การเมืองกับความเสี่ยงอัน- ตราย ท่ามกลางทิศทางมุ่งสู่ปรองดอง-ปฏิรูป
โดย สุริชัย หวันแก้ว
สังคมเสี่ยงภัย
ข้อจำกัดของภาคการเมือง
รัฐและความจำเป็นของบทบาทภาคสังคม
ในโลกที่มีความไม่แน่นอนในปัจจุบัน การบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นหลักการที่ทางวิชาการและธุรกิจยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะถือกันว่าบทบาทหน้าที่ในการกำกับดูแลและการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ควรจะเป็นเรื่องของภาครัฐ ภาคราชการและภาคธุรกิจ
อย่างไรก็ดี ในระยะถัดมาได้เกิดความตระหนักมากขึ้นในระดับวงการนโยบายการพัฒนาระหว่างประเทศและเวทีสหประชาชาติว่า การมอบบทบาทให้แก่รัฐเป็นผู้กำกับดูแลแต่ฝ่ายเดียวนั้นมีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข จึงจำเป็นจะต้องกระจายให้บทบาทการกำกับดูแลโดยภาคธุรกิจเอกชนและโดยเฉพาะบรรษัทข้ามชาติด้วย
ต่อมาในระยะหลังมานี้ได้เกิดความสนใจและใส่ใจต่อการพัฒนา กลไกกำกับดูแลแบบภาคีเอกชน-สาธารณะและภาคชุมชนกันมากขึ้น
ท่ามกลางภาวะความรุนแรงทางการเมืองในกรุงเทพฯในช่วงเมษายน-พฤษภาคม 53 นั้น ปรากฏว่า ภาครัฐและกลไกรัฐตกอยู่ในสภาพที่ขาดสมรรถนะเพียงพอที่จะปกป้องความรุนแรงที่มาในรูปแบบต่างๆ แก่ชุมชนได้
สภาพการณ์ดังกล่าวทำให้สังคมและชุมชนทุกหน่วย โดยเฉพาะในเมืองต้องดิ้นรนบริหารความเสี่ยงและจัดการชีวิตตนให้มั่นคงปลอดภัยเท่าที่จะทำได้
ชุมชนและประชาชนที่มีประสบการณ์โดยตรงจึงรู้สึก และเกิดความตระหนักรู้ว่า เราต้องร่วมชะตากรรมอันเดียวกัน เราจึงกล่าวได้ว่าวิกฤตได้เป็นโอกาสและเงื่อนไขแก่การเกิดขึ้นของสำนึกในการกำกับดูแลความเสี่ยงอันตรายโดยชุมชนและสังคม
เมื่อประชาชนตัวเล็กตัวน้อย
ตกเป็น "อาชญากร"
จริงอยู่ประเทศไทยมองข้ามปัญหาโลกร้อนอีกต่อไปไม่ได้ แต่เหตุใดเล่าในประเด็นคดีผู้ก่อความเสียหายให้โลกร้อนนั้น
(ก) ทางราชการจึงเลือกภาคเกษตรกรรมก่อนภาคอุตสาหกรรม เช่น ฝ่ายโรงงานที่ก่อปัญหาที่มาบตาพุด
และ (ข) เหตุใดจึงเลือกฟ้องเกษตรกรชาวไร่ตัวเล็กตัวน้อย เช่นที่พัทลุงและเพชรบูรณ์ ว่าเป็นผู้ก่อความเสียหายทั้งๆ ที่ปัญหาความเสียหายจากภาคอุตสาหกรรมมีมานานกว่าและขนาดใหญ่โตกว่า
1.ฐานะและบทบาทของภาคเกษตรกรรม และเกษตรกรรายย่อยเมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรมในโลกทรรศน์ของการพัฒนาของชนชั้นนำ หรือเกษตรยั่งยืน เทียบกับอุตสาหกรรมนิยม
2.พละกำลังของคู่กรณี เกษตรกรไม่มีทางสู้จึงหมิ่นเหม่ต่อการผลักให้เป็น "อาชญากร" โดยง่าย? (Victimization of the poor)
