หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

7 บทความ ฝรั่งมองไทย: สถาบันกษัตริย์ไทย กับม็อบพันธมิตรฯ

7 บทความ ฝรั่งมองไทย: สถาบันกษัตริย์ไทย กับม็อบพันธมิตรฯ
Author : BioLawCom (รวบรวมบทความ)

Quelle : BioLawCom.De

Category : บทความทั่วไป

Publisher : เชกูวารา
บทความทั่วไป



หมายเหตุ: - เรียงลำดับบทความตามวันที่ตีพิมพ์

- บทความต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถคลิ้กได้ที่ชื่อบทความ "ภาษาอังกฤษ"





บทความ ๑.

ม็อบและราชบัลลังก์ (The crowd and the crown)




From International Herald Tribune

December 1, 2008



โดย : Philip Bowring

แปลโดย : Thai E-News

ได้ข้อมูลผ่าน : Hello Siam



เป็นไปได้ไหมว่าสถาบันกษัตริย์ของเมืองไทยจะเดินไปทางเดียวกับประเทศเนปาล ที่ราชบัลลังก์ล่าสุดได้ถูกโค่นล้มและถูกเปลี่ยนไปเป็นระบอบสาธารณรัฐ ?

ความคิดนี้อาจฟังดูไร้สาระเมื่อพิจารณาว่า กษัตริย์ของเมืองไทย ภูมิพลอดุลยเดช ถูกกล่าวขานโดยมีคำนำหน้าว่า "ที่เคารพรัก" มาโดยตลอดโดยสื่อต่างชาติและถูกยกย่องเชิดชูโดยสื่อในประเทศมาโดยตลอด

แต่อย่างที่เนปาลได้พิสูจน์ให้เห็นว่า สถาบันกษัตริย์สามารถทำลายตนเอง เมื่อราชวงศ์เองมีการทะลาะเบาะแว้งกันหรือเมื่อราชวงศ์ที่ไร้ความสามารถทำ เลยเถิดจนก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่เกี่ยวกับสาธาณรัฐ

มันเป็นการควรที่คำนึงถึงกษัตริย์ Birendra ของเนปาลที่ได้รับการสักการะและเคารพในช่วงเวลา 30 ปีที่ครองราชย์ แต่หลังจากที่ถูกสังหารโดยลูกชายที่มีสติฟั่นเฟือน ในปี 2001 เขาก็ได้ถูกสืบทอดราชบัลลังก์โดย King Gyeandendra ซึ่งก็ได้ทำการยุบสภาในปี 2005 และพยายามจะบังคับให้ใช้ระบอบสมบูรณาฯหรือกษัตริย์มีอำนาจในการปกครองโดยตรง แต่มันก็เป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ระบอบสาธารณรัฐ และการประท้วงของขบวนการนิยมลัทธิเหมา ปูทางให้เกิดการเลือกตั้งและสถาบันกษัตริย์ก็ถูกล้มล้างไปในเดือนมีนาคม

เป็นไปได้ไหมว่ากลุ่มผู้ประท้วงที่อ้างว่าสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ที่ทำให้สนามบินของไทยเป็นอัมพาต กำลังหว่านเมล็ดของความไม่ไว้วางใจสถาบันกษัตริย์ในกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่เลือกรัฐบาลปัจจุบัน เข้ามาบริหารประเทศเมื่อ 11 เดือนที่แล้ว เป็นไปได้ไหมว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่แข็งกร้าวมันกลบความขุ่นเคืองใจที่กำลังทวีคูณขึ้นทุกวัน

กษัตริย์ภูมิพลโดยปกติ จะถูกนำเสนอให้เห็นว่าทรงอยู่เหนือการเมือง จะเข้ามาแทรกแซงก็ต่อเมื่อต้องการจะยุติความขัดแย้งหรือ

ทำให้อำนาจทหารและการเมืองกลับสู่สภาวะสมดุลย์

แต่โดยแท้จริงแล้ว ประวัติศาสตร์ไม่ใช่จะง่ายอย่างที่คิด โดยรวมแล้วก็ได้เห็นด้วยเป็นนัยๆต่อการรัฐประหารที่อ้างเสถียรภาพและความ สะอาดของรัฐบาล

แต่ในเหตุการณ์นี้การนิ่งเงียบของกษัตริย์ในช่วงโกลาหลที่เกิดจากกลุ่ม พันธมิตรนั้น มันดูเหมือนจะเป็นการบอกอะไรบางอย่าง มันอาจเป็นการสัญญาณเป็นนัยๆว่าเป็นการสนับสนุนการชุมนุม หรือไม่ก็ได้ ด้วยพระชนมมายุ 81 พรรษา และพระพลานัยที่ไม่แข็งแรงนักและกำลังไว้ทุกข์ให้แก่สมเด็จพระพี่นาง พระองค์จึงไม่มีพระราชประสงค์ที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทที่ เกี่ยวข้องกับการสืบทอดราชบัลลังก์

อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องสงสัยเลยว่า กลุ่มพันธมิตรได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางโดยสถาบันที่เกี่ยวกับ ข้าราชการ ระบบความยุติธรรม และกองทัพที่เกี่ยวข้องกับองคมนตรี ซึ่งนำโดยอดีตนายกฯเปรม ติณสูลานนท์ซึ่งอายุ 88 ปี การสนับสนุนโดยราชวงศ์

ซึ่งสามารถเห็นได้จากการที่พระราชินีได้เสด็จไปร่วมงานศพของฝ่ายพันธมิตรที่อ้างว่าเสียชีวิตจากระเบิดแก๊สน้ำตาซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

กองทัพไม่สามารถที่จะนำความสงบกลับคืนมา หรือหยุดปัญหาโดยทำรัฐประหารอีกครั้ง เพราะครั้งก่อนก็ล้มเหลวและไม่มีแผนรองรับที่ดีหลังรัฐประหารด้วย

"พันธมิตรประชาชนประชาธิปไตย" ก็เป็นการตั้งชื่อที่ผิดด้วย เพราะส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มาจากชนชั้นสูง หรือการสนับสนุนทางการเงินโดยชนชั้นสูงที่เกลียดและกลัวอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกขับไล่จากตำแหน่งโดยการรัฐประหารปี 2006 พวกเขาไม่ไว้ใจระบอบประชาธิปไตย และอ้างว่าเป็นตัวแทนของรัฐบาลที่สุจริต

ทักษิณแน่นอนได้ใช้อำนาจในทางที่ผิดโดยต้องการผลประโยชน์ทางการเมืองและ การเงิน และเขาก็สมควรที่จะถูกลดอำนาจลง แต่สิ่งที่ศัตรูของเขาไม่พอใจคือการกุมอำนาจ และการที่เขาพึ่งคะแนนเสียงจากกลุ่มคนในชนบท กลุ่มที่ไม่พอใจกับข่องว่างของรายได้ที่กว้างระหว่างพวกเขากับชนชั้นกลาง

กลุ่มคนที่สนับสนุนระบอบการปกครองแบบกษัตริย์มีความต้องการอย่างมากที่จะให้ทักษิณหมดอำนาจระหว่างที่จะมีการสืบทอดพระราชบัลลังก์ มกุฎราชกุมารได้รับความนิยมน้อยกว่าพระราชบิดา และบทบาทไนอนาคตของราชวงศ์รวมทั้งราชินีก็ไม่มีความแน่นอน

ทักษิณไม่ใช่นักนิยมสาธารณรัฐ แต่เหมือนกับผู้นำที่แข็งแกร่งในทศวรรษที่ 50 และ 60 อย่างจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่พึงพอใจจะให้สถาบันกษัตริย์เป็นแต่เพียงการรักษาสัญลักษณ์ของธรรมเนียม ปฎิบัติมากกว่า และไม่ต้องการที่จะให้สถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลางของอำนาจ ชนชั้นสูงต้องการเพียงที่จะใช้สถาบันกษัตริย์เพื่อเกื้อหนุนสถานะภาพของ ตนเอง เหมือนที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ผ่านทางพันธมิตร

แต่นี่อาจจะลงเอยด้วยการเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์มากกว่าไม่ใช่การช่วยเหลือ เลย และถ้ากลุ่มคนที่สนับสนุนทักษิณได้เปรียบในการต่อสู้ชิงอำนาจครั้งนี้ พวกเขาจะสร้างความไม่พอใจให้กับราชวงศ์ที่ไม่สามารถดึงดูดความเคารพรักที่ ให้แก่กษัตริย์ภูมิพล และความสำเร็จของชนชั้นสูงนั้นก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากทางกองทัพด้วย ซึ่งบุคคลที่มีอำนาจในกองทัพอาจปรากฏออกมา และลดบทบาทของกษัตริย์องค์ใหม่

ดังนั้นคนไทยที่ให้ความสำคัญกับบทบาทของกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ควรศึกษาประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นานมานี้ และอันตรายของการใช้ฝูงชนประท้วงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง.


--------------------------------

บทความ ๒.


ประเทศไทย และรัฐประหารเพื่อคนรวย


(Thailand and the Coup for the Rich )


From The Asia Sentinel

December 2, 2008




โดย : ใจ อึ๊งภากรณ์

แปลโดย : Invisible hands


ได้ข้อมูลผ่าน : กระทู้บอร์ดฟ้าเดียวกัน โดย สมเสร็จเปรม

เป็นไปตามคาดหมาย ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

ศาลรัฐธรรมนูญ ของประเทศไทยตัดสินยุบพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย เป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันอังคารนี้ ทำให้รัฐบาลต้องลาออก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่กองทัพและตำรวจปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่ง ของรัฐบาล ให้ยึดสนามบินนานาชาติทั้งสองซึ่งถูกยึดโดยกลุ่มพันธมิตรฟาสซิสต์คืน

กลุ่ม นิยมเจ้าต่อต้านรัฐบาลประกอบด้วยพันธมิตรฟาสซิสต์ ทหาร ตำรวจ ตุลาการ สื่อกระแสหลัก พรรคประชาธิปัตย์ นักวิชาการชนชั้นกลางส่วนใหญ่ และ ....... พวกเขาอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารโดยตุลาการครั้งนี้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่มนอกกฎหมายที่ทำการปิดสนามบินใน กรุงเทพฯทั้ง 2 แห่ง

พันธมิตรฯเสื้อเหลืองมีการ์ดติดอาวุธยิงปืนใส่ ศัตรูอยู่เสมอ พวกเขาใช้ความรุนแรงเป็นประจำและเรียกร้องให้มี"การดูแลความปลอดภัยร่วม"กับ ตำรวจ พันธมิตรฯละเมิดกฎหมายอยู่เสมอ แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ แม้นานๆครั้งพวกเขาจะต้องไปขึ้นศาล พวกเขาก็จะได้รับประกันตัวและอนุญาตให้กลับไปก่ออาชญากรรมเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำ เล่าเสมอมา

คนไทยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนจนต้องรับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด อันดับแรก พวกนิยมเจ้าชนชั้นสูงกำลังทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อพรากสิทธิ พื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยไปจากพวกเขา อันดับสอง คนงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังตกงานเนื่องจากการปิดสนามบิน ภาคเกษตรกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ต่างก็ได้รับผลกระทบเช่นกันและพวกเราก็กำลัง เผชิญหน้า

กับวิกฤติเศรษฐกิจโลกขั้นรุนแรง พวกชนชั้นสูงไม่สนใจว่าเศรษฐกิจไทยจะถูกทำลายเพียงใดหรือประเทศไทยจะกลับไป เป็นประเทศโลกที่ 3 หรือไม่ ในประเทศโลกที่ 3 พวกชนชั้นสูงต่างก็มีชีวิตเช่นเดียวกับคนรวยในประเทศที่พัฒนาแล้ว พันธมิตรฯเป็นพวกชนชั้นกลางหัวรุนแรงที่ไม่จำเป็นต้องไปทำงาน ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงชุมนุมอย่างยืดเยื้อ

เราได้รับการบอกกล่าวจาก พวกหัวอนุรักษ์อยู่เสมอว่าคนจนโง่เกินกว่าที่ควรจะมีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้ง กองทัพทำรัฐประหารใน พ.ศ. 2549 และเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่เพื่อลดพื้นที่ทางประชาธิปไตยและเพื่อนิรโทษกรรม ให้ตัวพวกเขาเอง ประชาชนได้เลือกพรรครัฐบาลเข้ามาบริหารด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นหลายครั้งหลาย หน ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทยของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร หรือพรรคพลังประชาชนที่รับช่วงต่อ ตอนนี้ นักการเมืองของพรรคพลังประชาชนกำลังย้ายไปพรรคใหม่ชื่อพรรคเพื่อไทย การเลือกตั้งที่ยุติธรรมจะเกิดขึ้นหรือไม่? หรือพวกชนชั้นสูงจะวางแผน"แก้ไข"เพื่อทำให้คนของพวกเขาชนะ ?

