รักสามัคคี" ในหมู่ผู้คนกรุงเทพฯ และผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ให้เหนียวแน่นมากยิ่งขึ้น

สำหรับปฏิบัติการล่าแม่มดในโลกไซเบอร์ ที่จริงได้ดำเนินต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว โดยเริ่มขึ้นในยุครุ่งโรจน์ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เวลาที่มีใครบังอาจวิจารณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร หรือแสดงความเข้าอกเข้าใจขบวนการคนเสื้อแดง ผู้คนในเครือข่ายทางสังคมเหล่านี้จะช่วยกันส่งอี-เมลที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ไปถล่มคนเหล่านั้น บางคนโชคร้ายหน่อยก็จะได้รับทั้งจดหมาย และโทรศัพท์ด่าทอขู่ทำร้ายแถมให้ด้วย

พวกเขาเพลาแรงกันไปพักหนึ่ง จนกระทั่งคนเสื้อแดงยกพลเข้ากรุงเทพฯในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ครั้งนี้พวกเขากลับมาใหม่แต่แรงกว่าเก่า

สุดยอดของขบวนการล่าแม่มดนี้ ก็คือกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า "การลงทัณฑ์ทางสังคม" (Social Sanction) ที่ช่วยกันตามล่าผู้ที่ถูกเหมาเอาว่าไม่จงรักภักดี เอามา "เสียบประจาน" ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวและให้สมาชิกช่วยกันตามราวีทั้งในโลกไซเบอร์ และในโลกที่เป็นจริง

ล่าสุดเครือข่ายโลกไซเบอร์แห่งหนึ่ง กำลังรณรงค์ล่ารายชื่อเรียกร้องไม่ให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์รับเด็กที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นคนเสื้อแดงเข้าศึกษาต่อ

ปฏิบัติการล่าแม่มดของรัฐ มาจากความเชื่อว่า เมื่อโอกาสมาถึงก็ต้องขุดรากถอนโคนฝ่ายศัตรูให้ถึงที่สุด ส่วนของภาคประชาชน ดูจะมาจากความเชื่อในความถูกต้องในคุณธรรมของตนผสมกับความดูถูกเหยียดหยามคนเสื้อแดง ยิ่งเมื่อคนเสื้อแดงพ่ายแพ้ พวกนี้ก็ยิ่งได้ใจ ต้องรุมกระหน่ำให้ถึงที่สุด

ฉะนั้น คาถาที่คนเหล่านี้ชอบพร่ำสอนสังคมให้รักกันไว้เถิด อย่าทะเลาะกันเลย เราต้องมีสติ เราต้องรักกัน จึงมีไว้ฉาบผิวพฤติกรรมอันแท้จริงของตนเอง

แต่พวกเขาควรรับรู้ด้วยว่า ปฏิบัติการแห่งความเกลียดชังนี้จะไม่มีวันช่วยสมานรอยแตกร้าวของสังคมได้เลย มันมีแต่จะช่วยตอกลิ่มแห่งความแตกแยกระหว่างเมืองกับชนบท ช่วยซ้ำเติมให้บาดแผลและความโกรธแค้นของคนเสื้อแดงให้เลวร้ายลงไปอีก

บางทีสังคมไทยควรต้องหัดเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากประเทศเพื่อนบ้านของตนเองบ้าง แม้ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านที่คนไทยไม่ชอบหน้าเอามากๆ เช่น กัมพูชา

ผู้ที่ผ่านยุค 1970s มาแล้ว น่าจะจำกันได้ว่ากลุ่มคนที่เป็นเป้าสังหารของเขมรแดงหลังจากที่พวกเขายึดอำนาจได้ในปี 2518 ก็คือ นักการเมือง ข้าราชการทหาร ตำรวจ ราชวงศ์ พลเรือน พ่อค้านักธุรกิจ ปัญญาชน และพวกประกอบวิชาชีพต่างๆ พูดง่ายๆ คือ บรรดาอภิสิทธิ์ชนคนในเมืองนั่นเอง

ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์กัมพูชา ไมเคิล วิคเคอรี่ เคยวิเคราะห์ไว้ว่าสาเหตุประการสำคัญของการสังหารคนเหล่านี้ก็คือ เขมรแดงเกลียดคนเมือง ที่เอาเปรียบ ข่มขู่ ขูดรีด คุกคาม ดูถูกคนชนบทตลอดมา วิคเคอรี่เห็นว่าอาการเกลียดคนเมืองนี้แพร่กระจายอยู่ในชนบทกัมพูชานานหลายปีก่อนที่เขมรแดงจะยึดอำนาจได้เสียอีก (ดู Michael Vickery, Cambodia 1975-1982) ภายในเวลาแค่ 3 ปีกว่า ระบอบเขมรแดงทำให้ผู้คนเสียชีวิตราว 1.7 ล้านคน

สำหรับสังคมไทย คนในเมืองมักมีภาพฝันเกี่ยวคนบ้านนอกว่าเป็นพวกสุภาพ อ่อนน้อม ซื่อบริสุทธิ์ จนถึงขั้นโง่เง่า แต่วันนี้ คนเสื้อแดง ได้ทำลายภาพลักษณ์เหล่านั้นจนสิ้น แต่คนในเมืองทั้งหลาย ก็ยังอยากจะหลอกตัวเองต่อไปว่า หลังจากวันนี้ ประเทศไทยจะกลับมาเหมือนเดิมได้อีกเมื่อคนเสื้อแดงได้รับบทเรียนราคาแพงกลับไปแล้ว พวกเขาก็จะกลับคืนเป็นคนบ้านนอกที่น่ารักของประเทศไทยต่อไป



เราได้แต่ภาวนาว่า ความหวังของพวกเขาจะเป็นความจริง

REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1275297022&grpid&catid=02 02/08/2010

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จากโสเครติสถึงปัญญาชนสยาม กรณีกฎหมายหมิ่นฯ

จากโสเครติสถึงปัญญาชนสยาม กรณีกฎหมายหมิ่นฯ


เอกศักดิ์ ยุกตะนันทน์


จากชื่อบทความเดิม “การรู้จักตนเองในความหมายของโสกราตีส : การแสวงหาปัญญาและการสร้างสังคมเหตุผลนิยม”โดยคัดลอกและตัดตอนมาจาก บทที่ 4 จากหนังสือ “มนุษย์กับการรู้จักตนเอง:การรู้จักตนเองสำหรับคนหนุ่มสาวในสังคมไทย”
.............................................................................................................................




“กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สังคมไทยยึดถือว่า
สิ่งที่เป็นที่เคารพศรัทธาสูงสุดจะต้องอยู่เหนืออำนาจ
ในการวิพากษ์วิจารณ์ของใครๆ (1)
การห้ามการวิพากษ์วิจารณ์คือการห้ามการพูดแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นความจริง
หากว่ามันส่งผลในทางลบต่อภาพพจน์ของสิ่งเป็นที่เคารพศรัทธา
ซึ่งเท่ากับการปฏิเสธคุณค่าที่ความเป็นจริง
จะมีต่อปัญญาและต่อชีวิตของผู้คน”



โสกราตีสรักและบูชาระบอบประชาธิปไตยของเอเธนส์ ซึ่งเป็นนครรัฐกรีกแห่งเดียวเท่านั้นที่เป็นประชาธิปไตย แต่บางครั้งระบบประชาธิปไตยก็ถูกนักการเมืองทำลาย และยึดอำนาจเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบเผด็จการ ซึ่งชาวเอเธนส์ก็ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา นอกจากนั้นเอเธนส์ก็ยังต้องทำสงครามต่อสู้กับการรุกรานของสปาร์ตา และศัตรูอื่นภายนอก แต่นอกจากระบอบเผด็จการ และปัญหาอธิปไตยแล้ว อะไรคือศัตรูที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย? ผู้เขียนหมายความว่า แม้ว่าเราจะสามารถรักษาระบบประชาธิปไตยไว้จากอำนาจเผด็จการและการรุกรานจากภายนอกได้ แต่อะไรคือเงื่อนไขที่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถสร้างสิ่งที่เป็นอุดมคติของระบบประชาธิปไตย ซึ่งก็คือประโยชน์สุขที่สูงที่สุดของประชาชนและความยุติธรรมในสังคม ถ้าเรามองดูสังคมไทยซึ่งมีระบอบประชาธิปไตยที่อ่อนแอมาก เพราะเต็มไปด้วยการซื้อสิทธิขายเสียง และการมีแต่พรรคการเมืองของนายทุนเท่านั้นให้ประชาชนเลือก เราคงตอบว่า ศัตรูของประชาธิปไตยก็คือ ความไร้จิตสำนึกของพลเมืองเอง และการมีตัวแทนที่ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง แต่เข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชนก็เพื่อที่จะทุจริตโกงกิน ซ่อนผลประโยชน์อันมิชอบของตนไว้เบื้องหลังผลประโยชน์ของประชาชน

เราไม่อาจกล่าวว่าประชาชนเอเธนส์มีปัญหาเรื่องความไร้จิตสำนึกทางการเมือง เพราะประชาชนเอเธนส์มีอำนาจที่จะไปนั่งออกเสียงในสภาโดยตรง จึงไม่มีการซื้อสิทธิขายเสียงเหมือนสังคมไทย แต่ปัญหาเรื่องนักการเมืองที่มีอำนาจในการดูแลกิจการของรัฐ ซ่อนผลประโยชน์ของตนไว้เบื้องหลังผลประโยชน์ของสังคม สามารถเป็นปัญหาของสังคมประชาธิปไตยทุกสังคม ที่ประชาชนรู้ไม่เท่าทันนักการเมือง สามารถถูกชักจูงด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้าที่นักการเมืองนำมาล่อ และถูกวาทศิลป์ของนักการเมืองหว่านล้อมชักจูงให้คิดเห็นคล้อยตามไปกับนโยบายต่างๆที่นักการเมืองเสนอ โดยไม่เข้าใจผลดีผลเสียของนโยบายต่างๆ เหล่านั้นอย่างแท้จริง ดังนั้น ศัตรูที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย ก็คือความรู้ไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของนักการเมือง และการไร้จิตสำนึกที่จะวิเคราะห์วิพากษ์ ใช้ปัญญาไตร่ตรองสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุด้วยผลอย่างถ้วนถี่ ซึ่งสรุปง่ายๆ ก็คือ ความอ่อนแอของพลังทางปัญญาของพลเมืองนั่นเองที่เป็นศัตรูที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย

ลักษณะพิเศษประการหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยคือ ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยจะเผชิญหน้ากับการถูกทำให้อ่อนแออยู่เสมอ กล่าวคือ ทันทีที่นักการเมืองได้รับอำนาจจากประชาชนชนให้เป็นผู้ปกครอง เขาจะพยายามสร้างความอ่อนแอให้กับประชาชน เพื่อที่เขาจะสามารถคงอำนาจของเขาต่อไป นี่อาจดูเหมือนการตีความอย่างหวาดระแวงและมองโลกในแง่ร้าย แต่ขอให้เรามามองดูตัวอย่างของสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ในสมัยประชาธิปไตยเต็มใบ หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา

เมื่อเผด็จการถนอมประภาสหมดอำนาจ ประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีนักการเมืองสองคนก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง ตามลำดับ คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าเสรีไทยและอดีตนายกรัฐมนตรีก่อนระบบเผด็จการทหาร และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช น้องชาย คนที่มีบทบาทเด่นต่อการเมืองไทยในยุคนั้นจริงๆ ก็คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซึ่งเป็นปัญญาชนสูงสุดในสังคมไทย เป็นผู้ทรงความรู้ในหลาย ๆ ด้าน อย่างยากที่จะมีใครเทียบได้ แต่ถ้าเราค้นกลับไปในแนวคิดของคึกฤทธิ์เราจะพบว่า เขาพยายามนำเสนอว่าประเทศไทยควรใช้ “ลัทธิกษัตริย์นิยม” ซึ่งหมายความว่า พระมหากษัตริย์ไม่ควรเป็นเพียงแค่ประมุขของประเทศในฐานะสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ แต่สถาบันกษัตริย์ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้าง “ความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของชาติ” สิ่งที่น่าจะอยู่ตรงกันข้ามกับลัทธิกษัตริย์นิยมคือ “ลัทธิประชาชนนิยม” คำถามคือทำไมคึกฤทธิ์จึงเลือกที่จะสนับสนุนนโยบายลัทธิกษัตริย์นิยม แทนที่จะสนับสนุนนโยบายลัทธิประชาชนนิยม? และทำไมรัฐบาลไทยทุกยุคสมัยไม่ว่าจะเป็นเผด็จการทหาร ประชาธิปไตยเต็มใบ ประชาธิปไตยครึ่งใบ จึงสนับสนุนลัทธิกษัตริย์นิยม? ทำไม “ความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของชาติ” จึงมีความสำคัญเหนือความเข้มแข็งของประชาชน (2)

ถ้ากล่าวอย่างง่ายๆ ลัทธิกษัตริย์นิยมก็คือการส่งเสริมให้กษัตริย์มีบทบาทในสังคมที่มากกว่าการเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือเป็นประมุขของรัฐ แต่ให้เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทุกอย่างของรัฐที่กระทำให้แก่ประชาชน จนเป็นศูนย์กลางของความรักและความศรัทธาของประชาชน สร้างให้เกิดความรักความสามัคคีในหมู่ประชาชน ซึ่งสนับสนุนต่อลัทธิชาตินิยมในที่สุด (3) สิ่งตรงข้ามกับลัทธิกษัตริย์นิยมคือการสร้างประชาชนให้เป็นศูนย์กลาง สนับสนุนให้ประชาชนคิดริเริ่มและพยายามลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ตนเองด้วยตนเอง สนับสนุนให้พยายามรวมตัวกัน สร้างความเข้มแข็งให้แก่กันและกัน นำพลังและสติปัญญามารวมกัน เพื่อที่จะสร้างชีวิตที่ดีงามกว่าเดิมร่วมกัน บนพื้นฐานของความสัมพันธ์แบบเสมอภาค ซึ่งเป็นอุดมคติของระบอบประชาธิปไตย ประเด็นที่สำคัญที่สุด ในความขัดแย้งระหว่างลัทธิกษัตริย์นิยมขัดแย้งกับลัทธิประชาชนนิยม ก็คือการที่ลัทธิกษัตริย์นิยมเน้นการสร้างให้ประชาชนมีศรัทธาต่อสิ่งภายนอกตน สนับสนุนระบบชนชั้น ระบบอุปถัมภ์ จนเกิดความอ่อนแอทางปัญญา การยอมรับคำสอนต่างๆ อย่างไม่ตั้งคำถามหรือโต้แย้ง ซึ่งในที่สุดก็จะนำมาซึ่งความไร้อำนาจทางปัญญาที่จะคิดและตัดสินด้วยตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่ดีงาม อะไรคือสิ่งที่เที่ยงธรรมอย่างแท้จริง สำหรับตนเองและสำหรับสังคม
..................................................................................................................................

โสเครตีสรู้ตัวดีว่าเขาสร้างความระคายเคืองให้กับผู้คนในสังคม แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาเลือกไม่ได้ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ของนักปรัชญา นักปรัชญาเป็นเสมือนปลาไหลไฟฟ้า คือทำให้คนที่ถูกกระทบช๊อตจนมึนงงทำอะไรไม่ถูก นักปรัชญามีหน้าที่ทำให้คนที่ตนสนทนาด้วยรู้ว่าตัวเขาเองนั้นไม่รู้ เพื่อจะได้เริ่มต้นหาความรู้ต่อไป เมื่อนั้นเขาจึงมีโอกาสที่จะมีปัญญาจริงๆ เพราะคนมักจะหลงผิดว่าความเชื่อคือความรู้ จึงจะต้องถูกทำให้รู้ตัวเสียก่อนว่าความเชื่อที่เขามีอยู่นั้น ไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง สำหรับสังคมเอเธนส์นั้นโสเครตีสเปรียบให้เป็นม้า ถ้าทุกอย่างปกติมันก็จะเอาแต่นอนกิน แล้วก็อุ้ยอ้ายเชื่องช้ากลายเป็นม้าเลว ตัวเขาเองจึงเป็นเหมือนตัวเหลือบที่จะต้องคอยกัดเพื่อให้ม้าเจ็บ สะดุ้งตื่น ลุกขึ้นสะบัดตัว เตะหน้าเตะลัง กระปรี้กระเปร่า มันจึงจะคงความเป็นม้าดีไว้ได้

มีอะไรบางอย่างที่ควรจะกล่าวเกี่ยวกับอนีตัส ผู้กล่าวโทษโสเครตีส ในบทสนทนาเรื่องเมโน (Meno) ซึ่งเมโนตั้งคำถามต่อโสเครตีสว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่สอนกันได้หรือไม่ อนีตัสในวัยหนุ่มก็ร่วมอยู่ในการสนทนาด้วย และอนีตัสก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจต่อคำสอนของพวกโซฟิสต์ และกังวลต่อความดีงามในรัฐ ดังนั้นจึงเข้าร่วมการสนทนาดังกล่าว แต่เมื่อโสเครตีสเริ่มให้เหตุผลว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่สอนให้กันไม่ได้ และพูดพาดพิงไปถึงรัฐบุรุษผู้เป็นที่เคารพรักของชาวเอเธนส์ว่า เป็นที่รู้กันดีว่าไม่มีใครสามารถสอนบุตรให้มีคุณธรรมอย่างที่บิดามีได้เลย อนีตัสก็โกรธและเดินออกไปจากวงสนทนา และกล่าวอาฆาตว่าโสเครตีสกำลังพูดในสิ่งที่จะนำภัยมาใส่ตัว โสเครตีสก็ได้แต่ฝากกับเมโนไว้ว่า อาจจะช่วยหาทางพูดกับอนีตัสให้ใจเย็นและมีเหตุผลมากกว่านี้ จะได้รับฟังเรื่องราวจนจบ (4) สิ่งที่เราเห็นก็คืออนีตัสเองก็มีความรักต่อความดีงามในสังคม แต่เขาก็มีความเชื่อที่ผิดๆ ว่าเพื่อรักษาความดีงาม ความจริงบางอย่างเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะพูดถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจริงที่อาจกระทบต่อบุคคลที่ผู้คนเคารพศรัทธา แต่สำหรับโสเครตีสแล้วปัญญาจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าความจริงต้องมีขีดขวางกั้น และแม้คุณธรรมจะเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ แต่คุณธรรมก็ไม่อาจแยกออกจากปัญญาได้ ต่อเมื่อคนมีปัญญาเท่านั้น คนจึงจะบรรลุคุณธรรมที่แท้จริงได้

เราอาจกล่าวได้ว่าโสเครตีสตายเพราะอำนาจของคนที่ใช้ศรัทธาอยู่เหนือปัญญา และใช้อารมณ์โกรธจนไร้สติ พวกเขาปฏิเสธที่จะฟังเรื่องราวต่างๆ จนจบ เพื่อจะได้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของโสเครตีส พวกเขามองเห็นว่าการวิจารณ์คือการทำลาย ทั้งที่มันคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการสร้างสรรค์ สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ก็คือ คนดีสามารถทำลายคนที่ดียิ่งกว่าตนได้ด้วยความเข้าใจผิด และด้วยเหตุแห่งการตกเป็นทาสของอารมณ์โกรธ ห้าศตวรรษหลังความตายของโสเครตีส ผู้ปกครองชาวโรมันรู้ด้วยปัญญาและประสบการณ์ของตน ว่าพระเยซูสอนในความดีที่สูงส่งกว่าศาสนาที่มีอยู่ และเขาพยายามจะต่อรองกับชาวยิวใต้ปกครองทุกวิถีทางที่จะไม่ลงโทษพระเยซู แต่ชาวยิวไม่ยอม ดังนั้นเพื่อความสงบสุขของสังคม เขาก็ต้องออกคำสั่งให้ตรึงกางเขนพระเยซูตามความต้องการของชาวยิว และพระเยซูก็ต้องใช้ชีวิตของพระองค์พิสูจน์คำสอนของพระองค์ว่า พระเจ้าปรารถนาให้มนุษย์รักผู้อื่นเสมือนรักตนเอง เพราะพระเจ้าคือความรักและการให้อภัย ซึ่งชาวยิวยอมรับการตีความพระเจ้าเช่นนี้ไม่ได้ พวกเขาเป็นทาสและถูกรังแกมามากเกินกว่าที่จะรักและให้อภัยต่อศัตรูที่บังคับตนลงเป็นทาส เขาจึงเห็นพระเยซูเป็นผู้ทรยศและทำลายความฝันของชาวยิวที่จะเอาชนะและกลับขึ้นเป็นนายบ้าง ในขณะที่พระเยซูแสดงออกถึงความรักและการให้อภัยต่อผู้ที่กำลังเฆี่ยนตีทรมานตน และกำลังตรึงกางเขนตน อยู่ตลอดเวลา นี่คือมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่สองคนที่ถูกทำลายโดยมนุษย์ที่ก็มิได้ชั่วร้าย แต่ปล่อยให้อารมณ์โกรธมาบดบังปัญญาและธรรมชาติฝ่ายดีในตน
......................................................................................................................

