หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การเมืองไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลง?

การเมืองไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลง?

โดย สายพิน แก้วงามประเสริฐ


พ.ศ.2490 คณะทหารกลุ่มหนึ่งทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ แล้วเชิญนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี


ภารกิจแรกๆ ของรัฐบาลสมัยนั้นคือ การออกพระราชกำหนดคุ้มครองความสงบสุข เพื่อดำเนินการไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2490 (ฉบับชั่วคราว) โดยให้อำนาจแก่คณะรัฐประหารเพื่อกวาดล้างจับกุมคุมขัง "บุคคลอันมีเหตุผลสมควรสงสัยว่าจะขัดขวางการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน"


จึงทำให้เกิดการกวาดล้างจับกุมบุคคลสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีทั้งอดีตรัฐมนตรี ส.ส. เสรีไทย และนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีผู้ถูกจับกุมเกือบ 20 คน แต่มีหลายคนได้รับการปล่อยตัว เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน


ต่อมาวันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2491 นายควง อภัยวงศ์ ได้ถูกคณะรัฐประหาร "จี้" ให้ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี


นำไปสู่การกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่งของจอมพล ป.พิบูลสงคราม


ภายหลังการขึ้นสู่อำนาจของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านอำนาจของจอมพล ป.พิบูลสงคราม หลายครั้ง เช่น กบฏเสนาธิการ ใน พ.ศ.2491 นำโดยคณะทหารฝ่ายเสนาธิการ ซึ่งต้องการให้ทหารเป็น "ทหารอาชีพ" ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่การก่อการไม่สำเร็จเพราะแผนรั่วไหล รัฐบาลได้พยายามทำให้คดีนี้รุนแรง ด้วยการแฉคำให้การของจำเลยว่าคิดวางแผนที่จะทำการรัฐประหารจริงๆ


การต่อต้านอำนาจจอมพล ป.พิบูลสงคราม อีกเหตุการณ์หนึ่งเรียกว่า กบฏแบ่งแยกดินแดน โดยที่หลังรัฐประหาร พ.ศ.2490 หนังสือพิมพ์ได้พาดหัวข่าวเกี่ยวกับการรัฐประหารว่า "...30,000 คน ชุมนุมเพื่อต่อต้านที่ภาคอีสาน" นอกจากนี้ มีการกล่าวหาว่า ส.ส.อีสานบางคนคิดแบ่งแยกดินแดน และนำประเด็นเรื่องคอมมิวนิสต์ปลุกปั่นประชาชนในภาคอีสาน ทำให้รัฐบาลสั่งจับกุม ส.ส.ภาคอีสานหลายคน เช่น นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายเตียง ศิริขันธ์ นายถวิล อุดล และนายฟอง สิทธิธรรม ซึ่งทำให้ความคิดต่อต้านรัฐบาลมีเพิ่มมากขึ้น


ความพยายามท้าทายอำนาจของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เกิดขึ้นอีกครั้งในเหตุการณ์ที่เรียกว่า "กบฏวังหลวง" หรือ "ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492" เป็นความร่วมระหว่างฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์ กับฝ่ายทหารเรือ เนื่องจากฝ่ายทหารเรือเห็นว่านายปรีดี ไม่ได้รับความเป็นธรรม และถูกไล่ล่าจากรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม อย่างหนัก


การปะทะกันในช่วงสำคัญระหว่างฝ่ายทหารบกที่สนับสนุนรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม กับฝ่ายทหารเรือที่สนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ สมรภูมิการสู้รบที่สำคัญอยู่ที่แยกราชประสงค์ ในช่วงแรกฝ่ายทหารเรือเป็นฝ่ายได้เปรียบ สามารถบุกจนทหารบกต้องถอยร่นไปถึงแยกราชเทวี แต่ในที่สุดฝ่ายรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม สามารถปราบปรามกลุ่มบุคคลที่ต่อต้านรัฐบาลได้สำเร็จ


ผลของเหตุการณ์ครั้งนี้ นอกจากทำให้นายปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศโดยถาวรแล้วยังทำให้รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ถือโอกาสปราบปรามศัตรูทางการเมืองอย่างรุนแรง จับกุมบุคคลต่างๆ จำนวนมากทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ รวมทั้งมีการฆ่าทหาร ตำรวจ นักการเมือง ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ แต่รัฐบาลเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์