อะไรคือสาเหตุของวิกฤติครั้งนี้ ?

ต้นเหตุ ของวิกฤติครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องการคอรัปชันของรัฐบาลทักษิณในอดีต ไม่ใช่เรื่องการซื้อเสียง, ธรรมาภิบาล, สิทธิพลเมือง, หรือหลักนิติรัฐ นักการเมืองทุกพรรครวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์เป็นที่รู้กันดีว่าซื้อเสียง ทั้งนั้น พวกชนชั้นสูงไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ หรือทหาร ต่างก็มีประวัติคอรัปชันอย่างน่าสะอิดสะเอียน แม้เมื่อพวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย พวกเขาก็รวยด้วยการทำนาบนหลังแรงงานและชาวนายากจน พรรคประชาธิปัตย์เต็มไปด้วยเศรษฐีเหล่านั้น

เป็นเรื่องประหลาดที่ พรรคไทยรักไทยกลับทำให้การซื้อเสียงลดความสำคัญลงเพราะมันเป็นพรรคแรกในรอบ หลายทศวรรษที่มีนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนยากจนอย่างแท้จริง พวกเขาริเริ่มนโยบายประกันสุขภาพแบบครอบคลุมและนโยบายกองทุนหมู่บ้านแบบเศรษ ศาสตร์สำนักเคนส์ ประชาชนเลือกพวกเขาด้วยนโยบายเหล่านี้ พรรคประชาธิปัตย์และพวกชนชั้นสูงหัวอนุรักษ์เกลียดการร่วมมือระหว่างพรรคของ ทักษิณกับคนยากจน พวกเขาเกลียดความคิดที่รัฐบาลจะใช้งบประมาณสาธารณะเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของ คนยากจน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เครือข่ายต่อต้านรัฐบาลจึงเป็นเครือข่ายต่อต้าน ประชาธิปไตย พันธมิตรฯได้แนะนำให้ลดจำนวน ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งและยื่นข้อเสนอให้ยกเลิกหลักการ"หนึ่งคน หนึ่งเสียง" ดังนั้นต้นเหตุของปัญหาก็คือการที่ชนชั้นสูงอนุรักษ์ดูถูกเหยียดหยามคนจนและ รังเกียจประชาธิปไตย พวกเขาพร้อมที่จะละเมิดกฎหมายเมื่อมันเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา

อะไรคือทางออก ?

พวก นักธุรกิจและชนชั้นสูงนิยมเจ้ากำลังเรียกร้องรัฐบาลแห่งชาติที่ไม่ได้มาจาก การเลือกตั้ง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์"รับอาสา"เป็นนายกรัฐมนตรี! รัฐบาลแห่งชาติจะทำให้การรัฐประหารโดยตุลาการเพื่อคนร่ำรวยเสร็จสมบูรณ์ มันจะเป็นชัยชนะของพันธมิตรฯและเป็นความพ่ายแพ้ของผู้เลือกตั้ง

กลุ่ม เสื้อแดงที่ก่อตั้งโดยนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลเป็นความหวังเดียวของ ประชาธิปไตยไทย พวกเขาตอนนี้เป็นกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยเพื่อคนจนโดยแท้จริง นี่คือสิ่งที่เรียกว่า "ประชาสังคม" หาใช่พวกพันธมิตรฟาสซิสต์ไม่ นักวิชาการไทยไม่เข้าใจข้อเท็จจริงพื้นฐานข้อนี้ แต่กลุ่มเสื้อแดงก็ไม่ใช่กลุ่มที่มีความเห็นเดียว หลายคนมีภาพลวงตาเกี่ยวกับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร พวกเขามองข้ามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้และสงครามยาเสพติด ซึ่งประชาชนหลายร้อยคนถูกยิงเพราะเป็นผู้ค้ายาโดยปราศจากการจับกุม ตัดสินหรือพิสูจน์ แต่ประเด็นสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ก็ถูกละเลยอย่างสิ้นเชิงโดยพวกพันธมิตรฯและ เครือข่าย

ของเขาด้วยเช่นกัน

ตลอดวิกฤติที่ยาวนานกว่าสามปีนี้ ขบวนการเอ็นจีโอไทยส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน) ต่างล้มเหลวในการสนับสนุนประชาธิปไตย พวกเขาหลายคนอ้าแขนรับรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ด้วยความยินดี หลายคนสนับสนุนรัฐธรรมนูญของทหาร ตอนนี้พวกเขากำลังเงียบหรือไม่ก็พูดย้ำข้อเสนอของผู้บัญชาการทหารบก ที่พูดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่ารัฐบาลควรลาออก

พวกเขาไม่เคยพยายาม สร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่สนับสนุนประชาธิปไตย หลายคนเชื่อว่าคนจน "ไร้การศึกษา" และขาดข้อมูลเพียงพอที่จะเลือกตั้ง ตัวอย่างที่น่านับถือได้แก่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนที่เชียงใหม่ บางส่วนของขบวนการแรงงาน และกลุ่มนักกิจกรรมเอ็นจีโอรุ่นใหม่ๆ และกลุ่มเลี้ยวซ้าย

วิกฤติเศรษฐกิจ

คนหลายล้านคนต้อง สูญเสียงานเพราะวิกฤติเศรษฐกิจโลกและความวุ่นวายในสังคมไทย ผู้คนถูกผลักกลับไปสู่ความยากจน แต่กระนั้น พรรคประชาธิปัตย์ ทหาร ชนชั้นสูงนิยมเจ้า และเอ็นจีโอกระแสหลัก ก็ไม่เข้าใจหรือไม่แยแสเรื่องนโยบายที่จะปกป้องคุณภาพชีวิตของคนจนแม้แต่ นิดเดียว พวกเขาพร่ำสรรเสริญเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัวและความจำเป็นเรื่อง วินัยทางการ

คลัง พูดง่ายๆก็คือคนจนต้องลดรายจ่ายของเขาและเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่กับความยากจน ในขณะที่คนรวยก็มีชีวิตอยู่อย่างหรูหราต่อไป

พวก เราเรียกร้องให้รัฐใช้จ่ายกับถนนหนทาง การปกป้องงาน และการเพิ่มสวัสดิการ อย่างหมดหวัง ภาษีมูลค่าเพิ่มควรจะต้องถูกลดหรือกำจัดให้หมดไป และควรเรียกเก็บภาษีชนชั้นสูงที่ร่ำรวยให้สูงขึ้นอย่างไม่มีข้อยกเว้น งบทหารมหาศาลควรถูกตัด ค่าแรงควรเพิ่ม ชาวนายากจนควรได้รับการปกป้อง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ในบรรยากาศประชาธิปไตยที่แท้จริงเท่านั้น นี่เป็นเหตุผลที่เราต้องต่อต้าน"รัฐประหารเพื่อคนรวย"ครั้งที่ 2 ครั้งนี้.


---------------------------------


บทความ ๓.

บทวิเคราะห์ : ข่าวลือรอบ ๆ สถาบันกษัตริย์ไทย และชัยชนะของพันธมิตรฯ

(Analysis: dark rumours around Thai monarchy and PAD victory)



From The Times

December 3, 2008



โดย : Richard Lloyd Parry

แปลโดย : Invisible hands

ได้ข้อมูลผ่าน : กระทู้บอร์ดฟ้าเดียวกัน โดย สมเสร็จเปรม

ดูภายนอก สำหรับนักท่องเที่ยวกว่าสองแสนคนที่ต้องไปค้างในโรงแรมและห้องโถงผู้โดยสารขาออกเมื่อสัปดาห์ก่อน มันดูเหมือนเป็นวิธีแก้ปัญหาไร้สาระด้วยความเมตตาปรานี เมื่อคืนนี้ หลังจากที่นายกรัฐมนตรีไทยถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ประกาศว่า พวกเขาจะเลิกการชุมนุม

พวกเสื้อเหลืองจะออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ การยึดทำเนียบรัฐบาลในใจกลางกรุงเทพฯกว่า 3 เดือนจะยุติลง

อย่างไรก็ตาม การคิดว่าประเทศไทยกลับเข้าสู่ความสงบแล้วนั้นเป็นการคิดผิด

ปรากฏการณ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา – ที่นักท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมการส่งออกของทั้งประเทศถูกจับเป็นตัวประกันโดยคนชั้นก

ลางบ้าคลั่งหลายพันคน – แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอันน่าสะพรึงกลัวที่เข้ามาสู่ประเทศไทยตลอดสามปีที่ผ่านมา

จากที่เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสถียรภาพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้มันกลายเป็นสถานที่ประชาธิปไตยแทบจะหยุดทำงาน

คำถามหลักคือ ม็อบที่อย่างมากก็มีเพียงอาวุธเบา สามารถยึดสถานที่ที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น สนามบิน ได้อย่างง่ายดายและยาวนานมากได้อย่างไร

ถ้าทหารต่างชาติหรือผู้ก่อการร้าย เช่น พวกที่โจมตีมุมไบเมื่อสัปดาห์ก่อน บุกสนามบินสุวรรณภูมิแล้วล่ะก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตำรวจและทหารไทยจะต่อสู้กับพวกนั้นไปแล้ว มันไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถเอาพันธมิตรฯออกมาได้ พวกเขาเลือกที่จะไม่ทำ

และนี่ก่อให้เกิดคำถามสำคัญ – ใครเป็นคนบริหารประเทศไทยกันแน่?