แต่ตอนนี้ขอให้เราย้อนกลับมาดูสภาพที่สังคมไทยเป็นอยู่ ซึ่งหากเทียบกับสิ่งที่โสเครตีสพยายามกระทำให้กับกรุงเอเธนส์ ก็เป็นเรื่องไม่ยากที่จะเห็นว่า ในระดับของจิตสำนึกของผู้คนที่ปรากฏออกมาในวิถีการดำเนินชีวิต คนไทยใช้ศรัทธาอยู่เหนือเหตุผล ซึ่งเท่ากับการใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เห็นได้ไม่ยาก ว่าคนไทยส่วนใหญ่คิดเช่นเดียวกันกับอนีตัสและคนที่ตัดสินเอาผิดต่อโสเครตีส นั่นก็คือ คนไทยเห็นว่าการวิจารณ์คือการทำลาย สำรวจวัฒนธรรมไทยให้ดี แล้วคุณจะพบว่าเราไม่มีวัฒนธรรมของการวิพากษ์วิจารณ์อยู่เลย นี่เป็นจิตสำนึกของสังคมที่แสดงออกอย่างชัดเจนในกฎหมายสูงสุดของประเทศ นั่นก็คือ ในกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สังคมไทยยึดถือว่าสิ่งที่เป็นที่เคารพศรัทธาสูงสุดจะต้องอยู่เหนืออำนาจในการวิพากษ์วิจารณ์ของใครๆ (5) การห้ามการวิพากษ์วิจารณ์คือการห้ามการพูดแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นความจริง หากว่ามันส่งผลในทางลบต่อภาพพจน์ของสิ่งเป็นที่เคารพศรัทธา ซึ่งเท่ากับการปฏิเสธคุณค่าที่ความเป็นจริงจะมีต่อปัญญาและต่อชีวิตของผู้คน แต่ทว่านี่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเองอย่างยิ่ง เพราะภาพพจน์แห่งความดีงามของสิ่งๆ หนึ่งจะตัดขาดจากความเป็นจริงทุกประการที่เกี่ยวกับสิ่งๆ นั้นได้อย่างไร และมนุษย์จะมีชีวิตที่ดีงามที่สุดที่เป็นไปได้ ได้อย่างไร หากเขาไม่สามารถรู้ความจริงทุกประการที่อยู่ในอำนาจที่เขาจะรู้ได้

คำตอบเดียว ของผู้ที่ต้องการห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ก็คือ เขาจำเป็นต้องห้ามการพูดความจริงทางลบก็เพื่อที่จะหยุดยั้งการพูดความเท็จทางลบ หมายความว่า เหตุที่มนุษย์จะต้องรู้ความจริงให้น้อยลงกว่าที่เป็นไปได้ ก็เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องถูกลวงด้วยความเท็จ ดังนั้น ปัจเจกบุคคลจึงไม่มีเสรีภาพในการพูดสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่เห็นว่ามีอันตรายต่อสังคม ซึ่งหมายถึง ไม่มีเสรีภาพในการพูดอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ต่อสิ่งที่สังคมเคารพบูชา เพื่อคนอื่นจะได้ไม่ได้ยินในสิ่งที่เป็นเท็จ นี่คือหลักการที่ดีที่สุดผู้ที่ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล จะสามารถยกขึ้นมากล่าวอ้าง หากเขาจะใจเย็นลงสักนิดหนึ่งและพยายามหาเหตุผลมารับรองสิ่งที่ตนเองกระทำมากยิ่งขึ้น

ดูเหมือนโสเครตีสจะไม่เคยมีโอกาสพิจารณาประเด็นเช่นนี้ แต่คนที่พิจารณามันอย่างละเอียดคือ จอห์น สจ็วต มิลล์ (John Stuart Mill) ผู้ซึ่งเป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยอังกฤษสมัยใหม่ ในหนังสือ On Liberty เขาเสนอตรรกบทที่ดีที่สุดที่เคยมีคนคิดขึ้นมา เพื่อหักล้างการปิดกั้นเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ คือ เขากล่าวว่า 1) ในความคิดเรื่องสิ่งที่ดีงามสูงสุดนั้น จะต้องหมายรวมถึงความมีเมตตาสูงสุดอยู่ด้วย และสิ่งที่มีเมตตาสูงสุด ย่อมอนุญาตให้ผู้อยู่ใต้อำนาจตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ตนได้ ดังนั้น ถ้าสิ่งๆ หนึ่งอ้างว่าตนดีงามสูงสุด แต่ไม่อนุญาตให้ใครตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ สิ่งๆ นั้นย่อมยังไม่ดีงามสูงสุดจริง 2) สำหรับสิ่งที่ยังไม่ดีงามอย่างสมบูรณ์นั้น หากอนุญาตให้มีการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ สิ่งๆ นั้นก็สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีงามยิ่งๆ ขึ้นไปได้ และดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ความดีงามสูงสุดของสิ่งที่มีอำนาจในสังคม และเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ ต้องอยู่คู่กัน

ในเรื่องความกลัวต่อความเท็จนั้น มิลล์กล่าวว่า การปิดกั้นความเท็จคือการปิดกั้นปัญญาของมนุษย์ที่จะเรียนรู้และเข้าใจความจริง เพราะความจริงจะปรากฏเป็นความจริงอย่างชัดเจนที่สุด ก็แต่เพียงเมื่อมีความเท็จมาวางเคียงข้างให้เห็นความแตกต่างเท่านั้น หมายความว่า เราไม่อาจเห็นความจริงอย่างชัดเจนได้เมื่อมันปรากฏอยู่แต่เพียงลำพัง คือเมื่อไม่มีใครได้รับอนุญาตให้พูดถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับมันได้ ความกลัวต่อความเท็จจึงเป็นความกลัวของคนขี้ขลาด เป็นความกลัวที่ทำร้ายตนเอง ดังนั้น เราจะต้องกล้าเผชิญหน้ากับคำพูดทุกชนิดและใช้ปัญญาเข้าตรวจสอบหาความจริงจากมัน ถ้าเรากลัวความเท็จ หรือขี้เกียจคิด เราก็จะไม่มีวันมีปัญญาที่แท้จริงเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการใช้สติปัญญาเข้าตรวจสอบหาความจริงไปเรื่อยๆ ชีวิตเราจึงจะพบกับสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง ดังคำกล่าวของโสเครตีสว่า “ชีวิตที่ไม่มีการตรวจสอบคือชีวิตที่ไร้ค่า” และดังนั้นเสรีภาพในการพูดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะหากไม่มีเสรีภาพในการพูด ความสามารถในการคิดก็จะถูกทำลายลงไปด้วย เพราะหากคิดไปแล้วก็พูดออกมาไม่ได้ ก็ไม่รู้จะคิดไปทำไม และไม่มีใครจะมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อให้ความคิดพัฒนา (6)

........................................................................................................




เชิงอรรถ
(1) ในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักสูงสุดในการปกครองประเทศ เราต้องถือว่ากฎหมายแสดง “จิตสำนึกของสังคม” ดังนั้น เราไม่ควรเข้าใจว่านี่เป็นการใช้อำนาจของสถาบันกษัตริย์ เพราะโดยหลักการแล้ว พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจที่จะกำหนดเนื้อหาของกฎหมาย ซึ่งในเชิงประวัติศาสตร์แล้วกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ไม่ได้มีอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับแรก หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหตุผลที่เราควรถือว่ากฎหมายนี้ไม่ใช่การใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันยิ่งปรากฏเด่นชัดมากยิ่งขึ้น เมื่อพระองค์ทรงประกาศว่าไม่ทรงอยู่เหนือคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่หลังจากพระราชดำรัชนั้นแล้วก็ยังมีการใช้กฎหมายดังกล่าวเล่นงานบุคคลต่างๆ อยู่เช่นเดิม กฎหมายนี้จึงเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ฝ่ายต่างๆ ในสังคมจะใช้เล่นงานฝ่ายตรงกันข้ามเสียมากกว่า


(2) สิ่งที่เราควรตระหนักในเบื้องต้นก็คือ คึกฤทธิ์ มาจากชนชั้นสูง เป็นนักการเมืองอาชีพ พร้อมๆ กับการเป็นปัญญาชนระดับสูง แม้คึกฤทธ์จะมีส่วนอย่างมากในการผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าทางภูมิปัญญาในสังคมไทย แต่ก็เป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างวัฒนธรรมอนุรักษ์นิยมของลัทธิชาตินิยม ผู้ที่มีนโยบายสนับสนุนความเข้มแข็งของประชาชนอย่างแท้จริง ได้แก่ นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นผู้นำของคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง


(3) การใช้ลัทธิกษัตริย์นิยมในสังคมประชาธิปไตย โดยตัวเองแล้วฟังดูเป็นเรื่องแปลก เพราะในเชิงประวัติศาสตร์แล้ว ระบบประชาธิปไตยเกิดจากการที่ประชาชนแย่งอำนาจมาจากกษัตริย์ ลัทธิกษัตริย์นิยมจึงเป็นเหมือนการที่รัฐบาลหรือประชาชนพยายามจะคืนอำนาจให้กษัตริย์ ถึงจุดหนึ่งอาจมีการขอรัฐบาลจากกษัตริย์แทนที่จะเลือกตั้งเอาเองก็เป็นได้ ซึ่งเท่ากับเลิกเป็นประชาธิปไตยนั้นเอง อย่างไรก็ตาม ลัทธิกษัตริย์นิยมก็อาจมีผลดีต่อประเทศในระยะที่วัฒนธรรมประชาธิปไตยยังอ่อนแอจนเกิดวิกฤตภายในอยู่เนืองๆ คือ กษัตริย์อาจสร้างสมบารมีและศรัทธาได้มากจนกลายเป็นศูนย์รวมของจิตใจได้อย่างแท้จริง และช่วยแก้ไขวิกฤติทางการเมืองภายในเช่นนั้นได้ แต่ถ้ากษัตริย์ได้สถานะเช่นนี้มาด้วยบารมีที่ตนเองสร้างสมขึ้นมาและทำให้ตนเองมีอำนาจที่พิเศษกว่าปกติ เช่น อยู่เหนือการตรวจสอบและการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้นทั้งมวลและมีอิทธิพลเหนือการเมือง โอกาสก็จะมีสูงมากที่ผู้คนที่แวดล้อมกษัตริย์จะนำอำนาจเช่นนั้นไปใช้ในทางมิชอบเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่ขึ้นมาเป็นกษัตริย์คนต่อไปอาจไม่สามารถสร้างสมบารมีเช่นนั้นได้ แต่อาจต้องการอำนาจอันพิเศษกว่าปกติเช่นนั้น ระบบกษัตริย์ในฐานะของสถาบันทางสังคมก็อาจจะเกิดปัญหา


(4) ที่จริงแล้ว การที่โสเครตีสพูดว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลกแต่อย่างไร เพราะปัญญาที่แท้จริงก็เป็นสิ่งที่สอนให้กันไม่ได้เช่นเดียวกัน เราอาจให้ข้อคิดเห็นต่อกันได้ และมันก็มักจะมาจากญาณทัศนะของแต่ละคน แต่ญาณทัศนะจะกลายเป็นปัญญาที่แท้จริงได้ ก็เมื่อคนแต่ละคนเอาเหตุผลเข้าไปตรวจสอบมันในทุกแง่ทุกมุมที่เป็นไปได้ คนมักจะคิดว่าพอเขาได้ยินอะไรที่เข้าได้กับญาณทัศนะของตน นั่นก็คือความรู้ แต่โสเครตีสยืนยันว่า นั่นยังไม่เพียงพอที่จะเรียกว่าความรู้ ความรู้เป็นญาณทัศนะส่วนที่ผ่านการตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์แล้วเท่านั้น คุณธรรมก็เป็นญาณทัศนะที่ต้องอาศัยเหตุผลเข้าไปตรวจสอบเช่นเดียวกัน


(5) ในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักสูงสุดในการปกครองประเทศ เราต้องถือว่ากฎหมายแสดง “จิตสำนึกของสังคม” ดังนั้น เราไม่ควรเข้าใจว่านี่เป็นการใช้อำนาจของสถาบันกษัตริย์ เพราะโดยหลักการแล้ว พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจที่จะกำหนดเนื้อหาของกฎหมาย ซึ่งในเชิงประวัติศาสตร์แล้วกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ไม่ได้มีอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับแรก หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหตุผลที่เราควรถือว่ากฎหมายนี้ไม่ใช่การใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันยิ่งปรากฏเด่นชัดมากยิ่งขึ้น เมื่อพระองค์ทรงประกาศว่าไม่ทรงอยู่เหนือคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่หลังจากพระราชดำรัชนั้นแล้วก็ยังมีการใช้กฎหมายดังกล่าวเล่นงานบุคคลต่างๆ อยู่เช่นเดิม กฎหมายนี้จึงเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ฝ่ายต่างๆ ในสังคมจะใช้เล่นงานฝ่ายตรงกันข้ามเสียมากกว่า

(6) การที่สังคมไทยมีวัฒนธรรมที่ห้ามการวิพากษ์วิจารณ์นั่น ถ้าพูดตรงแล้วก็คือ มีวัฒนธรรมของความขี้ขลาดทางปัญญานั่นเอง หมายความว่า ถ้าจะคิดอะไรก็ต้องคิดในกรอบที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แม้นี่จะเป็นคำพูดที่รุนแรง แต่ก็ไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว วัฒนธรรมไทยสอนให้คนไทยใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล นี่คือสิ่งที่คนไทยไม่อยากยอมรับ แต่ก็จะแสดงออกทันทีที่มีคนไทยที่กล้าวิจารณ์วัฒนธรรมของตนเองในทางลบ เช่น อาจจะประณามคนเช่นนั้นว่าเป็นทาสของตะวันตก ทั้งที่การวิจารณ์ตนเองเป็นสิ่งที่ไม่ว่าคนในวัฒนธรรมไหนก็ควรกระทำ เว้นก็แต่ผู้ที่เชื่อว่าตนเองดีงามอย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้น






ที่มา : ประชาไท วันที่ : 25/1/2552






Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2552 16:57:39 น. 1 comments
Counter : Pageviews.








บ่อยครั้งที่ความจริงที่ไม่จริง หมายถึงความจริงเพียงด้านเดียว หรือถูกแค่ครึ่งเดียว สร้างปัญหาให้กับสังคมอย่างมากมาย และความจริงเหล่านั้นมักถูกอ้างโดยฝ่ายเดียว แต่ไม่ยอมพูดความจริงอีกด้านหนึ่ง ความจริงของนักปราชญ์ทั้งหลาย ได้พูดความจริงทั้งหมดแล้ว แต่ไม่ได้พูดผลของความจริงที่อาจเป็นผลร้ายขึ้น ในสังคมต่างๆมีความพูดความจริงมากมาย แต่ไม่จริงแท้ ไม่เหมือนองค์ศาสดาที่พูดความจริงทั้งหมดทุกๆด้าน เป็นความจริงแท้ ถึงกระนั้น ปุถุชนยังตีความคำสอนไปในทางที่จริงแค่ครึ่งแล้วนำไปเผยแพร่แบบถูกครึ่งเดียว ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างกว้างขวาง ดังเช่นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบันนี้


REF : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=inthedark&group=16 2/08/2010

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การเมืองกับความเสี่ยงอัน- ตราย ท่ามกลางทิศทางมุ่งสู่ปรองดอง-ปฏิรูป

การเมืองกับความเสี่ยงอัน- ตราย ท่ามกลางทิศทางมุ่งสู่ปรองดอง-ปฏิรูป

โดย สุริชัย หวันแก้ว



สังคมเสี่ยงภัย

ข้อจำกัดของภาคการเมือง

รัฐและความจำเป็นของบทบาทภาคสังคม

ในโลกที่มีความไม่แน่นอนในปัจจุบัน การบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นหลักการที่ทางวิชาการและธุรกิจยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะถือกันว่าบทบาทหน้าที่ในการกำกับดูแลและการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ควรจะเป็นเรื่องของภาครัฐ ภาคราชการและภาคธุรกิจ

อย่างไรก็ดี ในระยะถัดมาได้เกิดความตระหนักมากขึ้นในระดับวงการนโยบายการพัฒนาระหว่างประเทศและเวทีสหประชาชาติว่า การมอบบทบาทให้แก่รัฐเป็นผู้กำกับดูแลแต่ฝ่ายเดียวนั้นมีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข จึงจำเป็นจะต้องกระจายให้บทบาทการกำกับดูแลโดยภาคธุรกิจเอกชนและโดยเฉพาะบรรษัทข้ามชาติด้วย

ต่อมาในระยะหลังมานี้ได้เกิดความสนใจและใส่ใจต่อการพัฒนา กลไกกำกับดูแลแบบภาคีเอกชน-สาธารณะและภาคชุมชนกันมากขึ้น

ท่ามกลางภาวะความรุนแรงทางการเมืองในกรุงเทพฯในช่วงเมษายน-พฤษภาคม 53 นั้น ปรากฏว่า ภาครัฐและกลไกรัฐตกอยู่ในสภาพที่ขาดสมรรถนะเพียงพอที่จะปกป้องความรุนแรงที่มาในรูปแบบต่างๆ แก่ชุมชนได้

สภาพการณ์ดังกล่าวทำให้สังคมและชุมชนทุกหน่วย โดยเฉพาะในเมืองต้องดิ้นรนบริหารความเสี่ยงและจัดการชีวิตตนให้มั่นคงปลอดภัยเท่าที่จะทำได้

ชุมชนและประชาชนที่มีประสบการณ์โดยตรงจึงรู้สึก และเกิดความตระหนักรู้ว่า เราต้องร่วมชะตากรรมอันเดียวกัน เราจึงกล่าวได้ว่าวิกฤตได้เป็นโอกาสและเงื่อนไขแก่การเกิดขึ้นของสำนึกในการกำกับดูแลความเสี่ยงอันตรายโดยชุมชนและสังคม

เมื่อประชาชนตัวเล็กตัวน้อย

ตกเป็น "อาชญากร"

จริงอยู่ประเทศไทยมองข้ามปัญหาโลกร้อนอีกต่อไปไม่ได้ แต่เหตุใดเล่าในประเด็นคดีผู้ก่อความเสียหายให้โลกร้อนนั้น

(ก) ทางราชการจึงเลือกภาคเกษตรกรรมก่อนภาคอุตสาหกรรม เช่น ฝ่ายโรงงานที่ก่อปัญหาที่มาบตาพุด

และ (ข) เหตุใดจึงเลือกฟ้องเกษตรกรชาวไร่ตัวเล็กตัวน้อย เช่นที่พัทลุงและเพชรบูรณ์ ว่าเป็นผู้ก่อความเสียหายทั้งๆ ที่ปัญหาความเสียหายจากภาคอุตสาหกรรมมีมานานกว่าและขนาดใหญ่โตกว่า

1.ฐานะและบทบาทของภาคเกษตรกรรม และเกษตรกรรายย่อยเมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรมในโลกทรรศน์ของการพัฒนาของชนชั้นนำ หรือเกษตรยั่งยืน เทียบกับอุตสาหกรรมนิยม