ที่ร้ายแรงมากคือ การจับกุมอดีตรัฐบาล และ ส.ส.อีสาน ได้แก่ นายทองอิน ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล นายจำลอง ดาวเรือง และนายทองเปลว ชลภูมิ (ส.ส.ปราจีนบุรี และอดีตรัฐมนตรี) ระหว่างถูกนำตัวไปสอบสวน ทั้งสี่ท่านแม้นั่งอยู่ในรถตำรวจ ยังถูกยิงทิ้งอย่างโหดเหี้ยมทารุณ


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีเหตุการณ์สังหารโหด ส.ส.อีสานและอดีตรัฐมนตรีนี้แล้ว แต่ไม่อาจทำให้ ส.ส.อีสานส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่สยบยอมต่อการใช้อำนาจเผด็จการของรัฐบาลในขณะนั้น


ในส่วนของทหารเรือแม้จะถูกลดบทบาทความสำคัญลงก็ตาม ในที่สุด พ.ศ.2494 ทหารเรือกลุ่มหนึ่งซึ่งนำโดย น.ต.มนัส จารุภา ผู้บังคับการเรือรบหลวงรัตนโกสินทร์ ได้เป็นแกนนำจับตัวจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นตัวประกัน ขณะไปรับมอบเรือขุดแมนฮัตตัน ที่สหรัฐอเมริกามอบให้


แต่การก่อการครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะคณะรัฐประหารตัดสินใจใช้ความรุนแรงด้วยการยิงถล่มจนเรือรบหลวงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเรือที่ฝ่ายทหารเรือนำตัวจอมพล ป.พิบูลสงคราม ไปคุมไว้ จมลง เหตุการณ์ครั้งนี้เรียกว่า "กบฏแมนฮัตตัน"


หลังเกิดเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน ทหารเรือถูกลดบทบาทมากขึ้นอีก โดยเฉพาะกรมยุทธการทหารเรือที่เคยตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาถูกย้ายไปอยู่สัตหีบ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นกองเรือยุทธการ และมีบางหน่วยงานของกองทัพเรือถูกยกเลิกไป เพื่อลดบทบาททางการเมือง


นอกจากกำจัดอิทธิพลของทหารเรือแล้ว ในส่วนของเสรีไทยที่เกี่ยวเนื่องกับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ส่งทหารเข้ายึดมหาวิทยาลัย โดยอ้างว่า "ขอยืมใช้เป็นสถานที่ชั่วคราวเพื่อความสงบเรียบร้อย" ถ้าศัพท์ปัจจุบันคงใช้คำว่า "ขอคืนพื้นที่"


จนทำให้นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ และคณะรัฐศาสตร์ต้องไปใช้อาคารของเนติบัณฑิตยสภาเป็นที่เรียน ส่วนคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และคณะเศรษฐศาสตร์ ต้องไปใช้อาคารโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เป็นที่เรียน


ต่อมากองทัพบกได้เสนอเงินจำนวน 5 ล้านบาท เพื่อซื้อมหาวิทยาลัย นักศึกษาจึงชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องมหาวิทยาลัยคืน รวมทั้ง ส.ส.ที่เป็นศิษย์เก่าได้ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลในเรื่องนี้


จนในที่สุดวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ได้นำรถบัสกว่า 10 คัน ไปรับนักศึกษาที่กลับจากการไปทัศนศึกษาต่างจังหวัด แล้วมุ่งตรงมายังมหาวิทยาลัย เพื่อยึดมหาวิทยาลัยคืนได้ในที่สุด


การที่รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ถูกท้าทายอำนาจหลายครั้ง หลังเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตันแล้ว ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 รัฐบาลจึงได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจตนเอง ที่เรียกว่า "การปฏิวัติเงียบ" เพื่อยกเลิกการใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2492 แล้วนำรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2475 กลับมาใช้ใหม่ พร้อมมีบทเฉพาะกาลที่ยินยอมให้ข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ในเวลาเดียวกัน พร้อมทั้งระบุให้รัฐสภามีเพียงสภาเดียว แต่มีสมาชิกสองประเภท คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่งมาจากการเลือกตั้ง ส่วนประเภทที่สองมาจากการแต่งตั้ง ทั้งสองประเภทนี้มีจำนวนเท่ากัน ทำให้รัฐบาลมีเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้น ซึ่งสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งเกือบทั้งหมดเป็นทหาร ถือว่าเป็นการปูนบำเหน็จให้กับคณะรัฐประหารที่ทำให้จอมพล ป.ได้กลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง


นอกจากนี้ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่งทั่วประเทศ ภายใต้บรรยากาศการห้ามชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คน ของคณะบริหารประเทศชั่วคราว ทำให้การรวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองอย่างเปิดเผยเพื่อหาเสียงทำไม่ได้ ต้องต่างคนต่างหาเสียง ฝ่ายรัฐบาลจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบในการส่งคนสมัครรับเลือกตั้งเพราะมีอำนาจอยู่ในมือ


ดังนั้น พรรคฝ่ายค้านในขณะนั้นคือพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงการคัดค้านสภาพการณ์ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ด้วยการที่สมาชิกพรรคส่วนใหญ่ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง


การปฏิวัติเงียบจึงทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีอำนาจล้นฟ้า แม้ว่าจะมีอำนาจมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังคงมีกลุ่มบุคคลที่ท้าทายอำนาจรัฐบาลจอมพล ป.อยู่เนืองๆ รัฐบาลจึงได้ออกพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2495 ทำให้มีการจับกุมคุมขัง สังหารโหดบุคคลที่เคยมีส่วนร่วมกับนายปรีดี พนมยงค์ หลายคน


การต่อต้านรัฐบาลยังไม่ยุติ แต่รูปแบบการเคลื่อนไหวไม่ใช่การจับอาวุธขึ้นต่อสู้ เป็นการเคลื่อนไหวในกลุ่มของนักคิด นักเขียนที่สำคัญ เช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือศรีบูรพา อัศนีย์ พลจันทร์ สมัคร บุราวาส สุภา ศิริมานนท์ สุวัฒน์ วรดิลก และอุทธรณ์ พลกุล เป็นต้น ด้วยการเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทยที่ไม่เป็นประชาธิปไตย


นักคิดนักเขียนเหล่านี้ได้รวมกลุ่มกันเพื่อคัดค้านการกระทำของรัฐบาลที่ขัดขวางสันติภาพ โดยรัฐบาลสนับสนุนการร่วมรบในสงครามเกาหลี ต่อมา พ.ศ.2495 เกิดความแห้งแล้งในภาคอีสาน คณะกรรมการสันติภาพสากลแห่งประเทศไทยได้เรียกร้องให้ประชาชนบริจาคส่งของเครื่องใช้แก่คนภาคอีสาน เมื่อคณะกรรมการชุดนี้เดินทางกลับจากการแจกสิ่งของในภาคอีสานก็ถูกจับ


รวมทั้งกลุ่มบุคคลที่ไปประชุมสันติภาพสากลที่ประเทศจีน เมื่อกลับมาก็ถูกจับให้ข้อหาเป็น "กบฏสันติภาพ" บุคคลสำคัญ เช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ อุทธรณ์ พลกุล และคนอื่นๆ ด้วยข้อหา "มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์" และยังกล่าวหาว่านายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งลี้ภัยอยู่ในประเทศจีนเป็นผู้นำขบวนการคอมมิวนิสต์


นอกจากนี้ ยังมีการจับกุมกวาดล้างครั้งใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2495 ในข้อหายุยงก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง เป้าหมายของการจับกุมครอบคลุมไปทุกวงการ ทั้งนักการเมือง นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยานายปรีดี พนมยงค์ ยังถูกจับในข้อหากบฏในราชอาณาจักร หรือกบฏสันติภาพ


นอกจากการจับกุมคุมขังบุคคลต่างๆ ที่รัฐบาลสงสัย หรือน่าเชื่อว่ามีส่วนยุยงส่งเสริมก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมืองแล้ว ยังมีนักการเมืองที่รัฐบาลเชื่อว่ายังจงรักภักดีต่อนายปรีดี พนมยงค์ ถูกสังหารโหด ได้แก่ นายเตียง ศิริขันธ์ และพรรคพวก