ทั้ง ๆ ที่มีชื่อว่าเพื่อประชาธิปไตย พันธมิตรฯ กลับสนับสนุนให้รัฐธรรมนูญลดขอบเขตประชาธิปไตยเพื่อลดอิทธิพลของผู้ลงคะแนน

เสียงในชนบท ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงข้างมากอาจปฏิเสธการเมืองของพันธมิตรฯ แต่ จากความไม่สะทกสะท้านของพันธมิตรเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นว่ามันมีผู้อยู่เบื้องหลังจากสถาบันที่มีอำนาจมากพอที่ทำให้ ตำรวจและทหารต้องหวั่นกลัว

พวกเขาเป็นใคร ? คำตอบที่ได้รับ แม้ว่าจะมาจากคนไทยที่รู้ข้อมูลมากที่สุด ก็ยังคลุมเครือและยากจะพิสูจน์ ไม่ต้องสงสัยว่าผู้สนับสนุนพันธมิตรฯหลายคนเพียงแค่เกลียดทักษิณ ชินวัตร และเกลียดการที่เขาเอาใจคนยากจนตามชนบท แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อธิบายว่าทำไมพวกเขาถึงสามารถละเมิดกฎหมายอย่าง โจ่งแจ้งได้ถึงเพียงนี้

สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำม็อบ เป็นเจ้าพ่อสื่อผู้มั่งคั่ง แต่ลำพังตัวเขาเองไม่สามารถทำให้พันธมิตรฯชุมนุมยืดเยื้อขนาดนี้ได้

ข่าวลือ ลึกลับ – และมากกว่านั้นนิดหน่อย – กล่าวว่า พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากสถาบันกษัตริย์ไทยที่ทรงอำนาจ บางทีอาจมาจากพระราชินีสิริกิติ์ผู้แสดงความเห็นใจอย่างชัดแจ้งต่อพันธมิตรฯ ที่บาดเจ็บจากการปะทะกับตำรวจ คาดเดากันว่า พระองค์สนับสนุนพันธมิตรฯ เพื่อต่อต้านอิทธิพลของทักษิณที่ว่ากันว่ามีเหนือพระโอรสของพระองค์ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณผู้ไม่เป็นที่นิยม

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องยากแม้แต่จะพูดถึงในประเทศไทยที่ซึ่งผู้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือทำให้กษัตริย์เสื่อมเสียชื่อเสียง จะต้องรับโทษถึงขั้นจำคุก ไม่ว่าอะไรคือความจริงที่อยู่เบื้องหลังม็อบพันธมิตรฯที่ชั่วร้าย มันจะยังคงส่งอิทธิพลต่อไปยาวนานหลังจากที่นักท่องเที่ยวที่โศกเศร้ากลับบ้านไปแล้ว.


---------------------------------------


บทความ ๔.



ผู้ประท้วงชาวไทยทำสำเร็จได้อย่างไร ?

(How did Thai protesters manage it ?)

From BBC News December 3, 2008



โดย : Jonathan Head

แปลโดย : มือที่มองไม่เห็น

ได้ข้อมูลผ่าน : Hello Siam

หลังประกาศชัยชนะ ฝูงเสื้อเหลืองพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ม้วนเสื่อและถุงนอนของพวกเขา

พวกเขาต่อคิวรับของที่ระลึกเป็นผ้าพันคอ (แน่นอน สีเหลือง) ที่มีลายเซ็นแกนนำที่พาพวกเขาก่อจลาจลที่น่าประหลาดใจ แล้วพวกเขาก็ขึ้นรถบัสและรถปิคอัพกลับบ้าน ฝูงคนทำความสะอาด ช่าง และ รปภ. กลับเข้ามาทำสนามบินอันทันสมัยของกรุงเทพฯมูลค่ากว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ให้ใช้งานได้อีกครั้ง

ภายในไม่กี่วัน การประท้วงครั้งนี้จะกลายเป็นความทรงจำเหมือนฝัน

แต่คำถามที่การกระทำของพวกเขาได้ทิ้งไว้เกี่ยวกับรัฐไทย จะยังคงอยู่ต่อไปอีกนานหลังจากที่มือตบพลาสติกชิ้นสุดท้ายถูกหยิบไปทิ้ง ประเทศที่เจริญและพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวเท่ากับประเทศไทย จะปล่อยให้ศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญยิ่งถูกบุกรุกโดยม็อบที่ไม่เคยมีคนมาก ไปกว่าไม่กี่พันคนได้อย่างไร?

พันธมิตรฯ คือใคร และอะไรทำให้พวกเขามีความมั่นใจที่จะก่อวินาศกรรมทางเศรษฐกิจโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายใด ๆ ?

ตำรวจอ่อนแอ

การประท้วงในสนามบินแสดงให้เห็นฝีมือของพันธมิตรฯในการทำงานเสี่ยงอันตราย ที่อาจหาญและและไม่คาดคิด เมื่อขบวนรถพันธมิตรฯขบวนแรกเข้าใกล้สนามบินเมื่อวันอังคารที่แล้ว พวกเขาบอกว่าพวกเขาเพียงต้องการประท้วงนายกรัฐมนตรีสมชาย วงสวัสดิ์ ซึ่งมีกำหนดกลับจากการประชุมเอเปคที่เปรู

รัฐบาลมีแผนหลีกเลี่ยงการปะทะ พวกเขาไม่ต้องการซ้ำรอยเหตุการณ์หายนะในเดือนตุลาคม ที่พันธมิตรฯหลายคนได้รับบาดเจ็บรุนแรงในการปะทะกับตำรวจ

ตำรวจได้รับคำสั่งไม่ให้ใช้กำลัง จึงต้องถอยไม่มีใครคาดคิดว่าพันธมิตรฯจะพยายามยึดหนึ่งในสนามบินที่ใหญ่ ที่สุดและคนพลุกพล่านมากที่สุดในโลก

ความจริงแล้ว ผู้จัดตั้งม็อบพันธมิตรฯหลายคนบอก BBC ว่าพวกเขาวางแผนยึดสนามบินไว้อย่างรอบคอบเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน

ความอ่อนแอของตำรวจไทยคือ สิ่งสำคัญเช่นกัน

พวกเขาไม่อาจเทียบกับม็อบที่มีความแน่วแน่และจัดตั้งมาอย่างดีแบบนี้ได้เลย พวกเขาไม่ได้รับการฝึกควบคุมจลาจลมาดีนัก และยังขาดสถานะของกองทัพ เมื่อเป็นที่ชัดเจนว่าพันธมิตรฯต้องการยึดสนามบิน ผู้ว่าจังหวัดจึงขอความช่วยเหลือจากกองทัพ ไม่มีใครมาแม้แต่คนเดียว

ตลอดปีนี้ การที่กองทัพปฏิเสธให้ความช่วยเหลือควบคุมม็อบพันธมิตรฯทำให้รัฐบาลไม่มี หนทางต้านการจลาจลนี้ได้ ตำรวจกำลังเผชิญหน้ากับองค์กรที่มีความแข็งแกร่งด้านการส่งกำลังบำรุงอย่าง มหาศาล

มันเป็นม็อบที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีและมีเงินทุนหนาแน่น

ประสิทธิภาพการส่งบำรุงกำลัง

หนึ่งในนายพลเกษียณที่ให้การสนับสนุนการยึดสยามบินให้ความเห็นว่า ม็อบนี้ควรถูกมองว่าเป็นกำลังทหาร ไม่ใช่องค์กรของพลเรือน ที่ยืนหลัง "ป้าๆกับมือตบ" และสาวๆแต่งตัวดีจูงสุนัขตัวเล็กๆ ดังภาพที่ปรากฏในสื่อ คือกลุ่มนักเลงถือไม้ ตะปู ปืนพก เฝ้าด่านและตามล่าผู้บุกรุกเช้าวันหนึ่ง

ผมตามพวกเขาไป พวกเขาลากคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นสายสืบของรัฐบาลไปยังสถานที่ที่ไม่เปิดเผย และเตะต่อยเขาผมไม่อาจทราบชะตากรรมของเขาได้ อันธพาลบางคนเหล่านี้เป็นสมาชิกกองทัพส่วนตัวของพวกนายพลเกษียณประสิทธิภาพ การส่งบำรุงกำลังของพันธมิตรฯนั้นน่าประทับใจ

ภายในไม่กี่ชั่วโมงของการยึดสนามบิน มันก็มีเสบียงอาหาร น้ำ ผ้าห่ม และยา พร้อมสำหรับผู้เข้าร่วมการประท้วงหลายพันคนอาหารไม่เคยขาดแคลน คุณสามารถชาร์จมือถือของคุณหรือส่งข้อความก็ได้ คนทำสะอาดของพันธมิตรฯคอยทำความสะอาดพื้นและห้องน้ำ ร้านค้าปลอดภาษีและที่เช็กอินถูกปิดไม่ให้เข้า และได้รับการปกป้องโดยการ์ดพันธมิตรฯ

อาวุธโฆษณาชวนเชื่อของพันธมิตรฯก็น่าประทับใจไม่แพ้กันมันมีสถานีโทรทัศน์ ส่วนตัวชื่อ ASTV ซึ่งแพร่ภาพไปทั่วและโจมตีรัฐบาลไม่ขาดสายไม่ว่าม็อบจะไปที่ไหน มันจะมีเวทีเคลื่อนที่ ซึ่งอยู่บนหลังคารถบรรทุกที่คอยแพร่เสียงการปราศัยและดนตรี

ตั้งแต่เช้ามืดไปจนหลังเที่ยงคืนสารของมันเรียบง่าย: อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร คือปีศาจ ขโมยเงินของประชาชน และจะทำลายประเทศ คนจนในชนบทที่เลือกพรรคของเขาต่างถูกซื้อ และไม่อาจคิดด้วยตัวเองได้

บางคนที่เข้าร่วมการยึดสนามบินนั่งฟังการปราศัยของนักปลุกระดมเหล่านี้มา หลายเดือนไม่หยุดหย่อนพวกเขาเชื่ออย่างแรงกล้าว่าการกระทำของพวกเขาคุ้มค่า กับความเสียหายที่เกิดขึ้่นกับประเทศ

เพื่อการเมืองไทยที่ใสสะอาดคำถามที่ว่าใครอยู่เบื้องหลังพันธมิตรฯยังคงเป็น เรื่องที่คาดเดากันอย่างมากมายในประเทศไทยผมพบกับนักธุรกิจเชื้อสายจีนหลาย คนที่สนามบินซึ่งคอยช่วยสนับสนุนเสบียงให้พันธมิตรฯแต่เชื่อกันว่า ธุรกิจไทยที่ใหญ่กว่านี้หลายเท่า เป็นผู้สนับสนุนม็อบด้านการเงิน ซึ่งรวมถึงธนาคารไทยสองแห่งเป็นอย่างน้อย

การสนับสนุนจากพระราชวัง ?

ทักษิณ ชินวัตร สร้างศัตรูกับผู้มีอิทธิพลไว้จำนวนมากขณะที่เขาเป็นนายกฯ ด้วยความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ

พวกเขาเหล่านี้กำลังใช้นักรบพันธมิตรฯแก้แค้นพรรคของทักษิณ มีอดีตนายทหารมากมายที่ให้ความช่วยเหลือพันธมิตรฯ เช่น พล.อ.ปฐมพงศ์ เกษรศุกร์ ผู้เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้กองทัพทำรัฐประหารขับไล่รัฐบาลหนึ่งในแกนนำ พันธมิตรฯ คือ จำลอง ศรีเมือง อดีตนายพลที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ปรึกษาสูงสุดของกษัตริย์

ดังนั้น จึงเกิดคำถามที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกมากที่สุด นั่นคือ ความสัมพันธ์กับพระราชวังพันธมิตรฯอ้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของพวกเขา ว่าเป็นการปกป้องสถาบันกษัตริย์ พระบรมฉายาลักษณ์ถูกแสดงเด่นชัดตลอดการชุมนุมบุคคลใกล้ชิดกับพระราชวังระดับ สูงหลายคนสนับสนุนม็อบอย่างเปิดเผย

เมื่อพระราชินีรับเป็นประธานในงานศพของพันธมิตรฯคนหนึ่งที่เสียชีวิตระหว่างการปะทะกับตำรวจ มันดูเหมือนการให้พรแก่ม็อบอย่างเป็นนัยๆ

บางคนในรัฐบาลยังเชื่อด้วยว่ากษัตริย์ผู้เป็นที่เคารพอาจกำลังสนับสนุนม็อบ แม้ว่าด้วยพระชนมายุกว่า 81 พรรษา เรื่องนี้ดูไม่น่าเป็นไปได้ยากที่จะหาหลักฐานแน่ชัดได้ แต่การเคลื่อนไหวของประชาชนในประเทศไทยตอนนี้กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่ พวกเขาเชื่อว่าจริง

รัฐบาลและผู้สนับสนุนตามชนบท เชื่อว่า พระราชวัง กองทัพ และชนชั้นสูง วางแผนปล้นสิทธิเลือกตั้งของพวกเขา

พันธมิตรฯและผู้สนับสนุนชนชั้นกลาง เชื่อว่า ฝ่ายทักษิณตั้งใจจะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นสาธารณรัฐ และทำลายระเบียบสังคมที่มีอยู่ด้วยเชื่อว่าเดิมพันครั้งนี้สูงยิ่งนัก

การประนีประนอมระหว่างสองฝ่ายจึงแทบเป็นไปไม่ได้.