2.พละกำลังของคู่กรณี เกษตรกรไม่มีทางสู้จึงหมิ่นเหม่ต่อการผลักให้เป็น "อาชญากร" โดยง่าย? (Victimization of the poor)

3.ความอ่อนแอทางวิชาการด้านนิเวศวิทยาการเกษตรและสังคมวิทยาชนบท เมื่อเทียบกับบางสาขาที่เป็นฐานการสนับสนุนแก่การฟ้องร้องเอาผิดต่อชาวบ้าน

เมื่อนักเรียน/เยาวชน

ตกเป็นเหยื่อของกระแสอารมณ์

และขบวนการหาคนผิดมาลงโทษ

1.การเกิดกรณี "น้องก้านธูป" และการเอ็นท์มหาวิทยาลัยศิลปากรไม่ได้กับกระแสขบวนการล่าแม่มดที่เติบโตรวดเร็วผ่านสื่อสมัยใหม่

2.การเผาโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์กับกระแสการตัดสินที่พุ่งเป้าตรงไปที่ตัวเด็ก

3.ปัญหาสิทธิเด็กและความเป็นธรรม : ความรุนแรงทางสังคมและวัฒนธรรมที่ขยายตัวด้วยสื่อใหม่ในสถานศึกษาและในสังคม

4.สถานศึกษาถูกรุกจากกระแสตัดสินความผิดสำเร็จรูป : ท่าทีของผู้ใหญ่ในสถาบันและเพื่อนฝูง

5.บทบาทของสื่อและสาธารณะ จริงอยู่ความคิดและพฤติกรรมของเด็กอาจมีปัญหาอยู่บ้าง แต่เหตุใดความสนใจจึงพุ่งเป้าไปแต่ที่ตัวเด็ก และขยายภาพความผิดจนเปิดทางแก่การแสดงอารมณ์อย่างรุนแรงเช่นนี้

6.ท่าทีของฝ่ายนโยบาย : การเพิกเฉยต่อความรุนแรงทางสังคม/วัฒนธรรมที่พุ่งเป้าไปที่เด็กตัวเล็กตัวน้อย และพลเมืองคนเล็กคนน้อย

กระแสปรองดองและการปฏิรูปสังคมการเมือง

มีความตื่นตัวต่อกระแสปฏิรูปกันมาก แม้แต่ฝ่ายที่คัดค้าน เช่น พธม. คนที่ไม่เห็นด้วยกับกระแสปรองดอง เพราะเห็นว่าไม่มีสาระมีแต่การเมือง (ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์) ก็ยังเห็นความสำคัญของการปฏิรูปด้านต่างๆ ที่สำคัญ

แต่คำถามที่สำคัญน่าจะได้แก่

1) พลังปฏิรูปสังคมการเมืองจะอยู่ที่ใด

2) แต่ปฏิรูปจะนำโดยใคร พรรคการเมืองหรือ ถึงแม้จะเห็นด้วยบ้างก็ตามทีแต่ฝ่ายการเมืองปัจจุบันจะมีความชอบธรรมและอยู่ยืนยาวเพียงไรกัน

3) อาศัยความรู้ของใคร

กระแสการปฏิรูปจึงมิควรปล่อยให้เป็นความพยายามของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะเท่าที่ผ่านมาก็อาจกลับมาสู่วังวนเดิม คือ ปรองดองของใคร เพื่อใคร โดยใคร ทำให้การปฏิรูปกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่อุบัติขึ้นใหม่ในสังคม

ดังนั้น การปฏิรูปที่มีพลังและความชอบธรรมจึงน่าจะต้อง

1.นำโดยเจ้าทุกข์ ประชาชนเจ้าของปัญหา เป็นผู้ขับเคลื่อนการปฏิรูปได้เหมาะสมกว่า และ

2.ขับเคลื่อนนำโดยภาคสังคมและชุมชนและสนับสนุนโดยเครือข่ายวิชาการ

3.เป็นขบวนการที่เป็นอิสระจากการเมืองแต่มีการปฏิสัมพันธ์กับวงการการเมือง และวงการราชการการพัฒนาที่ต้องการปฏิรูปตัวเองไปด้วย

บทบาทรัฐบาลภายหลังจัดตั้งกรรมการต่างๆ ตามโรดแมป

1) ยังขาดความจริงจังในการสร้างบรรยากาศความปรองดองเพื่อเอื้ออำนวยแก่การระดมความร่วมมือเพื่ออนาคตร่วมกัน ปัญหาคือยังไม่ลดเงื่อนไขเชิงลบและเพิ่มเงื่อนไขเชิงบวกเท่าที่ควร

- พึงปฏิรูปตัวเองและวิธีทำงานเพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้ตรงประเด็นและมีประสิทธิภาพ

- เร่งสร้างความเข้าใจ มากกว่าที่จะหาความชอบธรรมให้กับตนเองเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม "ลดละ" วิวาทะแบบโต้วาที แต่รับฟังและดำเนินการแก้ไข

- เน้นการมองเชิงโครงสร้าง มากกว่าแก้ไขสถานการณ์แบบผ่านไปวันๆ เพราะปัญหานั้นมีความซ้อนทับกัน และมิอาจใช้การแก้ปัญหาโดยการแก้ไขแบบมิติเดียวได้

- ปฏิรูประบบราชการตามกลุ่มปัญหา แทนที่จะปฏิรูปราชการเพียงตอบสนองตัวชี้วัดที่ไม่ข้องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาประชาชนหรือปล่อยให้ตามใจเสนาบดีเจ้ากระทรวง

- การมองที่พยายามตีขลุมโดยผลักคู่ตรงข้ามให้กลายเป็น "ผู้ก่อการร้าย" หรือ "คนผิด" จนทำให้ความสัมพันธ์ที่จะเชื่อมต่อ "ขาดสะบั้น"

- ขาดความตระหนักถึงผลร้ายจากการพึ่งพาเครื่องมือด้านความมั่นคงในรูปของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีต่อบรรยากาศการเมืองและโดยเฉพาะการพึ่งพากลไกราชการรวมศูนย์ให้จัดระเบียบการเมืองอย่างเคร่งครัดแต่คับแคบ ทำให้กระทบต่อสิทธิเสรีภาพในระดับท้องถิ่นอย่างมาก

2) ยังคิดแยกส่วนมากกว่าคิดเชิงบูรณาการจึงขาดความพยายามเชื่อมโยงกับทุนเดิม (กฎเหล็ก 9 ข้อ, การแก้ปัญหาทรัพยากร ฯลฯ) หรือ เชื่อมโยงกับ "ทุนเดิม" ของการบริหารราชการที่ผ่านมา เช่น คณะกรรมการติดตามแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน

3) ยังขาดการทบทวนนโยบายและทิศทางการพัฒนาที่สวนทางกับกระแสปฏิรูปที่ยึดเอาปัญหาของประชาชนระดับล่าง และสิทธิมนุษยชนเป็นหนทางนำ

4) ดังนั้นในทิศทางนโยบายจึงปล่อยให้ท่าทีของฝ่ายการเมืองขาดการประสานและขาดเอกภาพในการกำกับกระทรวงกรม กล่าวคือ เพิกเฉยใส่เกียร์ว่างต่อกระแสเรียกหาการปรองดองและปฏิรูป

5) ยังเป็นกระแสปรองดองที่เน้นระดับบนลงล่าง (topdown) อยู่มาก และให้ความสำคัญแก่ศูนย์กลางกรุงเทพฯ โดยขาดการดำเนินงานให้ภาคการเมืองและราชการมีบทบาทเชิงบวกในการเอื้ออำนวยต่อกระบวนการที่สร้างบรรยากาศปรองดองเกิดขึ้นในภาคส่วนสังคมทั่วทุกพื้นที่

6) ยังขาดการใส่ใจต่อผลกระทบในรูปแบบใหม่ๆ ที่มิได้ปรากฏเป็นเรื่องการเมืองที่โดดเด่นชัดแจ้งโดยเฉพาะกระแสความรุนแรงทางวัฒนธรรมและกระแสผลักให้เด็กหรือคนตัวเล็กตัวน้อยกลายเป็นผู้กระทำความผิด/อาชญากร

REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1279008027&catid=02 16/07/2010
วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:57:11 น. มติชนออนไลน์

เสื้อเหลืองเป็นใครและออกมาทำไม

เสื้อเหลืองเป็นใครและออกมาทำไม

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์


คนเสื้อเหลืองคือใคร? ตอบได้ยากมาก แต่จากข้อมูลที่มีอยู่น้อย ทั้งอาจารย์อภิชาต สถิตนิรามัย และอาจารย์อเนก เหล่าธรรมทัศน์ พบตรงกันว่า โดยเฉลี่ย พวกเขามีรายได้สูงกว่าคนเสื้อแดง เช่น คนเสื้อเหลืองอยู่ในระบบประกันสังคมจำนวนมากกว่า แปลว่าพวกเขาทำงาน "ในระบบ" เช่นถึงเป็นแรงงาน ก็เป็นแรงงาน "ในระบบ" ในขณะที่คนเสื้อแดงอาจเป็นแรงงาน "นอกระบบ" เช่น ลูกจ้างรายวัน เป็นต้น


ผมขอตีขลุมรวมๆ ว่า คนเสื้อเหลืองเป็นคนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป แม้จะรู้ดีว่าทั้งเสื้อเหลืองและแดง ล้วนมีคนหลากหลายประเภทปะปนกันทั้งสิ้น แต่เมื่อพูดโดยเฉลี่ยแล้ว คนเสื้อเหลืองคือคนชั้นกลางระดับกลาง (ขึ้นไป)