3.ความอ่อนแอทางวิชาการด้านนิเวศวิทยาการเกษตรและสังคมวิทยาชนบท เมื่อเทียบกับบางสาขาที่เป็นฐานการสนับสนุนแก่การฟ้องร้องเอาผิดต่อชาวบ้าน
เมื่อนักเรียน/เยาวชน
ตกเป็นเหยื่อของกระแสอารมณ์
และขบวนการหาคนผิดมาลงโทษ
1.การเกิดกรณี "น้องก้านธูป" และการเอ็นท์มหาวิทยาลัยศิลปากรไม่ได้กับกระแสขบวนการล่าแม่มดที่เติบโตรวดเร็วผ่านสื่อสมัยใหม่
2.การเผาโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์กับกระแสการตัดสินที่พุ่งเป้าตรงไปที่ตัวเด็ก
3.ปัญหาสิทธิเด็กและความเป็นธรรม : ความรุนแรงทางสังคมและวัฒนธรรมที่ขยายตัวด้วยสื่อใหม่ในสถานศึกษาและในสังคม
4.สถานศึกษาถูกรุกจากกระแสตัดสินความผิดสำเร็จรูป : ท่าทีของผู้ใหญ่ในสถาบันและเพื่อนฝูง
5.บทบาทของสื่อและสาธารณะ จริงอยู่ความคิดและพฤติกรรมของเด็กอาจมีปัญหาอยู่บ้าง แต่เหตุใดความสนใจจึงพุ่งเป้าไปแต่ที่ตัวเด็ก และขยายภาพความผิดจนเปิดทางแก่การแสดงอารมณ์อย่างรุนแรงเช่นนี้
6.ท่าทีของฝ่ายนโยบาย : การเพิกเฉยต่อความรุนแรงทางสังคม/วัฒนธรรมที่พุ่งเป้าไปที่เด็กตัวเล็กตัวน้อย และพลเมืองคนเล็กคนน้อย
กระแสปรองดองและการปฏิรูปสังคมการเมือง
มีความตื่นตัวต่อกระแสปฏิรูปกันมาก แม้แต่ฝ่ายที่คัดค้าน เช่น พธม. คนที่ไม่เห็นด้วยกับกระแสปรองดอง เพราะเห็นว่าไม่มีสาระมีแต่การเมือง (ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์) ก็ยังเห็นความสำคัญของการปฏิรูปด้านต่างๆ ที่สำคัญ
แต่คำถามที่สำคัญน่าจะได้แก่
1) พลังปฏิรูปสังคมการเมืองจะอยู่ที่ใด
2) แต่ปฏิรูปจะนำโดยใคร พรรคการเมืองหรือ ถึงแม้จะเห็นด้วยบ้างก็ตามทีแต่ฝ่ายการเมืองปัจจุบันจะมีความชอบธรรมและอยู่ยืนยาวเพียงไรกัน
3) อาศัยความรู้ของใคร
กระแสการปฏิรูปจึงมิควรปล่อยให้เป็นความพยายามของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะเท่าที่ผ่านมาก็อาจกลับมาสู่วังวนเดิม คือ ปรองดองของใคร เพื่อใคร โดยใคร ทำให้การปฏิรูปกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่อุบัติขึ้นใหม่ในสังคม
ดังนั้น การปฏิรูปที่มีพลังและความชอบธรรมจึงน่าจะต้อง
1.นำโดยเจ้าทุกข์ ประชาชนเจ้าของปัญหา เป็นผู้ขับเคลื่อนการปฏิรูปได้เหมาะสมกว่า และ
2.ขับเคลื่อนนำโดยภาคสังคมและชุมชนและสนับสนุนโดยเครือข่ายวิชาการ
3.เป็นขบวนการที่เป็นอิสระจากการเมืองแต่มีการปฏิสัมพันธ์กับวงการการเมือง และวงการราชการการพัฒนาที่ต้องการปฏิรูปตัวเองไปด้วย
บทบาทรัฐบาลภายหลังจัดตั้งกรรมการต่างๆ ตามโรดแมป
1) ยังขาดความจริงจังในการสร้างบรรยากาศความปรองดองเพื่อเอื้ออำนวยแก่การระดมความร่วมมือเพื่ออนาคตร่วมกัน ปัญหาคือยังไม่ลดเงื่อนไขเชิงลบและเพิ่มเงื่อนไขเชิงบวกเท่าที่ควร