-----------------------------

บทความ ๕.




สถาบันกษัตริย์ของไทย กษัตริย์กับประชาชนไทย :

เรื่องเร้นลับเกี่ยวกับบทบาทของพระราชวัง ต่อความความล้มเหลวของประชาธิปไตยไทย

(The untold story of the palace’s role behind the collapse of Thai democracy)




From The Economist

December 4, 2008



บทบรรณาธิการ The Economist

แปลโดย : saraburian (บอร์ดฟ้าเดียวกัน)

ธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย อุตสาหกรรมการส่งออก และภาพลักษณ์ของประเทศได้ถูกทำลายลงราบคาบจากเหตุการณ์ทั้งหลายที่เพิ่งเกิดขึ้น บรรดาผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์ได้เข้ายึดพื้นที่ในหน่วยราชการหลายแห่งเป็นเวลาหลายเดือน และได้เข้ายึดสนามบินกรุงเทพฯทั้งสองแห่ง ตำรวจไทยปฏิเสธที่จะทำการขับไล่กลุ่มผู้ชุมนุม กองทัพก็ปฏิเสธที่จะเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือ สัปดาห์นี้เองการยึดสนามบินจบลงหลังจากที่ศาลได้ตัดสินยุบพรรคการเมืองสามพรรคที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ทั้งสามพรรคมีแผนที่จะตั้งพรรคขึ้นใหม่ภายใต้ชื่อใหม่ และร่วมกันบริหารประเทศต่อไปท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังครุกรุ่น เปรียบดั่งเปลือกหุ้มแห่งความทันสมัยอันเป็นผลของการพัฒนาแบบก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 ได้ลอกคราบบาง ๆของมันออกมาเสียแล้ว ทั้งที่ไม่นานมานี้ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่า เป็นหัวขบวนของเอเชีย ในความเป็นสังคมอันเปิดกว้างที่ยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย ตอนนี้ดูเหมือนประเทศไทยกลับค่อย ๆ คืบคลานเข้าสู่ความเป็นอนาธิปไตย

ความขัดแย้งเริ่มปรากฎเมื่อสามปีที่แล้วจากการชุมนุมประท้วงที่สงบและเป็นระเบียบ เพื่อต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวงและการใช้อำนาจในทางที่ผิดของรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร บรรดาผู้ประท้วงซึ่งแต่งกายในชุดสีเหลืองอันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของกษัตริย์ ซึ่งกล่าวหาว่าทักษิณเป็นผู้ที่มีแนวความคิดแบบสาธารณรัฐนิยมประสบความสำเร็จ เมื่อบรรดานายทหารผู้จงรักภักดีได้ทำการยึดอำนาจจากทักษิณเมื่อปี พ.ศ. 2549 แต่เมื่อประชาธิปไตยได้กลับมาเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว คนไทยส่วนใหญ่ได้ลงคะแนนเสียงเลือกพรรคการเมืองซึ่งเป็นมิตรกับทักษิณเข้ามาบริหารประเทศ บรรดาผู้ประท้วงสวมเสื้อเหลืองซึ่งเรียกตนเองอย่างไม่ค่อยจะตรงกับความจริงนักว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กลับมาก่อการประท้วงอีกครั้ง รวมทั้งได้นำเอาวิธีการอันเป็นอันธพาลมากยิ่งขึ้นมาใช้ ซึ่งกระตุ้นให้บรรดาผู้ที่สนับสนุน ทักษิณรวมตัวกันสู้โดยมีสัญลักษณ์เป็นเสื้อสีแดง

พูดไม่ได้

ตลอดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น สิ่งที่มิอาจพูดถึงได้ ซึ่งไม่ใช่เพียงเฉพาะโดยสื่อสารมวลชนไทย แต่รวมถึงโดยผู้สื่อข่าวต่างชาติส่วนใหญ่ด้วยนั้น ก็คือ บทบาทของกษัตริย์ภูมิพล ราชวงศ์ และผู้รับใช้ใกล้ชิดทั้งหลาย กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งถูกบังคับใช้อย่างรุนแรงที่สุดในบรรดาทุกประเทศทั่วโลก เป็นเกราะกำบังสำคัญที่ทำให้แม้แต่การเอ่ยถึงบทบาทของราชวงศ์ แม้แต่อย่างที่สุภาพที่สุดก็ยังถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามในที่สาธารณะ กฎหมายดังกล่าว ซึ่งถือว่าตกสมัยไปแล้วในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกแต่ในประเทศไทยกลับได้ถูกนำมาปรับใช้อย่างแข็งขันในช่วงทศวรรษ 1970 เป็นความพิลึกยิ่งที่ใครก็ได้ สามารถที่จะฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งตำรวจจะต้องดำเนินคดีอย่างจริงจังแม้กับข้อหาขี้ประติ๋ว

ทั้งหมดนี้ทำให้กฎหมายดังกล่าวเป็นเครื่องมือย่างดีสำหรับนักการเมืองหรือใครก็ตามที่ต้องการจะทำลายศัตรูของตน และบ่อยครั้งสื่อสารมวลชนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้อธิบายถึงรายละเอียดของข้อกล่าวหาที่มีต่อราชวงศ์ ทำให้คนไทยไม่มีทางเลยที่จะได้รับทราบว่าข้อกล่าวหาที่ว่าเป็นการไม่เคารพต่อราชวงศ์จริง ๆ หรือไม่

กฎหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพนับเป็นความโหดเหี้ยมในตัวเองอยู่แล้ว และไม่ควรถูกนำมาบังคับใช้ในประเทศใดก็ตาม ที่ประกาศตนว่าเป็นประชาธิปไตย แย่ยิ่งกว่านั้นอีก ก็คือ การที่กฎหมายดังกล่าวปิดบังให้คนไทยทราบถึงเหตุผลบางประการที่เป็นต้นเหตุของปัญหาของการเมืองของประเทศตน แม้แต่สิ่งที่กษัตริย์เองตรัสเรียกว่าเป็นความ “มั่ว” ของประเทศไทยนั้น ก็มีสาเหตุในหลาย ๆ ทางที่มาจากการเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมืองของตัวพระองค์เอง ตลอด 62 ปีที่ทรงครองราชสมบัติ (โปรดดูบทความประกอบ) ส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนี้เป็นผลอันเกิดจากแก่งแย่งซึ่งอำนาจก่อนการเปลี่ยนรัชสมัย ยิ่งเหตุการณ์ที่พระมหากษัตริย์เองจะทรงมีพระชมมพรรษาครบ 81 พรรษาในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ยิ่งทำให้เหตุการณ์ที่นับวันยิ่งทวีความสำคัญยิ่งๆขึ้นเรื่อย ๆ

รายละเอียดส่วนใหญ่ของเรื่องราวที่ว่า การกระทำของกษัตริย์ได้ทำลายระบบการเมืองของประเทศตนอย่างไรนั้น เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นหู เพราะคนไทยไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับทราบ หลายคนจะพบว่า ข้อวิพากษ์วิจารณ์ของเราทำให้พวกเขาไม่สบอารมณ์ และโมโหเป็นฟืน เป็นไฟ แต่เราคิดว่า เราคงไม่ทำการการวิพากษ์วิจารณ์ครั้งนี้หากเราไม่เห็นว่ามันไม่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวิจารณ์


ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องเปิดกว้างต่อการอภิปรายในเรื่องนี้เพื่อที่จะเตรียมตนเองสำหรับการที่จะมีผู้ที่ได้รับการยอมรับนับถือน้อยกว่าขึ้นเป็นกษัตริย์ ไม่ดีแน่ ๆ ที่ประเทศใดจะหลอกตนเองกับประวัติศาสตร์ในแบบเทพนิยายปรัมปรา ซึ่งเชื่อว่ากษัตริย์ของตนนั้นไม่เคยทำสิ่งใดผิดเลย ทรงอยู่เหนือการเมือง และทรงเข้ามาแทรกแซงเพื่อรักษาประชาธิปไตยเท่านั้น ทั้งหมดนี้ไม่เป็นความจริงเลย


ประวัติศาสตร์ไทยฉบับเป็นทางการ ย้ำแล้วย้ำอีกกับเหตุการณ์ เช่นในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งกษัตริย์ภูมิพลได้แทรกแซงให้ทรราชมือเปื้อนเลือดลาออก และเป็นอิทธิพลสำคัญให้ประเทศกลับสู่ภาวะประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง แต่เหตุการณ์อื่น ๆ ซึ่งมีการแทรกแซงจากกษัตริย์ และราชวงศ์ในทางที่ส่งผลเสีย กลับไม่ได้รับการกล่าวถึง หรือนำมาอภิปรายเลย

ในปี พ.ศ. 2519 ในขณะที่กษัตริย์ภูมิพลมีความกลัวจนเกินกว่าเหตุกับภัยร้ายจากลัทธิคอมมิวนิสต์ กษัตริย์ได้ทรงละเลยถึงความโหดร้ายป่าเถื่อนของขบวนการขวาจัดซึ่งสมาชิกได้รุมเข่นฆ่ากลุ่มผู้ประท้วง นักศึกษาที่ไร้อาวุธ ในช่วงสงครามเย็น อเมริกา เห็นว่า กษัตริย์ภูมิพลเป็นพันธมิตรที่สำคัญยิ่ง และได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อกระบวนการสร้างภาพลักษณ์ของกษัตริย์ภูมิพล ความร่วมมืออันยาวนานนี้ ผนวกกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ถูกบังคับใช้อย่างรุนแรง เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้บรรดานักการฑูต นักวิชาการ และ ผู้สื่อข่าวจากโลกตะวันตกยอมกลืนเลือดตัวเองโดยการหุบปากเงียบจากการวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ

หลังจากเหตุการณ์การรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นครั้งที่ 15 ในรัชสมัยของกษัตริย์ภูมิพล เจ้าหน้าที่ทางการของไทยพยายามที่จะบอกชาวต่างชาติว่า รัฐพิธีบีบบังคับให้กษัตริย์ต้องยอมรับการยึดอำนาจของนายทหารในกองทัพ ในขณะที่คนไทยถูกบอกอีกอย่างหนึ่งว่า กษัตริย์ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้คณะผู้ก่อการรัฐประหารเข้าเฝ้าฯ และหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ได้ตีพิมพ์ภาพดังกล่าวในหน้าหนึ่งเสมือนเป็นการบอกว่า กษัตริย์ได้ให้การยอมรับกับการยึดอำนาจดังกล่าว

ในความเป็นจริงแล้วกษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจที่จะแสดงออกว่า ทรงไม่พอพระราชหฤทัยต่อการยึดอำนาจ หากทรงเห็นเช่นนั้นโดยการสั่งการให้กำลังทหารภายใต้พระองค์ออกมาต่อสู้ หรือแม้แต่การที่จะเลือกทรงนิ่งเฉยไม่ยอมรับผลดังกล่าวก็ได้ แต่ทรงกลับเลือกที่จะใช้พระราชอำนาจในอีกทางหนึ่งแทน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 ซึ่งได้ทรงมีพระราชดำรัสต่อบรรดาผู้พิพากษาให้ดำเนินการจัดการกับวิกฤตการเมืองนั้น บรรดาศาลดูเหมือนจะได้แปลพระราชประสงค์ออกมาในรูปของการเร่งดำเนินการกับคดีต่าง ๆ ต่อตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายของเขา โดยล่าสุด มีการตัดสินยุบพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลทั้งสามพรรคลง