นอกจากนี้ เราไม่อาจเอาแกนนำเป็นตัวแทนของผู้ชุมนุมได้ ทั้งเหลืองและแดง การที่มีคนจำนวนมากเช่นนี้ออกมาชุมนุมกันเป็นเดือนๆ ต้องมีปัจจัยในทางสังคมผลักดันอยู่เบื้องหลัง มากกว่าวาทะของแกนนำบนเวที เราจะเข้าใจการเคลื่อนไหวทางการเมืองของสองสีนี้ได้ ก็ต้องเข้าใจปัจจัยทางสังคมที่อยู่เบื้องหลัง ยิ่งกว่านี้ แม้แต่พยายามล้วงลึกลงไปที่อ้ายโม่งซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ก็ยังอธิบายไม่ได้อยู่ดี แกนนำและอ้ายโม่งมีพลังก็จริง แต่ไม่มีวันที่ใครจะมีพลังถึงกับดึงคนจำนวนมากไปเสี่ยงตายกลางถนนได้มากขนาดนี้ หากไม่มีปัจจัยทางสังคมเอื้อให้ผู้คนสวมเสื้อสีออกไป


เหตุใดคนเสื้อเหลืองจึงออกมา "เย้วๆ" (หากใช้ศัพท์เดียวกับที่บางคนใช้ในการบรรยายการกระทำของเสื้อแดง) บนถนน? นี่เป็นคำถามที่จะยิ่งตอบยากกว่าคำถามแรก แต่ผมพยายามตอบ แม้จะอย่างผิดๆ ถูกๆ อย่างไรก็ตาม เพราะผมเชื่อว่าคำถามนี้มีความสำคัญ และสักวันหนึ่งก็คงมีคนที่เก่งกว่าผมและขยันกว่าผมจะตอบได้ดีกว่านี้


แม้คนเสื้อเหลืองมีรายได้สูงกว่าคนเสื้อแดง และมโนภาพที่เรามีต่อเขาก็คือเขา (โดยเฉลี่ย) ไม่ใช่คนจน แต่ผมยังคิดว่า ควรเริ่มต้นด้วยการมองหาปัจจัยทางเศรษฐกิจก่อนว่า เกิดอะไรขึ้นในเศรษฐกิจไทยในช่วงประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา จึงทำให้คนชั้นกลางระดับกลางรู้สึกตัวว่าเดือดร้อนทางการเมือง มากพอที่จะออกมาประท้วงในท้องถนน


ผมต้องสารภาพว่า ผมหาตัวเลขทางเศรษฐกิจที่อธิบายเรื่องนี้ตรงๆ ไม่ได้ แต่ด้วยความกรุณาของคุณบรรยง พงษ์พานิช ซึ่งได้ส่งส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยของท่านมาให้ผมดู ในขณะเดียวกัน ด้วยความกรุณาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้เชิญผมเข้าร่วมสัมมนาเรื่อง "การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อความเป็นธรรมในสังคม" ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมจึงได้รับเอกสารที่ใช้ในการคลำหาคำตอบของผมเองได้


แต่ตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้ ผู้ทำวิจัยไม่ได้เก็บรวบรวมเพื่อตอบปัญหาของผม จึงจำเป็นที่ผมต้องอ่านเอาเองทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนเศรษฐศาสตร์เลย ผมจึงไม่รับรองว่าที่ผมอ่านนั้นถูกต้อง ถึงผมจะอ้างใคร คนที่ถูกอ้างก็ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะผมเองต่างหาก ที่ยัดความหมายลงไปในกราฟนานาชนิดที่เขาแสดงเพื่อพูดเรื่องอื่น


ต่อไปนี้คือปัจจัยทางเศรษฐกิจบางอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะอธิบายพฤติกรรมของคนเสื้อเหลืองได้


เมื่อพูดถึงความเหลื่อมล้ำ เราอาจหาตัวเลขทางเศรษฐกิจเพื่ออธิบายให้เห็นชะตากรรมของคนเสื้อแดงได้มาก แต่จะอธิบายชะตากรรมของคนเสื้อเหลืองด้วยความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร


ต้องเข้าใจก่อนว่า ความเหลื่อมล้ำไม่ได้แปลว่าความยากจน ความเหลื่อมล้ำคือไม่เท่ากัน หรือให้ชัดกว่านั้นคือไม่เท่ากันในระดับที่คนรู้สึกว่ายอมรับได้ (ที่ไหนๆ คนก็ไม่เท่ากันทั้งนั้น แต่จะไม่เท่าแค่ไหน คนที่มีน้อยได้น้อยกว่าจึงจะยอมรับได้ นี่ต่างหากคือปัญหาของความเหลื่อมล้ำ ไม่เกี่ยวกับความยากดีมีจน)


ก.คุณบรรยง ชี้ให้เห็นว่าในช่วงประมาณ 1 ทศวรรษกว่าๆ ที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากค่าจ้างแรงงาน (รวมเงินเดือนที่คนชั้นกลางระดับกลางได้รับด้วย) ซึ่งอาจมีขึ้นมีลงตามแต่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากทุนแล้ว จะเห็นว่าห่างกันมากขึ้น แปลออกมาเป็นภาษาธรรมดาก็คือ คนที่ทำงานรับเงินเดือนบริษัทอยู่ มองเห็นผลกำไรของบริษัทสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเดือนของตนไม่ได้ขยับขึ้นในอัตราที่เร็วเท่ากับผลกำไร


ข.คุณบรรยงอีกเหมือนกันที่ชี้ว่า ผลตอบแทนจากค่าเช่าและอื่นๆ ลดลงในวิกฤตครั้งแรกอย่างฮวบฮาบ แล้วก็ไม่กระเตื้องขึ้นจนถึง 2547 ก็เริ่มเงยหัวขึ้นมาบ้าง แต่หากเปรียบเทียบกับรายได้จากการประกอบการของธุรกิจ (ดูจากภาษี) ลดลงในวิกฤตครั้งแรกเหมือนกัน แต่ก็สูงขึ้นกว่าเดิมมาเรื่อยๆ จนสูงกว่าเก่า ฉะนั้นโดยเปรียบเทียบแล้ว ผลตอบแทนจากค่าเช่ามีแต่จะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับการประกอบการด้วยทุน (จากที่ "ค่าเช่า" เคยอยู่สูงสุดในปี 2541 เป็นกว่า 24% ของรายได้ประชาชาติที่ไม่ได้มาจากค่าจ้าง เหลือเพียงประมาณ 7% ในปี 2546)


ผมเข้าใจว่า รายได้ของคนชั้นกลางระดับกลางจำนวนหนึ่งก็มาจาก "ค่าเช่า" (นับตั้งแต่ที่ดิน, เครื่องจักร, เครื่องมือการเกษตร, นายหน้าแรงงาน, ฯลฯ) คนเหล่านี้ "โดนหยิก" จากการที่รายได้ของตนลดลง และแน่นอนย่อมรู้สึกในความเหลื่อมล้ำมาก


ค.แม้มีการขยายตัวของการจ้างงานในภาคหัตถอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง แต่ค่าจ้างในภาคหัตถอุตสาหกรรมก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จนมาถึงระดับต่ำสุดในปี 2550 เหตุผลก็พอเดาได้ นั่นคือมีคนหลั่งไหลจากภาคอื่นๆ เข้ามาสู่ภาคการผลิตนี้จำนวนมาก รายได้ของแรงงานลดลงนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่าแรงงานฝีมือนับตั้งแต่เสมียนขึ้นไปถึงฟอร์แมนและคนงานระดับกลางเองก็ลดลงไปด้วย (อยากได้ ปวส. หรือปริญญาตรีหรือ มีให้เลือกถมถืดไป) ฉะนั้น จึงมีคนชั้นกลางระดับกลางจำนวนหนึ่งที่รู้สึกเจ็บปวดกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้


ง.คุณเดือนเด่น นิคมบริรักษ์และคุณศิริกาญจน์ เลิศอำไพนนท์ แห่ง TDRI แสดงให้เห็นว่า มีการกระจุกตัวของรายได้ภาคธุรกิจในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ในปี 2553 ธุรกิจ 20% ระดับบนสุด มีรายได้ 81.02% ของรายได้จากภาคธุรกิจทั้งหมด ส่วนธุรกิจขนาดกลางซึ่งรวมกันเป็น 60% ของธุรกิจไทย มีรายได้เพียง 18.05% ของรายได้ภาคธุรกิจ ครั้นถึงพ.ศ.2551 ธุรกิจ 20% ข้างบนมีรายได้ถึง 86.28% ในขณะที่ระดับกลาง 60% มีรายได้ลดลงเหลือเพียง 13.19% เท่านั้น


นี่คือเหตุผลที่เจ้าของร้านโชห่วยและผู้ส่งออกรองเท้าแตะไปยังรัสเซีย ได้มาสวมเสื้อเหลืองนั่งประท้วงร่วมกับพนักงานคอมพิวเตอร์และเซลส์ของบริษัทน้ำมัน


จ.อาจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร แห่ง TDRI เช่นกัน ชี้ให้เห็นว่า นโยบายแทรกแซงราคาพืชผลการเกษตรของรัฐบาลทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการพยุงราคา, การแบ่งโซนนมโรงเรียน, การอุดหนุนให้ขยายพื้นที่ผลิตสินค้าบางตัว เช่น ยาง, ฯลฯ ล้วนทำให้รัฐขาดทุนหลายหมื่นล้านบาทต่อปี เพราะเป็นนโยบายที่อาจสรุปสั้นๆ ได้ว่า รัฐยอมซื้อแพงขายถูก แม้ว่าเกษตรกรจะได้รับผลดีจากนโยบายเหล่านี้อยู่บ้าง (แต่น้อยกว่าพ่อค้าและนักการเมือง) แต่ผู้บริโภคกลับต้องจ่ายในราคาแพงขึ้น (ไม่นับต้องเสียเงินภาษีไปโดยไม่คุ้ม)


นี่ก็เป็นเรื่องที่คนชั้นกลางระดับกลางซึ่งเป็นผู้บริโภคสินค้าเกษตรอยู่ในเขตเมือง "โดนหยิก" โดยตรง


สืบเนื่องกับเรื่องนี้ ยังมีปัญหาที่น่าสนใจด้วยว่า ภายใต้รัฐบาลทักษิณ (โดยเฉพาะนับตั้งแต่ครึ่งหลังของสมัยแรกเป็นต้นมา) คนชั้นกลางระดับกลางในเมืองรู้สึกว่าตัวถูกเอาเปรียบหรือไม่?