- พึงปฏิรูปตัวเองและวิธีทำงานเพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้ตรงประเด็นและมีประสิทธิภาพ
- เร่งสร้างความเข้าใจ มากกว่าที่จะหาความชอบธรรมให้กับตนเองเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม "ลดละ" วิวาทะแบบโต้วาที แต่รับฟังและดำเนินการแก้ไข
- เน้นการมองเชิงโครงสร้าง มากกว่าแก้ไขสถานการณ์แบบผ่านไปวันๆ เพราะปัญหานั้นมีความซ้อนทับกัน และมิอาจใช้การแก้ปัญหาโดยการแก้ไขแบบมิติเดียวได้
- ปฏิรูประบบราชการตามกลุ่มปัญหา แทนที่จะปฏิรูปราชการเพียงตอบสนองตัวชี้วัดที่ไม่ข้องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาประชาชนหรือปล่อยให้ตามใจเสนาบดีเจ้ากระทรวง
- การมองที่พยายามตีขลุมโดยผลักคู่ตรงข้ามให้กลายเป็น "ผู้ก่อการร้าย" หรือ "คนผิด" จนทำให้ความสัมพันธ์ที่จะเชื่อมต่อ "ขาดสะบั้น"
- ขาดความตระหนักถึงผลร้ายจากการพึ่งพาเครื่องมือด้านความมั่นคงในรูปของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีต่อบรรยากาศการเมืองและโดยเฉพาะการพึ่งพากลไกราชการรวมศูนย์ให้จัดระเบียบการเมืองอย่างเคร่งครัดแต่คับแคบ ทำให้กระทบต่อสิทธิเสรีภาพในระดับท้องถิ่นอย่างมาก
2) ยังคิดแยกส่วนมากกว่าคิดเชิงบูรณาการจึงขาดความพยายามเชื่อมโยงกับทุนเดิม (กฎเหล็ก 9 ข้อ, การแก้ปัญหาทรัพยากร ฯลฯ) หรือ เชื่อมโยงกับ "ทุนเดิม" ของการบริหารราชการที่ผ่านมา เช่น คณะกรรมการติดตามแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน
3) ยังขาดการทบทวนนโยบายและทิศทางการพัฒนาที่สวนทางกับกระแสปฏิรูปที่ยึดเอาปัญหาของประชาชนระดับล่าง และสิทธิมนุษยชนเป็นหนทางนำ
4) ดังนั้นในทิศทางนโยบายจึงปล่อยให้ท่าทีของฝ่ายการเมืองขาดการประสานและขาดเอกภาพในการกำกับกระทรวงกรม กล่าวคือ เพิกเฉยใส่เกียร์ว่างต่อกระแสเรียกหาการปรองดองและปฏิรูป
5) ยังเป็นกระแสปรองดองที่เน้นระดับบนลงล่าง (topdown) อยู่มาก และให้ความสำคัญแก่ศูนย์กลางกรุงเทพฯ โดยขาดการดำเนินงานให้ภาคการเมืองและราชการมีบทบาทเชิงบวกในการเอื้ออำนวยต่อกระบวนการที่สร้างบรรยากาศปรองดองเกิดขึ้นในภาคส่วนสังคมทั่วทุกพื้นที่
6) ยังขาดการใส่ใจต่อผลกระทบในรูปแบบใหม่ๆ ที่มิได้ปรากฏเป็นเรื่องการเมืองที่โดดเด่นชัดแจ้งโดยเฉพาะกระแสความรุนแรงทางวัฒนธรรมและกระแสผลักให้เด็กหรือคนตัวเล็กตัวน้อยกลายเป็นผู้กระทำความผิด/อาชญากร
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1279008027&catid=02 16/07/2010
วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:57:11 น. มติชนออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น