อนาคตอันไร้ซึ่งเทพนิยาย

ในจินตนาการของคนไทยผู้นิยมเจ้า ประเทศของพวกเค้านั้นเหมือนกับภูฏาณ ประเทศซึ่งมีกษัตริย์หนุ่มที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รักของประชากรทั้งหลาย ซึ่งมีเพียงไม่กี่แสนคนซึ่งยินดีกับการอยู่ภายใต้การปกครองแบบกษัตริย์มากกว่าระบอบประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริง ท่ามกลางความโกรธแค้นของสาธารณะชนต่อการสนับสนุนของพระราชินีต่อวิธีการอันเป็นอันธพาลของพันธมิตรฯ รวมถึงการมองเห็นถึงความไม่เหมาะสมในตัวรัชทายาท ที่นับวันยิ่งกระชั้นชิดต่อการขึ้นครองราชย์ ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่เผชิญกับเหตุการณ์เฉกเช่นที่เกิดกับประเทศเนปาล คือ สงครามกลางเมือง และการที่กษัตริย์ที่ได้มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองปัจจุบัน ได้กลายเป็นประชาชนธรรมดาในประเทศสาธารณรัฐไปเสียแล้ว

พันธมิตรฯ ซึ่งได้รับการอุ้มชูและให้ท้ายโดยพระราชวัง แต่กลับกลายมาเป็นสิ่งที่บ่อนเซาะทำลายพระราชวังเสียเอง ภาพที่ปรากฎซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อสาธารณชนในหลายวันที่ผ่านมา ก็คือ บรรดาอันธพาลในกลุ่มผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ ได้ยิงทำร้ายผู้สนับสนุนรัฐบาลในขณะที่ชูพระบรมฉายาลักษณ์ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า กษัตริย์และราชวงศ์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาใหญ่นี้ และประทับอยู่เหนือสุดในลำดับชั้นอันไม่สิ้นสุดในสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันนี้ คุณไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อในการปกครองแบบสาธารณรัฐที่จะเห็นด้วยว่าเป็ ความจำเป็นที่จะต้องอภิปรายได้อย่างเปิดเผยต่อเรื่องนี้แล้ว

ก่อนที่ ดิ อีโคโนมิสต์ จะตีพิมพ์บทความชิ้นนี้ ในคืนวันก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษา มีรายงานว่า กษัตริย์ภูมิพล ทรงมีพระอาการป่วยและไม่ทรงสามารถที่จะพระราชทานพระราชดำรัสได้อย่างที่ทำเป็นประจำทุก ๆ ปี ดังนั้นกษัตริย์ภูมิพลจึงยังไม่ได้ออกมาแสดงความไม่เกี่ยวข้องของพระองค์เอง กับ บรรดาบุคคลในเสื้อเหลืองที่อ้างว่าพวกเค้านั้นดำเนินการต่าง ๆ เพื่อพระองค์ การนิ่งเฉยของกษัตริย์ได้ส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อระบบนิติรัฐของประเทศไทย กระนั้นก็ดีพระองค์ก็ยังทรงเป็นบุคคลเดียวที่จะสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ โดยการออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันคร่ำครึรวมทั้ง การตัดรัฐธรรมนูญส่วนที่สนับสนุนกฎหมายดังกล่าวทิ้งเสียทั้งหมด สิ่งนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนไทยสามารถร่วมกันอภิปรายเพื่อหาทางออกสำหรับอนาคตของตนได้

กษัตริย์ภูมิพลได้เคยกล่าวถึงกฎหมายดังกล่าวอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ เมื่อปีพ.ศ. 2548 ว่า ตัวพระองค์เองไม่ได้ทรงอยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ แต่สิ่งใดก็ตามที่น้อยกว่าการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทิ้งทั้งหมด ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาใหญ่นี้ได้ ใครก็ตามที่เป็นมิตรแท้กับประเทศ และประชาชนไทยต้องช่วยกันบอกประเทศไทย.


----------------------

บทความ ๖. (ภาคละเอียดของบทความ ๕)

พระเจ้าแผ่นดินของไทย กับวิกฤตของประเทศ :

ความวุ่นวายที่เกิดจากพระเจ้าแผ่นดินอย่างแท้จริง

(Thailand's king and its crisis : A right royal mess)

From The Economist

December 4, 2008



บทบรรณาธิการ The Economist

แปลโดย : freethai (บอร์ดฟ้าเดียวกัน)

ได้ข้อมูลผ่าน : Hello Siam

ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่มีทางออกของไทยเป็นผลมาจากคำสั่งต้องห้ามบางประการของราชวงศ์ และนี่คือเหตุผลที่ว่าข้อห้ามเหล่านั้นจะต้องถุกยกเลิก แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด ได้รับการบูชาจากประชาชนเสมือนว่าเป็นสมมติเทพ ก็ยังไม่มีชีวิตที่เป็นอมตะ คนไทยถูกเตือนถึงความจริงข้อนี้จากงานพระราชพิธีศพที่กินเวลานานถึงหกวัน ที่จัดขึ้นตามโบราณราชพิธี สำหรับงานศพของเจ้าฟ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา พี่สาวของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล มีการพูดกันในกรุงเทพว่า การจัดงานดังกล่าวเป็นเสมือน “การซ้อมใหญ่” สำหรับวันสุดท้ายของยุคสมัยของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ที่ครองราชย์ยาวนานถึง ๖๒ ปี ก่อนหน้าวันเกิดครบรอบ ๘๑ ปีของพระองค์ ในปีนี้ พระองค์ได้ปรากฏกายในที่สาธารณะน้อยมาก และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ ก็ทรงดูชราภาพสมตามอายุจริง

งานพระราชพิธีดังกล่าวช่วยชะลอความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นและมีอยู่อย่างรุนแรงตลอดเวลาสามปีได้เพียงเล็กน้อย ความขัดแย้งทางการเมืองดังกล่าวเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ที่สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกขับให้พ้นจากตำแหน่งโดยนายพลทหารที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ เมื่อปี ๒๐๐๖ และกลุ่มที่คัดค้านทักษิณซึ่งประกอบด้วยชนชั้นนำในกรุงเทพและปรากกชัดเจนว่าหนึ่งในผู้สนับสนุนพันธมิตรนั้นก็คือ พระราชินีสิริกิต แต่เพียงหนึ่งวันหลังจากพระราชพิธีศพ ก็มีการขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ที่ประท้วงทักษิณจนมีผู้เสียชีวิตหนึ่งราย หลังจากนั้น กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ PAD ซึ่งได้ยึดครองทำเนียบรัฐบาลมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมก็ได้บุกเข้ายึดสนามบินหลักของกรุงเทพ สร้างความโกลาหลวุ่นวาย การยึดสนามบินสิ้นสุดในอีกแปดวันต่อมาเมื่อศาลได้มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองหลักที่เป็นแกนนำของรัฐบาล และเป็นฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณ

ขณะนี้ ทักษิณ อยู่ระหว่างการลี้ภัย เขาถูกศาลพิพากษาคดีลับหลังและศาลตัดสินว่าเขามีความผิดฐานคอร์รัปชั่น แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยเป็นกลุ่มพรรคการเมืองที่สนับสนุนเขา และกลุ่มผู้สนับสนุนเขาก็มุ่งมั่นที่จะตั้งพรรคการเมืองใหม่แม้ พรรคเดิมจะถูกยุบตามคำสั่งศาล เมื่อเดือนที่แล้ว ได้มีการจัดการรวมตัวของกลุ่ม “เสื้อสีแดง” ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเขาจำนวนมาก เพื่อเป็นการเตือนกลุ่มศัตรูสวมเสื้อเหลืองในฝั่งพันธมิตร ซึ่งชอบอ้างว่าพันธมิตรทำเพื่อในหลวง ในขณะที่กล่าวหาว่าทักษิณต้องการสถาปนาสาธารณรัฐว่า ทักษิณยังคงเป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในประเทศไทย

นอกเหนือจากข้ออ้างในการจำกัดทักษิณที่พอจะมีมูลว่า ทักษิณใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง สิ่งหนึ่งที่พวกขวาจัดและสนับสนุนราชวงศ์วิตกก็คือ การที่ทักษิณได้สร้างความยอมรับ ความชื่นชมในหมู่ประชาชนผ่านทางนโยบายประชานิยมอย่าง สามสิบบาทรักษาทุกโรค หรือกองทุนหมู่บ้าน จะเป็นการสร้างสถานะและเครือข่ายของทักษิณที่เป็นการท้าทายอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินไปในตัว สิ่งที่วิตกกันอีกประการหนึ่ง ก็คือ ตามที่มีการกล่าวหาว่า ทักษิณได้แสดงถึงความใจกว้างต่อเจ้าฟ้าชายเป็นการกระทำเพื่อสร้างบารมีและอิทธิพลเหนือเจ้าฟ้าชายเมื่อต่อไปได้ขึ้นครองราชย์ ด้วยเหตุนี้และเหตุผลอื่นๆ การเข้าใจถึงเรื่องราวในเบื้องหลังที่ไม่มีการเปิดเผยของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะเข้าใจปัญหาที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออกของประเทศที่มีประชากรหกสิบสามล้านคนนี้

สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้จะทำให้คนไทยจำนวนมากทุรนทุราย และต้องการได้ยินเรื่องราวที่เป็นดังเทพนิยายเกี่ยวกับพระเจ้าแผ่นดินของพวกเขามากกว่า แต่การกระทำที่ผ่านมาในอดีตของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้เป็นตัวปัญหาหลักของความขัดแย้งที่กำลังแบ่งแยกประเทศนี้ให้ร้าวฉาน ด้วยเหตุผลนี้เองที่เราจะตรวจสอบเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้น

เรื่องราวของพระเจ้าแผ่นดินภูมิพล แม้จะตัดเรื่องต่าง ๆ ที่สร้างเสริมในประเทศไทยให้เป็นดังตำนานเทพนิยาย ก็ยังเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมากอยู่ดี เขาเกิดในสหรัฐ มีมารดาเป็นสามัญชนที่เป็นลูกครึ่งจีน และโดยอุบัติเหตุ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้สืบทอดราชบัลลังก์ที่เวลานั้นใกล้จะสูญสิ้น และพระองค์เป็นผู้พลิกฟื้นชะตากรรมของราชวงศ์ให้กลายเป็นราชวงศ์ ที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากที่สุดในโลก และแน่นอนที่สุด เป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวในโลกสมัยใหม่ที่มีอำนาจทางการเมืองสูงที่สุด บุคคลิกภาพ สติปัญญา และความสามารถของพระองค์ (จากการเล่นแซกโซโฟนไปจนถึงการทำฝนเทียมที่พระองค์จดสิทธิบัตรไว้ในยุโรป) และความห่วงใยที่มีต่อประชาชนทำให้พระองค์เป็นที่เคารพรักในประเทศ และชื่นชมไปทั่วโลก ภาพลักษณ์ของพระองค์ อาจจะขึ้นถึงจุดสุดยอดเมื่อปี ๑๙๙๒ หลังจากที่กองทัพใช้อาวุธฆ่าประชาชนที่ประท้วงต้องการประชาธิปไตยหลายสิบคน และโทรทัศน์ ได้ถ่ายทอดภาพที่ผู้นำกองทัพ (และนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น) สุจินดา คราประยูร และผู้นำการประท้วงอย่างจำลอง ศรีเมือง (ุ้เเกนนำของพันธมิตร) ได้คุกเข่าแทบเท้าพระองค์ หลังจากนั้นไม่นาน สุจินดาก็ลาออก และพระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศ

อย่างไรก็ดี ยังมีเรื่องราวที่ไม่เปิดเผยว่า พระองค์ได้สูญสิ้นความเชื่อถือในระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว (ถ้าพระองค์จะเคยเชื่อมั่นในการปกครองภายใต้ระบอบนี้จริง) พระองค์ได้คอยเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองในเบื้องหลังอยู่ตลอดเวลา และด้วยเหตุนี้เอง ในช่วงท้ายที่ไม่มีความชัดเจนของยุคสมัยของพระองค์ จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้ประเทศอยู่ในภาวะที่ไม่พร้อมจะมีชีวิตโดยปราศจาก “พ่อหลวง” ดังที่คนไทยเรียกพระองค์เช่นนั้น การที่จะเข้าใจปัญหาของประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประทีปของเสรีนิยมในเอเชียแต่กลับกลายเป็น ประเทศที่ยุ่งเหยิงจนน่าสิ้นหวังไปได้นั้น จะไม่สามารถทำได้ ถ้าเราไม่เข้าไปตรวจสอบเบื้องหลังฉากหนา ๆ ที่สร้างไว้รอบ ๆ พระองค์ท่าน

การกระทำครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสิ่งนี้ดูจะขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง ระหว่างพระเจ้าแผ่นดินที่อ้างกันว่าได้รับความรัก ความเคารพบูชาจากประชาชนอย่างสูงที่สุดนั้น กลับมีการบังคับใช้กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่รุนแรงมาก ในขณะที่ราชวงศ์ต่างๆทั่วโลกได้พากันยกเลิกกฏหมายนี้ หรือมิฉนั้นก็ไม่มีการบังคับใช้กฏหมายนี้แล้ว แต่ในประเทศไทยกลับมีการเพิ่มโทษสำหรับการกระทำความให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปจนถึงขั้นจำคุกสิบห้าปี แม้แต่การวิพากษณ์ วิจารณ์อย่างเบาบางก็ทำไม่ได้ และผลของกฏหมายตัวนี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะคนไทยเท่านั้น บรรดานักการทูต นักวิชาการ สื่อมวลชนจากค่ายตะวันตกก็พากันยอมรับผลของกฏหมายฉบับนี้ด้วยความขลาดกลัว

ทุกคนเป็นคนของพระราชา

ต้นตอส่วนหนึ่งของปัญหานี้เริ่มสมัยสงครามเวียดนาม เมื่อสหรัฐค้นพบว่า พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้เป็นพันธมิตรในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ และเมื่อตระหนักถึงคุณค่าของพระองค์ที่จะเป็นเสมือนไอคอนในการต่อต้านกองทัพแดง อเมริกาก็ให้เงินสนับสนุนกองทุนในการโฆษณาชวนเชื่อให้ทุกครัวเรือนของไทยมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ และแม้แต่ทุกวันนี้ ในขณะที่สหรัฐไม่รอช้าที่จะโวยวายกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย แต่น้อยครั้งนักที่อเมริกาจะประท้วงไทยเวลาที่มีการจับกุมทั้งคนไทย และต่างชาติเพราะการวิพากษณ์ วิจารณ์ราชวงศ์ ทั้งสือมวลชน และนักวิชากการจากโลกตะวันตกต้องการวีซ่าในการเดินทางเข้าไทยเพื่อมาทำงาน ดังนั้น จึงทำให้กระแสการวิพากษณ์ วิจารณ์ราชวงศ์ไทยลดลงไปโดยปริยาย และด้วยการสมรู้ร่วมคิดในการปิดบังข้อมูลนี้เอง ทำให้เราได้เห็นหนังสืออัตชีวประวัติที่เขียนอย่างจริงจังเกี่ยวกับผู้นำคนสำคัญของเอเชียเพียงเล่มเดียว นั้นก็คือหนังสือ “เดอะคิงเนเวอร์สไมล์” โดยพอล แฮนด์ลีย์ สื่อมวลชนชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งได้เขียนบันทึกไว้ว่าเรื่องราวการฟื้นฟูราชวงศ์ไทยเป็น “หนึ่งในเรื่องราวที่ไม่มีการเปิดเผยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ ๒๐”

แฮนด์ลีย์บอกว่า เป็นเวลาถึงสองปีที่ไม่มีใครจะโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ระบุในหนังสือของเขา แม้แต่ส่วนที่ถือได้ว่ารุนแรงที่สุด นั่นก็คือ การเปิดเผยว่า ความเชื่อที่ว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่แทรกแซงการเมือง และจะทรงเข้าข้างแต่ฝ่ายที่ถูกต้อง หรือดีงามนั้นไม่เป็นความจริง ข้อกล่าวหาของพอลในหนังสือเล่มนี้ที่ดูจะรุนแรงมาก (แต่ไม่มีคนโต้แย้งในเรื่องข้อเท็จจริง) ก็คือว่า สำหรับเหตุนองเลือดในปี ๒๕๑๙ นั้น ดูเหมือนพระองค์จะเป็นผู้ไม่เอาผิดกับกองกำลังฝ่ายขวาที่ร่วมมือกับกองทัพในการสังหารหมู่และทำร้ายนักศึกษาที่ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสงบ และก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ ๆ ในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ (และก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง) ที่การก่อความไม่สงบในปี ๒๕๑๙ จะกลายเป็นข้ออ้างที่จะล้มล้างรัฐบาลและตั้งรัฐบาลใหม่ที่พระเจ้าแผ่นดินเห็นชอบให้มาทำหน้าที่แทน

พระเจ้าแผ่นดินภูมิพลขึ้นครองราชย์เมื่อมีอายุ ๑๘ ปี หลังจากที่พี่ชายของพระองค์ ในหลวงอานันมหิดลตายอย่างปริศนาในปี ๑๙๔๖ พระองค์อยู่ใต้การดูแลของลุงของพระองค์ซึ่งเป็นเจ้าชายที่มีความเคียดแค้น และมุ่งมั่นที่จะฟื้นคืนอำนาจของราชวงศ์ รวมทั้งทรัพย์สินและความมั่งคั่งของราชวงศ์ ภายหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปในปี ๑๙๓๒ หรือ พศ ๒๔๗๕ เมื่อพระองค์เจริญพระชนมายุขึ้น ก็พัฒนาเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ มีการพระราชทานเกียรติยศต่าง ๆ เพื่อแลกกับการบริจาคเงินเพื่อการดำเนินการต่าง ๆ ของราชวงศ์ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ราชวงศ์กลายเป็นศูนย์กลางของการทำการกุศล และอย่างที่ศาสตราจารย์ ดันแคน แมคคาร์โก เรียกว่าเป็น “เครือข่ายราชสำนัก” network monarchy ทำให้พระเจ้าแผ่นดินกลายมาเป็นศูนย์กลางของสังคมไทยอีกครั้ง และสามารถฟื้นคืนพระราชอำนาจมาได้อย่างมากมาย

และสิ่งนี้ได้กลายมาเป็นแนวคิดหลักของพันธมิตร สืบเนื่องมาจากพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า ประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่สกปรกชั่วร้าย และประเทศชาติจะเจริญกว่าถ้ามีการบริหารโดยคนที่พระเจ้าแผ่นดินโปรดแล้วว่าเป็นคนดี ตัวอย่างที่สำคัญ ก็คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นนากรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในช่วงทศวรรษที่ ๘๐ เปรมมีบทบาทสำคัญมากในการสร้างเสริมความคิดที่ว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นเสมือนสมมติเทพ ปัจจุบันนี้ เปรมเป็นประธานองคมนตรี และโดยหลักการ เขาต้องอยู่เหนือการเมือง แต่สิ่งนี้ก็เป็นแค่เทพนิยายเช่นกัน คนส่วนใหญ่ในสังคมรับรู้ว่าเปรมเป็นผู้วางแผนการรัฐประหารในปี ๒๐๐๖ และก่อนหน้าการทำรัฐประหารไม่นาน เปรมออกมาพูดกับทหารมนที่สาธารณะว่า พระราชาเป็นเจ้าของ ”ม้าแข่ง” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ กองทัพ ในขณะที่ ทักษิณเป็นเพียง “จ็อคกี้” ที่สามารถเปลี่ยนเมื่อไหร่ก้ได้เท่านั้น

กลุ่มพันธมิตรเป็นการรวมตัวของแกนนำที่แตกต่างกันอย่างมาก อยู่รวมกันเพียงเพราะเกลียดทักษิณเหมือนกัน มีทั้ง นักธุรกิจที่ไม่พอใจทักษิณ หญิงชั้นสูงที่เป็นข้าราชการ กลุ่มคลั่งศาสนาหัวรุนแรง ปัญญาชนที่เคยต่อต้านราชวงศ์ และกองกำลังทหาร และ “การเมืองใหม่” ของกลุ่มพันธมิตร ก็คือต้องการให้รัฐสภามาจากการเลือกตั้งบางส่วน และแทนที่ด้วยการแทรกแซงจากกองทัพ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชวงศ์ ที่เรียกว่า เป็นการเลียนแบบพลเอกเปรม ปัญหาของประเทศเกิดมาจากกองทัพเป็นส่วนใหญ่ บรรดานายพลเหล่านี้เชื่อว่าพวกเขามีสิทธิที่จะเปลี่ยนรัฐบาลที่ทำให้พวกเขาหรือราชวงศ์ไม่พอใจ และพวกเขาจะรับคำสั่งจากราชวงศ์ ซึ่งให้การเห็นชอบในการทำรัฐประหารมานับครั้งไม่ถ้วน สองอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวโยงกันชนิดแยกไม่ออก

แฮนด์ลีย์ ยังวิจารณ์ถึงการที่พระเจ้าแผ่นดินเข้าไปแทรกแซงกระบวนการนิติรัฐ เมื่อพระองค์แทรกแซงด้วยการแจ้งความปรารถนาของพระองค์ให้เหล่าผู้พิพากษาทราบ อิทธิพลของพระองค์ ทำให้ผู้พิพากษารับฟังประดุจเป็นคำสั่ง ในตัวอย่างที่เขาบอก แต่เหตุเกิดขึ้นช้าเกินกว่าที่เขาจะนำมาอ้างอิงในหนังสือเล่มดังกล่าวได้ ไม่กี่เดือนก่อนการรัฐประหาร พระองค์ได้มีรับสั่งกับผู้พิพากษาให้แก้ไขปัญหาทางการเมือง หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการอัดเสียงบทสนทนาของผู้พิพากษาศาลฎีกาสองคน ที่ได้มีการนำมาเปิดเผยในอินเตอร์เนท โดยผู้พิพากษาคนหนึ่งบอกว่า ต้องหลีกเลี่ยงการทำให้คนเข้าใจว่าเป็นรับคำสั่งของในวัง เพราะ “พวกคนต่างชาติไม่มีวันยอมรับ”