ผมตอบไม่ได้ แต่มีข้อสังเกตว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ถูกโจมตีด้วยเรื่องที่น่าหวั่นไหวต่อคนชั้นกลางระดับกลาง เช่น การแทรกแซงสื่อ เพราะสื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของคนชั้นกลางระดับกลาง การแทรกแซงองค์กรอิสระก็เช่นเดียวกัน ราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทคุณทักษิณซึ่งถีบตัวขึ้นสูงกว่าคนอื่นมาก กระทบความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นซึ่งมีความสำคัญแก่คนชั้นกลางระดับกลาง ในทางตรงกันข้าม นโยบายที่เรียกว่า "ประชานิยม" ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนชั้นกลางระดับกลางโดยตรงมากนัก ถึงแม้จะใช้บริการ 30 บาทมากพอสมควร แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากกองทุนหมู่บ้าน, แปลงสินทรัพย์เป็นทุน, หรือธนาคารเอสเอ็มอี ฯลฯ มากนัก


อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า เราไม่สามารถใช้เศรษฐกิจอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ได้ทั้งหมด อย่างไรเสียเราก็ต้องมองลงไปที่ความเป็นมนุษย์ของเขาด้วย และตรงนี้แหละครับที่ยากและเถียงกันได้มาก เพราะมนุษย์คืออะไรนั้นนิยามไม่ตรงกัน


มีเหตุในทางเศรษฐกิจหลายอย่างดังที่กล่าวแล้ว ซึ่งทำให้คนชั้นกลางระดับกลางรู้สึกเจ็บ เจ็บที่ต้องสูญเสียความมั่นคงในชีวิต ไม่เฉพาะแต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจนะครับ แต่ต้องรวมถึงความมั่นคงที่คุ้นเคยกันมาด้วย (ซึ่งจะพูดถึงข้างหน้า) นอกจากนี้ ในท่ามกลางสถานภาพทางรายได้ของตัวที่ตนรู้สึกว่าตกต่ำลง สังคมไทยดูจะกลายเป็นสังคมฟูมฟายมากขึ้น (affluent society) จึงเท่ากับกีดกันตนให้ออกไปจากความฟู่ฟ่าหรูหราที่ดูจะไม่มีวันเข้าถึง


ทั้งหมดนี้คือ "ความเหลื่อมล้ำ" อย่างหนึ่ง แต่อธิบายด้วยความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่พอ จำเป็นที่จะต้องนำเอาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจนี้ เข้าไปให้ความหมายแก่ชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง และผมขอเรียกอย่างกว้างๆ ว่าความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม


ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรมนี่แหละ ที่ผมคิดว่าอธิบายพฤติกรรมทางการเมืองของเสื้อเหลืองได้ดีกว่าเศรษฐกิจ แม้ว่าเราจำเป็นต้องดำรงรักษาเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่กล่าวข้างต้นนั้นไว้ที่ข้างหลังหัวเราตลอดเวลาก็ตาม


เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมพยายามจะตอบคำถามว่า คนชั้นกลางระดับกลางออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในท้องถนนทำไม


นอกจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจแล้ว ผมได้ทิ้งท้ายว่าที่สำคัญกว่านั้นคือ ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม


ซึ่งผมขออนุญาตนำมาขยายความในสัปดาห์นี้


ก. ในสังคมฟูมฟาย สินค้าที่ "ดีกว่า" หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทีวีจอแอลซีดีซึ่งเพิ่งกัดฟันซื้อไปเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ยังผ่อนไม่ทันหมดดี ก็มีจอแอลอีดีเข้ามาวางขายในตลาด ว่ากันว่าชัดกว่า, สว่างกว่า และกินไฟน้อยกว่าเสียด้วย รถยนต์วีออสและซิตี้รุ่นใหม่นั้น สวยจับตากว่ารุ่นเก่าอย่างเทียบกันไม่ได้ ซ้ำยังมี "ลูกเล่น" ต่างๆ เพิ่มเข้าไปอีก เห็นอยู่เต็มถนนเสียด้วย คิดไปเถิดครับ มีสินค้าใหม่ที่ล่อตาล่อใจปรากฏให้อยากได้ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะชีวิตก็วนเวียนอยู่กับการครอบครองวัตถุ เป็นสัญลักษณ์แห่งตัวตนตลอดมา จะให้ไม่รู้สึกรู้สากับความเหลื่อมล้ำที่เห็นคาตาอยู่ได้อย่างไร


นักเศรษฐศาสตร์บางคนอธิบายว่า ตัณหาที่เผาผลาญมนุษย์อยู่นั้นมีประโยชน์ เพราะย่อมผลักดันให้ผู้ถูกเผาเร่งผลิตเพื่อหากำไรมาดับไฟตัณหาของตัว เศรษฐกิจโดยรวมย่อมเจริญขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้กับคนแต่ละคน โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน จะให้ขยันไปอีกแค่ไหน เพราะดังที่ได้กล่าวแล้วว่า รายได้ของคนประเภทนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วเท่ากับผลกำไรจากทุน ฉะนั้นจึงได้แต่มองสินค้าใหม่ ตัวตนใหม่ และชีวิตใหม่ในตลาดอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะรู้ว่าล้วนเป็นสิ่งที่ตนเข้าไม่ถึง


นี่คือเหตุผลที่คนจำนวนมากดึงเอา "เศรษฐกิจพอเพียง " มาเป็นคำตอบ ส่วนหนึ่งคงใช้เพื่อตอบตัณหาของตัวเอง แต่อีกมากทีเดียวใช้เพื่อตอบตัณหาของคนอื่น โดยเฉพาะของคนที่สามารถเข้าถึงสินค้าใหม่ที่ "ดีกว่า" เหล่านี้อย่างง่ายดาย พวกเขาน่าจะรู้จัก "พอเพียง" บ้าง แต่คนที่ไม่รู้จักพอเพียงก็นั่งอยู่ข้างๆ ตัวในการชุมนุมนั่นเอง พวกเขาจึงเห็นด้วยกับแกนนำว่า หัวโจกของคนที่ไม่รู้จักพอเพียงคือ นักการเมืองผู้ชั่วช้าซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งควรถืออำนาจได้ไม่เกิน 30%


นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งไม่ต้องรู้จักความพอเพียง ก็เพราะรายได้ของเขามาจากการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง แม้คนชั้นกลางระดับกลางเคยชินกับการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง เพราะในชีวิตจริงก็จ่ายเงินให้ตำรวจจราจรเป็นปกติ แต่การฉ้อราษฎร์บังหลวงของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง สร้างความเจ็บปวดให้มากกว่า เพราะรายได้อันชอบธรรมของเขาก็มากเกินกว่าที่คนชั้นกลางระดับกลางจะสามารถหามาได้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่ของเสื้อเหลืองอยู่ "ในระบบ" จึงเป็นผู้เสียภาษีทางตรง จึงยิ่งรู้สึกเจ็บกว่าความเป็นพลเมืองธรรมดา


ข. ความมั่นคงของชีวิตคนชั้นกลางระดับกลางในเมืองไทยนั้นลดลง ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของลูกหลานแพงขึ้น, ค่ารักษาพยาบาลก็แพงขึ้น ไม่ว่าในโรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชน, การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบยากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540


อย่างไรก็ตาม มีความโน้มเอียงในประเทศไทยที่เริ่มจะใช้หลักประกันสังคมบางส่วน (โดยคิดถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้น้อยเกินไป ฉะนั้น คนชั้นกลางระดับกลางจึงไม่ได้จ่ายภาษีเพิ่มขึ้น) เช่นรัฐธรรมนูญ 2540 ให้หลักประกันว่าเด็กทุกคนจะได้เรียนหนังสือถึง 12 ปี หรือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรค ทรท.


แต่เพราะไม่ได้คิดจากหลักการประกันสังคมจริง ในทางปฏิบัติจึงมุ่งไปสู่การหาเสียงและเน้นที่ "คนจน" มากกว่ากระจายให้แก่คนทุกชั้นอย่างทั่วถึง ความมั่นคงของชีวิตที่คนชั้นกลางระดับกลางได้รับจากรัฐจึงมีลักษณะสุกๆ ดิบๆ เช่นการเข้ารับบริการโครงการ 30 บาท ย่อมหมายถึงการได้รับการปฏิบัติเหมือนกับคนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ "ต่ำ" กว่า เกิดความไม่แน่ใจใน "มาตรฐาน" ของการรักษาพยาบาล เช่นเดียวกับการเรียนฟรี 12 ปี (โดยปราศจากการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนให้ใกล้เคียงกัน) ทำให้บุตรหลานของคนชั้นกลางระดับกลาง ต้องเผชิญการแข่งขันมากขึ้น ซ้ำชั้นเรียนของบุตรหลานยังเคล้าคละปะปนระหว่างคนต่างสถานภาพมากขึ้นด้วย (สถาบันการศึกษาของไทยจะทำหน้าที่กรองคนใน "ชั้น" ต่างๆ ขึ้นไปตามลำดับ ยิ่งเรียนสูง เพื่อนร่วมชั้นก็จะอยู่ในสถานภาพที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น) คนชั้นกลางระดับกลางส่วนหนึ่ง นำบุตรหลานหนีจากระบบเข้าสู่โรงเรียนราษฎร์ หรือโปรแกรมพิเศษของโรงเรียนหลวง แต่คนชั้นกลางระดับกลางจำนวนมาก ไม่มีสมรรถนะที่จะทำอย่างนั้นได้ จึงได้แต่วิตกห่วงใยต่ออนาคตทางการศึกษาของบุตรหลาน


ขึ้นชื่อว่าคนชั้นกลาง เส้นทางของการไต่เต้าทางสังคมที่ใหญ่สุดคือ การศึกษา แต่ความมั่นคงทางการศึกษาที่รัฐจัดให้กลับทำให้เส้นทางนี้แคบลงแก่คนชั้นกลางระดับกลาง