แม้ว่าความสำเร็จในการปราบปรามกบฏต่างๆ จะทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีอำนาจมากขึ้น จนกระทั่งมีแนวโน้มใช้อำนาจแบบเผด็จการมากขึ้น แต่กระบวนการต่อต้านจอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่ได้สิ้นสุดลง เพียงแต่วิธีการต่อต้านเปลี่ยนแปลง จากการยกกำลังมายึดอำนาจ เปลี่ยนเป็นต่อต้านในรูปแบบแนวคิดแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ผ่านการเคลื่อนไหวของนักคิด นักเขียนที่สำคัญ ทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม ต้องสร้างภาพของการคุกคามของคอมนิวนิสต์ว่าเป็นภัยที่ร้ายแรง และนำประเทศไปผูกพันกับสหรัฐอเมริกาที่มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์


การสร้างภาพให้เห็นว่าผู้ที่ต่อต้านอำนาจของตนเองเป็นคอมมิวนิสต์ และเป็นภัยที่ร้ายแรงต่อประเทศชาติ การใช้อำนาจจับกุมคุมขัง หรือการสังหารโหด เพราะเชื่อว่ามีแนวคิดเป็นคอมมิวนิสต์ ได้ผลักดันให้ประชาชน นักการเมือง นักคิด นักเขียน ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ไปยืนอยู่ฟากของการเป็นคอมมิวนิสต์ และนำไปสู่การใช้กำลังต่อสู้ประหัตประหารกัน


จนแม้กระทั่งเมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม หมดอำนาจลงไปด้วยการถูกปฏิวัติยึดอำนาจจากบริวารของตนเองแล้วก็ตาม แต่ได้เพาะเชื้อที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งต่อสู้ระหว่างผู้มีอำนาจกับประชาชนที่ยากไร้ในชนบท โดยเฉพาะในดินแดนที่แห้งแล้งกันดารขาดการเหลียวแลเท่าที่ควรจะเป็น


ทำให้การต่อสู้ระหว่างรัฐที่ต้องการรักษาอำนาจของตนเอง กับฝ่ายตรงข้ามที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ต้องต่อสู้กันอย่างยืดเยื้อยาวนาน กลายเป็นบาดแผลของสังคมในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์หลายครั้งหลายครา


ประวัติศาสตร์การเมืองไทยในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ทำให้เกิดการเรียนรู้ว่า แม้ว่ารัฐจะมีกฎหมายเป็นเครื่องมือในการให้อำนาจแก่ตนที่จะจัดการกับใครอย่างใดก็ได้ รวมทั้งการใส่ร้ายป้ายสี เที่ยวแขวนป้ายให้ประชาชนที่มีความคิดแตกต่างจากผู้มีอำนาจในรัฐ การปฏิบัติต่อประชาชนอย่างไม่เท่าเทียมกัน การไม่นำพาต่อการให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างถ้วนหน้าแล้ว แม้มีอำนาจจับกุมคุมขัง ปิดปาก ปิดหู ปิดตาประชาชน แต่ไม่อาจทำให้ประชาชนทุกคนสยบยอม ยอมรับอำนาจได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน เพราะในที่สุดจะพบกับความเสื่อมศรัทธาลงไปตามลำดับ แม้ว่าจะพยายามหลอกตัวเองว่ายังคงมีอำนาจอยู่ก็ตาม


เรื่องราวประวัติศาสตร์การเมืองในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ผ่านเวลามากว่า 60 ปี แต่ประวัติศาสตร์ย่อมเป็นบทเรียนที่จะแสดงให้เห็นว่า การใช้กำลังปราบปรามผู้ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากรัฐ การเที่ยวแขวนป้ายให้ใครเป็นผู้ก่อการร้าย ย่อมทำให้ความขัดแย้งรุนแรง เกิดการเผชิญหน้ามากขึ้น และไม่อาจทำให้รัฐมีอำนาจได้อย่างแท้จริง เพราะในที่สุดอำนาจที่ปราศจากความศรัทธาจากมหาชนอย่างถ้วนหน้า ย่อมดับสูญไปในที่สุดไม่เร็วก็ช้า


และเรื่องราวเหล่านี้จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลสืบไป
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278586371&catid=02
วันที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:00:00 น. มติชนออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น