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การตีความพระประสงค์ของพระเจ้าแผ่นดินก็ชัดเจนขึ้นทุกที เพราะศาลได้เร่งรีบพิจารณาพิพากษาคดีความที่มีการกล่าวหาทักษิณและพวกพ้อง ในขณะที่ลดหย่อน และให้ประโยชน์แก่ฝ่ายตรงข้ามของทักษิณ ในบางกรณี เช่น การดำเนินคดีในข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชั่นที่มีต่อทักษิณก็อาจจะควรได้รับความสนใจจากศาล แต่ในบางเรื่องราวที่เหตุเล็กๆ น้อยๆ เช่น การที่ศาลสั่งปลดอดีตนายกรัฐมนตรีที่สนับสนุนทักษิณอย่าง นายสมัคร สุนทรเวชเพราะการทำอาหารออกรายการโทรทัศน์ แต่ในทางกลับกัน ข้อหากบฏที่มีต่อกลุ่มพันธมิตรเพราะบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล กลับได้รับการลดหย่อน และศาลยังปล่อยตัวพวกเขาให้เป็นอิสระ เพื่อให้กลับมายึดครองทำเนียบรัฐบาลต่อไปได้อีก

ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ได้ต้องการจะปฏิเสธความผิดของทักษิณ และพวกพ้อง แต่แม้แต่ข้อกล่าวหาต่อทักษิณที่รุนแรงที่สุดอย่างเรื่อง “สงครามยาเสพติด” ที่มีการกล่าวหาว่า ตำรวจได้ทำวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องสงสัยหลายร้อยคนนั้น จริง ๆ แล้ว ก็ไม่ใช่ความผิดของทักษิณทั้งหมด สงครามสกปรกที่ทำต่อพ่อค้ายาเสพติดได้รับการสนับสนุนจากคนไทยทุกระดับในสังคม แม้แต่พระเจ้าอยู่หัวเอง ก็เคยมีพระดำรัสในปี ๒๐๐๓ ที่ฟังดูเหมือนกับว่าพระองค์ให้การสนับสนุนการกระทำดังกล่าว

พ่อรู้ดีที่สุด

ในประเทศอื่น ๆ เช่น สเปน มาจนถึง บราซิล ได้มีการก้าวพ้นจากระบอบเผด็จการมาสู่ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งที่การต่อสู้ทางการเมืองจะทำในรัฐสภา ไม่ใช่ตามท้องถนน การที่ประเทศไทยล้มเหลวในด้านนี้ บางทีอาจเป็นเพราะการที่มี “พ่อ” ที่พร้อมจะเข้ามาแก้ปัญหาแทน ดังนั้น บรรดาลูก ๆ ของพ่อ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเติบโตมารับกับปัญหานั้น ๆ เอง พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านในรัฐสภาก็เป็นนักฉวยโอกาส คอยสนับสนุนกลุ่มพันธมิตร โดยมีความหวังว่า การทำรัฐประหารที่ได้รับความเห็นชอบจากในวังอีกครั้งหนึ่งจะช่วยให้พรรคของตนได้เป็นรัฐบาล

ความโกรธแค้นของชนชั้นนำในกรุงเทพที่มีต่อทักษิณ อาจมาจากความเจ็บใจที่เคยให้การสนับสนุนทักษิณ เมื่อทักษิณเข้าสู่ตำแหน่งในปี ๒๐๐๑ ความรู้สึกในประเทศไทยเวลานั้นก็คือ ประเทศต้องการนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำแบบซีอีโอ แบบที่อดีตนักธุรกิจผู้นี้เคยนำเสนอตนเองไว้ พรรคการเมืองของเขา พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง ได้เสียงข้างมากเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย และก็เป็นรัฐบาลที่อยู่ในตำแหน่งจนครบวาระเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน และเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคการเมืองของเขาก็ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากอีก นโยบายของทักษิณที่ต้องการปรับปรุงบริการสาธารณะ และให้เงินทุนแก่คนยากจน แม้จะทำให้เขาได้ผลประโยชน์ส่วนตัว แต่คำสัญญาที่เขาจะยกระดับความเป็นอยู่ของคนจน และสร้างความเสมอภาคในสังคม เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้กลุ่มชนนำที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ต้องการกำจัดเขาออกไป

รัฐบาลที่ประกอบด้วยนายพลและอดีตข้าราชการที่ตั้งโดยคณะรัฐประหารในปี ๒๐๐๖ นั้นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความล้มเหลว แม้ว่าพรรคไทยรักไทยจะถูกยุบ แต่เมื่อมีการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม พรรคการเมืองใหม่ของทักษิณ คือ พรรคพลังประชาชนก็ชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนสูงสุด ซึ่งทำให้กลุ่มพันธมิตรกลับเข้ามาประท้วงใหม่ เมื่อมีการปะทะกันในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พันธมิตรต่อสู้กับตำรวจด้วยปืน ระเบิดและเหล็กปลายแหลม โดยหวังว่า ความไม่สงบจะทำให้ทหารฉวยเป็นสาเหตุในการปฏิวัติ ถึงกระนั้น กลุ่มพันธมิตรก็กล่าวหาว่า ความรุนแรงทั้งหมดเกิดมาจากตำรวจ และสื่อมวลชนในกรุงเทพซึ่งเป็นพวกต่อต้านทักษิณก็ให้การสนับสนุนโดยปล่อยให้พันธมิตรรอดตัวไปได้ ทั้ง ๆ ที่สมาชิกคนหนึ่งของพันธมิตรตายด้วยระเบิดในรถของตัวเอง ในระหว่างที่ผู้ตายกำลังขนระเบิด สื่อมวลชนไทยกลับกลบเกลื่อนข่าวนี้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่การตายของผู้หญิงคนหนึ่งที่รายงานว่า ตายเพราะกระสุนแกสน้ำตาของตำรวจระเบิดใส่ กลับได้รับการเชิดชูยกย่องจากสื่อมวลชนเหล่านี้

มาจนถึงจุดนี้ ก็มีแต่เพียงการกระซิบถามกันเท่านั้น ว่าอะไรทำให้กลุ่มพันธมิตรได้รับการปฏิบัติที่ยืดหยุ่นขนาดนี้ แม้แต่กองทัพเอง ก็ปฏิเสธที่จะช่วยตำรวจ ในการจัดการเคลื่อนย้ายผู้ที่ชุมนุมประท้วง อย่างไรก็ดี ข่าวลือต่าง ๆ ก็ได้รับการยืนยันเมื่อพระราชินีได้เสด็จไปงานศพของหญิงสาวในกลุ่มพันธมิตร ในขณะที่พระเจ้าอยู่หัวยังคงเงียบเฉย

แน่นอนที่สุด ไม่มีใครสามารถแสดงความคิดเห็นว่าการที่รพราชินีสนับสนุนพันธมิตรจะมีผลอย่างไรต่อคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศที่ปรากฏชัดว่ายังคงสนับสนุนทักษิณอยู่ ท่ามกลางการกล่าวหาว่า มีการทำผิดกฏหมายเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งต่อฝ่ายที่สนับสนุนและต่อต้านทักษิณ แต่การกระทำของกลุ่มพันธมิตรดูจะยิ่งเลวร้ายกว่า การที่ราชวงศ์ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกพันธมิตร และการที่กลุ่มพันธมิตรย้ำ และยืนหยัดให้คนไทยต้องตัดสินใจเลือกว่า จะจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว หรือจะเลือกทักษิณต่อไป การกระทำดังกล่าว อาจจะส่งผลร้ายที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงต่อสถาบันพระมหากษัติรย์ของไทย

ผู้ที่สนับสนุนทักษิณจำนวนมากอาจจะพิจารณาถึงข้อโต้เถียงของพันธมิตร ถ้าราชวงศ์ต่อต้านผู้นำที่พวกเขาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเข้ามา บางที อาจเป็นการกระทำที่ต่อต้านประชาชนอย่างพวกเขาด้วยก็ได้ และความรู้สึกของคนยากจนในชนบทยิ่งถูกซ้ำเติมจากการกล่าวอ้างของกลุ่มพันธมิตรว่า คนจนในชนบทซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของทักษิณนั้น “ด้อยการศึกษาเกินว่าจะใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง” ดังนั้น จึงไม่ควรให้คนจนมีสิทธิลงคะแนน

ในการรณรงค์สนับสนุนทักษิณ เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา มีนักรณรงค์คนหนึ่งกล่าวโจมตีสถาบันโดยระบุว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็น “เสี้ยนหนามในระบอบประชาธิปไตย” เพราะการที่ทรงสนับสนุนรัฐประหารหลายครั้ง และเตือนราชวงศ์ว่า มีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับเครื่องตัดศรีษะแบบกิโยติน ไม่นานนัก เธอก็ถูกจับกุม สิ่งที่ทำให้พวกที่สนับสนุนราชวงศ์ตกใจ ไม่ใช่แค่การวิพากษณ์ วิจารณ์สถาบันอย่างรุนแรง แต่เพราะการที่ฝูงชนพากันตะโกนโห่ร้องสนับสนุนเมื่อเธอพูดต่างหาก “เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพวกเขาที่จะยังพยายามรักษาภาพลวงตาว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ชื่นชมไปทั่วโลก”

นักวิชาการชาวไทยคนหนึ่งบอกว่า ภาพลวงตากำลังถดถอยท่ามกลางความวิตกกังวลว่า อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ ความกลัวว่า ทักษิณจะมีอิทธิพลเหนือเจ้าฟ้าชาย ดูจะถูกลบไปด้วยความวิตกถึงความเหมาะสมของรัชทายาทของราชบัลลังค์ เจ้าฟ้าชาย แสดงออกถึงบุคคลิกภาพของพระบิดา หรือความทุ่มเทต่อประชาชนน้อยมาก และยังมีชื่อเสียงที่ไม่ดีในเรื่องตั้งแต่สมัยยังเยาว์วัย ในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ เจ้าฟ้าชายปฏิเสธว่า ไม่เคยทำตัวเป็นหัวหน้ามาเฟีย แต่แม้แต่พระราชินีเอง ก็เคยให้สัมภาษณ์ ในเรื่องนี้ในสหรัฐตั้งแต่ปี ๑๙๘๑ ว่า เจ้าฟ้าชาย “ค่อนข้างจะเป็นดอน ฮวน และถ้าประชาชนคนไทยไม่ยอมรับพฤติกรรมของลูกชายของเรา เขาก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม หรือไม่ก็ลาออกจากราชวงศ์ไป”

สื่อมวลชนของไทยทำการเซ็นเซอร์ข่าว ๆต่างด้วยตนเองอย่างเคร่งครัด และก็จะไม่ยอมเสนอข่าวการวิพากษณ์ วิจารณ์ใด ๆ ที่มี แต่ถึงกระนั้น คนส่วนใหญ่ของประเทศก็พากันเกลียดชังเจ้าฟ้าชายอย่างลึกซึ้ง มีข่าวลือตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า พระเจ้าอยู่หัวจะยกราชบัลลังก์ให้พระเทพฯ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนมากกว่า และทำหน้าที่ต่าง ๆ แทนพระเจ้าอยู่หัวในเวลานี้ ในข่าวภาคค่ำตอนสองทุ่ม จะเห็นพระเทพฯ พร้อมรอยยิ้มที่แจ่มใส เดินทางไปประกอบพระกรณียกิจทั่วประเทศ ไปทำบุญที่วัดต่างๆ ในขณะที่น้อยครั้งมากที่เจ้าฟ้าชายจะออกงาน และยิ่งน้อยมากที่จะพบปะกับสามัญชนแต่ธรรมเนียมการสืบเชื้อสายทางลูกชายของราชวงศ์จักรีจะไม่มีการยกเลิก บทบาทที่สำคัญของเจ้าฟ้าชายในงานพระศพสมเด็จเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ได้แก้ข้อสงสัยว่าใครคือองค์รัชทายาทที่ได้รับการเลือกแล้ว แต่กระนั้นก็ตาม คนไทยจำนวนมากต่างพากันนึกถึงคำทำนายโบราณที่ว่า ราชวงศ์นี้จะมีเพียงเก้ารัชกาล และพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันก็เป็นองค์ที่เก้า และองค์ที่สิบจะเป็นภัยพิบัติ