ค. แม้ว่าความเสมอภาคเป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่คนชั้นกลางระดับกลางพูดถึงมานาน แต่ในชีวิตจริงของคนชั้นกลางระดับกลางไทย ความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งที่เห็นได้ถนัด เมื่อมองขึ้นไปข้างบน ความเสมอภาคที่เรียกร้องจึงเป็นความเสมอภาคที่อยากเท่าเทียมกับคนชั้นกลางระดับเจ้าสัวและคุณหญิงคุณนาย แต่ความเสมอภาคที่รัฐนำมาให้ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เป็นความเสมอภาคที่ป้อนให้แก่คนชั้นกลางระดับล่าง มีคนแปลกหน้าที่เผยอหน้าขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งดูเหมือนคุกคามความมั่นคงในชีวิตมากยิ่งกว่าเจ้าสัวและคุณหญิงคุณนายเสียอีก


ดังนั้น หลักการความเสมอภาคจึงรับไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งแปลกปลอมใน "ความเป็นไทย" ไม่น่าอับอายอย่างไรที่จะปฏิเสธความเสมอภาคอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย สิ่งที่เรียกร้องกันอย่างอึงมี่คือ "ระเบียบ" ในระยะแรกต่อต้านความไร้ "ระเบียบ" ซึ่งรัฐบาลอันเขาคุมไม่ได้นำมา และในระยะหลังต่อต้านความไร้ "ระเบียบ" ที่การชุมนุมของเสื้อแดงนำมา "ระเบียบ" ที่คนชั้นกลางระดับกลางเรียกร้องหา คือลำดับแห่งช่วงชั้นทางสังคมนั่นเอง นี่คือเหตุผลที่ยินดีจะผูกพันการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะสถาบันนี้ถูกคนชั้นกลางระดับกลางยึดถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสังคมที่มีช่วงชั้น


และนี่คือเหตุผลที่หลงใหลได้ปลื้มกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักเรียนออกซ์ฟอร์ด ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ใช้ภาษาทั้งไทยและอังกฤษได้อย่างสละสลวย (eloquent), มีกำเนิดในตระกูล "ผู้ดี" และมีชีวิตส่วนตัวที่ไม่มีที่ติในระบบค่านิยมของคนชั้นกลางระดับกลางแต่อย่างใด นับเป็นหมุดหมายสำคัญของความมั่นคงของ "ระเบียบ" ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตามสถานภาพช่วงชั้นทางสังคมในอุดมคติควรกำหนดให้เป็นไป


ง. ส่วนที่ใหญ่ไม่น้อยในความมั่นคงของชีวิตคนไทยมาจากเครือญาติ และเครือข่ายความสัมพันธ์ ทั้งสองอย่างนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วในชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง เพราะมีญาติและเพราะมีเพื่อนจึงทำให้มี "เส้น" แต่ "เส้น" ของญาติและของเพื่อนกำลังอ่อนแรงลง ทั้งเพราะไม่สามารถผูกความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นเหมือนเดิม และทั้งเพราะ "เส้น" จะทำงานได้ผลก็ต้องเสียเงิน "ซื้อ" มากขึ้น "เส้น" กำลังเปลี่ยนไปเป็น "ซื้อ" ใน"ชีวิตของเขา ในขณะที่กำลังจะ "ซื้อ" ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นให้ทันกับการสูญเสีย "เส้น" ชีวิตจึงอึดอัดขัดข้องมากขึ้นเพราะขาดความมั่นคงในชีวิต


ที่ถูกโจมตีว่า "ม็อบมีเส้น" นั่นแหละที่สอดคล้องกับสิ่งที่กำลังโหยหา ก็เพราะ "มีเส้น" นั่นล่ะสิ การชุมนุมจึงสะท้อนอุดมคติที่หลุดลอยไปแล้วได้อย่างดีที่สุด ที่ชุมนุมกลายเป็นความอบอุ่น, ความมั่นคงปลอดภัย อย่างที่หาไม่ได้ในชีวิตจริง


จ. ผมมีเพื่อนรุ่นพี่ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง ซึ่งขยันไปสังเกตการณ์การชุมนุมของเสื้อเหลืองเกือบทุกวัน ท่านเล่าให้ผมฟังว่า คนที่มาร่วมชุมนุมจับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มๆ ตัวท่านเองก็เข้าร่วมวงสนทนากับกลุ่มโน้นกลุ่มนี้อยู่เป็นประจำ ท่านพบว่าประเด็นของการสนทนาก็คือ ความโหยหา (nostalgia) ต่ออดีตที่ไม่มีวันหวนกลับมาแล้ว โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งเมื่อสรุปรวมแล้ว ก็คือความสัมพันธ์ที่มีที่ต่ำที่สูง หรือสังคมที่มีช่วงชั้น ฉะนั้นปัญหาของพวกเขาจึงเป็นปัญหาเช่นลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่, ศิษย์ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์, เงินเป็นใหญ่กว่าความสูงของสถานภาพ รวยเสียอย่างทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด แม้แต่ทุจริตคดโกงมาก็ไม่น่าอับอายแต่อย่างใด, ความโลภโมห์โทสันระบาดลงไปถึงชาวบ้านระดับล่าง จึงขายเสียงหรือสมัครเป็นบริวารของเจ้าพ่อผู้ทุจริตอื้อฉาว ฯลฯ


ทั้งหมดเหล่านี้สรุปรวมลงเป็นความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม วิธีแก้ไขมิให้สังคมตกต่ำไปกว่านี้ จึงไม่มีทางเดียวได้แก่สนับสนุนให้คนดีมีศีลธรรมได้เป็นใหญ่ และป้องกันมิให้คนเลวไร้ศีลธรรมเข้าสู่อำนาจ หากทำได้ก็จะฟื้นเอาสังคมที่มี "ระเบียบ" อย่างเก่ากลับคืนมาได้ นั่นคือกลับคืนสู่สังคมที่มีที่ต่ำที่สูง คนมีศีลธรรมซึ่งเป็นคนสูงก็จะกำกับควบคุมให้บ้านเมืองมีความสงบสุขเจริญรุ่งเรืองโดยอัตโนมัติ


จารีตนิยมกลายเป็นปราการสำหรับปกป้องตนเองจากความเปลี่ยนแปลงที่ตั้งรับไม่ทัน


ฉ. อย่างไรเสีย เราก็หลีกหนีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสังคมไปไม่พ้น แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นความเปลี่ยนแปลงที่คนชั้นกลางระดับกลางไม่พึงพอใจ (ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังที่กล่าวแล้ว) คนที่พยายามเสนอตัวเองเป็นหัวหอกของความเปลี่ยนแปลง คือคุณทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นทางเทคโนโลยี, การบริหาร, ไปจนถึงการจัดการรัฐกิจแบบซีอีโอ


อีกทั้งเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ที่ไม่เหลียวมองคนชั้นกลางระดับกลางสักเท่าไรด้วย ขอยกตัวอย่างจากนโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน คุณทักษิณอ้างว่าแม้สามารถสร้างเถ้าแก่น้อยได้เพียง 10% ของประชาชนทั้งหมด ก็ถือว่าน่าพอใจแล้ว


เถ้าแก่น้อยจะเกี่ยวข้องกับคนชั้นกลางระดับกลางอย่างไร ไม่ค่อยชัดนัก จะให้ขายบ้านขายรถเพื่อไปลงทุนทำธุรกิจแทนการรับเงินเดือน หากไม่ได้อยู่ใน 10% ที่ประสบความสำเร็จ จะมีโอกาสกลับเข้าสู่งานรับเงินเดือนได้อีกหรือไม่


จึงไม่แปลกอะไรที่คุณทักษิณจะเป็นเป้าโจมตีสำคัญของกลุ่มคนเสื้อเหลือง (แกนนำจะมีวาระซ่อนเร้นอะไรไม่เกี่ยว) แต่ชื่อนี้ชื่อเดียวเท่านั้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับใช้แทนความเปลี่ยนแปลงอันน่ารังเกียจทั้งหมดที่ถาโถมเข้าใส่ชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง ทักษิณจึงควรออกไป และไม่กลับมาอีกตลอดชั่วฟ้าดินสลาย


หลังจากพยายามหาคำตอบว่าคนชั้นกลางระดับกลางออกมาทำไมแล้ว ผมก็นึกถามตัวเองว่า สภาพหวนกลับไปสู่อดีตเพื่อหลบหนีอนาคตเช่นนี้จะอยู่กับคนชั้นกลางระดับกลางไปตลอดหรือไม่ ผมคิดว่าไม่ เพราะความเปลี่ยนแปลงที่มาจากข้างนอกสังคมไทยแรงเกินกว่าใครจะไปหยุดยั้งมันได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีทักษิณ ในที่สุดพวกเขาก็ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงแบบไม่หลบหนีจนได้ การศึกษาที่สูงของพวกเขาจะให้ความสามารถที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงได้หลายรูปแบบ และในที่สุดกลุ่มหนึ่งก็จะต้อนรับความเปลี่ยนแปลงนั้น แล้วก็ขยายไปยังคนกลุ่มอื่นๆ ในหมู่คนชั้นกลางระดับกลางมากขึ้น


แม้แต่อดีตที่เขาโหยหาอยู่ในเวลานี้ ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างน้อยก็ช่วยประคองจังหวะก้าวให้เป็นไปอย่างมีรากมีฐานได้ดีขึ้น ถึงจะต้องละทิ้งคุณค่าเก่าๆ ที่เป็นไปไม่ได้แล้วลงไปในที่สุด ก็รู้ว่าต้องทิ้งทำไม


อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากย้ำก็คือ ทั้งคนชั้นกลางระดับล่างและคนชั้นกลางระดับกลาง เป็นพลังยิ่งใหญ่ในสังคมไทยปัจจุบัน แต่เนื่องจากระบบการเมือง, ระบบปกครอง, ระบบสังคมและวัฒนธรรม ทำให้ขาดการจัดองค์กรที่ดี ทั้งๆ ที่พลังนั้นพยายามจะเบ่งตัวเองออกมามีบทบาทในสังคม


ดังนั้น จึงง่ายที่คนชั้นกลางทั้งสองกลุ่มนี้จะตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ของคนที่จัดองค์กรเพื่อประโยชน์ทางการเมืองส่วนตนและเฉพาะหน้า
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278919534&catid=02 16/07/2010
วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 19:00:00 น. มติชนออนไลน์