สักวัน เจ้าชายของเรา

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ อดีตข้าราชการชั้นสูงที่มีความใกล้ชิดกับราชวงศ์บอกเราว่า มีความหวาดวิตกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังรัชกาลปัจจุบัน “เมื่อเราพูดว่า “ทรงพระเจริญ” เราหมายความอย่างนั้นจริง ๆ เพราะเราไม่กล้าคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น” คนไทยส่วนใหญ่จะเด็กเกินกว่าที่จะจำได้ว่ าประเทศไทยก่อนที่จะมีพระเจ้าอยู่หัวปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร การสวรรคตของพระองค์จะเป็นการก้าวกระโดดเข้าไปสู่ดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก จึงดูจะเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดที่สำนักพระราชวังจะวางแผนการสืบทอดราชวงศ์ไว้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีการดำเนินการไปในทิศทางนั้น และคำแนะนำใด ๆ ก็ไม่น่าจะได้รับการตอบสนอง “พระองค์ทรงเชื่อมั่นในตนเองมาก ไม่มีใครจะแนะนำอะไรพระองค์ได้” ข้าราชการผู้นั้นบอกเรา

ในระยะอันใกล้ อาจมีการเผชิญหน้ากันอีก ถ้ารัฐบาลที่สนับสนุนทักษิณเอาตัวรอดได้ พวกเขาพยายามแก้รัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นสมัยรัฐประหาร การแก้ไขบางหลักการเช่นให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ดูเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล แต่พวกพันธมิตรสันนิษฐานว่า เป็นการแก้ไขเพื่อช่วยทักษิณ และพวกพ้องจากคดีความต่าง ๆ ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนไม่มีใครยอมประนีประนอม และต่างฝ่ายต่างพร้อมที่จะนำฝูงชนที่สนับสนุนตนมาเดินขบวนประท้วงเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

ยังมีความหวังว่า “การประนีประนอมแบบไทย ๆ” ที่เลอะเทอะ แต่อาจจะได้ผล จะช่วยดึงประเทศให้พ้นจากวิกฤต ยังมีความฝันว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดงได้แปลงสภาพให้กลายเป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง และมีมารยาท โดยเรียกร้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ ก็อาจจะช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากพวกสนับสนุนราชาธิปไตย และนายพลที่พยายามจะลากประเทศไทยให้ถอยหลังกลับเข้าสู่อดีต แต่ดูเหมือนโอกาสที่เป็นไปได้จะไม่มี

ถ้ารัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลสิ้นสุดลงด้วยสงคราม หรือทำให้ประเทศไทยกลายเป็นอัมพาต เพราะความวุ่นวายที่ไม่รู้จบ โดยที่ไม่มีใครที่มีสถานะเท่าพระองค์ที่จะมายุติข้อขัดแย้งครั้งนี้ จะเป็นภัยพิบัติที่น่าเศร้า แต่พระองค์ได้มีบทบาทสำคัญในอดีตที่หาข้อยุติของปัญหา แต่ก็มีเสียงโต้แย้งว่า พระองค์จะสร้างเสถียรภาพในยามที่วุ่นวาย และการที่ทรงทุ่มเทต่อภารกิจต่าง ๆ เป็นสิ่งที่น่ายึดถือเป็นตัวอย่าง และจะทรงแต่สิ่งที่พระองค์เห็นว่าดีที่สุดสำหรับประเทศ และสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ได้มีการบอกเล่าให้คนไทยฟังทุกเช้าทุกเย็น ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา คนไทยไม่ได้รับอนุญาตให้วิพากษณ์ วิจารณ์ถึงอีกด้านหนึ่งของเหรียญในที่สาธารณะ.


----------------------------------

บทความที่ ๗. (บทวิเคราะห์ทั่วไป ไม่ได้เน้นเฉพาะกรณีพันธมิตรฯ)

รอยแตกที่ยาวขึ้นของกำแพงไทย

(The cracks widen in Thailand´s wall)

From New Straits Times

January 14, 2009


โดย : W. Scott Thompson

แปลและเรียบเรียงโดย : chapter 11

แหล่งข้อมูล : Liberal Thai



ปรัชญาชาวกรีกกล่าวว่า “คนเกิดมาด้วยความบริสุทธิ์และตายไปด้วยตัณหา” หรือความหมกมุ่น

นั่นอาจจะเป็นชะตากรรมของประเทศไทย การดิ้นรนในสองปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องระหว่างทักษิณ ชินวัตรและกลุ่มเสื้อแดง กับพันธมิตรเสื้อเหลืองฝ่ายราชวงศ์ ร่วมด้วยพรรคเพียงแต่ในนาม คือ “ประชาฺธิปัตย์”

ในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นมุมมองสองด้านว่าราชอาณาจักรควรจะดำเนินต่อไปอย่างไร หรือที่ว่า ควรจะเป็นราชอาณาจักรหรือไม่

ขณะนี้ ประเทศยังเป็นราชอาณาจักร ราชบัลลังก์เป็นส่วนค้ำจุนของระบอบชนชั้น ซึ่งวัดความมั่งคั่งจากการมีรถยนต์นำเข้า BMW และ Mercedes Benz (เมื่อเทียบกับรายได้ของประชากรต่อคน) ซึ่งไม่มีที่ไหนเทียบได้ในโลกนี้ นี่ยังไม่ได้รวมถึงเรื่องที่อาจจะเป็นไปได้ ขี้นอยู่กับระบบบัญชีอย่างไหน ว่ากษัตริย์เป็นบุคคลที่รวยที่สุดของโลก

ชนชั้นปกครองที่ประสบผลสำเร็จจะฉลาดในการซ่อนอภิสิทธิ์ของตัวเอง ผมมีเพื่อนฝรั่งในกรุงเทพซึ่งไม่ทราบความหมายของคำว่า “มรว” และ “มล” สำหรับหม่อมราชวงศ์ (เหลนของกษัตริย์) และ หม่อมหลวง อันเป็นรุ่นถัดไป พวกเขาเหล่านี้รั้งตำแหน่งปลัดกระทรวงและเอกอัครราชทูตต่างๆ ซึ่งไม่ได้สัดส่วนกับคนชนชั้นอื่น

แน่นอน พวกเขาเหล่านี้มีคุณสมบัติเหมาะสม พวกเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่เมื่ออายุ 8 ขวบได้รับการศึกษาจากโรงเรียนในอังกฤษ ที่อีตั้น วินเชสเตอร์ ออกซ์ฟอร์ด แคมบริจจ์ พวกเขาพูดภาษาอังกฤษตามวิธีการของราชินีอังกฤษพูด และเมื่อเขากลับประเทศไทยก็ได้รับสิทธิ์พิเศษมากขี้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนหนึ่งซึ่งมียศ “มรว” กล่าวว่าพวกเขารู้จักการ “บริหารประเทศ” และรู้ว่าจะรักษาสถานะภาพของตัวเองได้อย่างไร คำถามคือ ทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงอยู่สถานะนั้นตั้งแต่แรก

จากเริ่มแรก พวกเขาเห็นว่าทักษิณกำลังโจมตีพวกเขา ผ่านทางคะแนนนิยมและทำความสั่นสะเทือนให้กับระบอบของพวกเขา

มาทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า กษัตริย์เป็นสิ่งที่ดีสำหรับประเทศชาติ ท่านได้เสริมสร้างราชบัลลังค์อย่างน่าประทับใจ และในระหว่างขั้นตอนนั้น ท่านได้รวมประเทศไทยให้เป็นหนึ่งเดียว และในขณะเดียวกันก็สร้างเกราะป้องกันในระหว่าง 60 ปีที่ผ่านมา คนไทยรักกษัตริย์ด้วยเหตุผลที่ดี แต่ระบอบชนชั้นนั้นเล่า ท่านทรงพระราชทานยศและศักดิ์ซึ่งมีค่ามหาศาล กษัตริย์ได้พระราชทานสิทธิให้นายพลทั้งหลาย ซึ่งเข้าพระราชวังทางประตูหลังและออกมาประตูหน้าพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์

เอ็นจีโอ (NGO) องค์กรไม่ฝักใฝ่การเมือง (ภาษาไทยเหมือนคำว่า “โง่”) ได้เสแสร้งโจมตีระบอบชนชั้นและผู้สนับสนุนราชวงศ์ เขารู้ว่าใครค้ำจุนระบอบนี้อยู่ แน่นอน เขาไม่โจมตีกษัตริย์ในด้านส่วนตัว ไม่เหมือนโจมตีทักษิณ แต่อย่าได้เข้าใจผิด พวกองค์กรทั้งหลายเหล่านี้ได้คืบจะเอาศอก พวกเขารอฉวยโอกาสเท่านั้นเอง ที่อื่นๆ นักเรียกร้องสิทธิสามารถโจมตีเรื่องความไม่เท่าเทียมกันได้ แต่สำหรับประเทศไทยนั่นหมายถึงโจมตีราชบัลลังค์ ถ้าคุณต้องการจะสาวให้ถึงต้นเหตุ ดังนั้นพวกเขาต้องโจมตีไปที่ตัวแทนของราชวงศ์ เช่น นายพลคนโปรดทั้งหลาย

หยิบถั่วปากอ้าขี้นมาและทุก ๆ คนในกรุงเทพจะหัวเราะหัวสั่นหัวคลอน มันคล้ายคลึงกับเจ้าหญิงที่คนไม่นิยมของราชวงศ์ แต่ไม่มีใครกล้าพูดสักคำ เพราะถ้าพูดก็หมายถึงต้องโดนข้อหาหมิ่นฯ ซึ่งเป็นกฎหมายหลักสำคัญของระบอบชนชั้น

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนี้ ผลผลิตจาก อีตัน-ออกซ์ฟอร์ด เริ่มต้นดี (คนไทยพูดว่า เป็นเลขนำโชคของเขา) มีพรรคร่วมรัฐบาล 5 พรรคชนะการเลือกตั้งซ่อมได้เสียงเพิ่มมาอีก 20 เสียง ที่เห็นชัดที่สุด ในวันรับพระราชทานโอวาส คืออภิสิทธิ์นั่งเก้าอี้ต่ำว่ากษัตริย์แน่ ๆ

บางทีกษัตริย์ซึ่งทรงมีพระปรีชาสามารถ ทรงพยายามที่จะทำพระองค์ให้ห่างจากความวุ่นวาย ที่ท่านช่วยสร้างในระยะสองปีครึ่งที่ผ่านมา

ไม่ใช่พระราชินี ท่านแยกกันอยู่กับกษัตริย์ ประทับในพระราชวังจิตรลดาอันเป็นพระราชวังสไตน์เอ็ดวาเดียนในกรุงเทพ มีกษัตริย์ครองแผ่นดิน (และส่วนใหญ่ของเวลาหลายปีที่ผ่านมา ได้ปกครองแผ่นดิน) จากหัวหิน ราชินีทรงเลือกที่รักมักที่ชัง เห็นได้จากการไปงานศพของผู้หญิงที่เสียชีวิตในการประท้วงของกลุ่มพันธมิตร ทำให้พระองค์ถูกโจมตีอย่างหนักและสุดท้ายพระองค์ส่งของขวัญพระราชทานแก่ครอบครัวของผู้ประสบเคราะห์ร้ายทุกครอบครัว

คนโปรดของพระองค์ คือ บรรดาเหล่าพันธมิตร

ราชวังอาจแยกเป็นสองข้าง แต่คำถามเปิดก็คือ ราชินีได้สนับสนุนทางการเงินตามความต้องการของกษัตริย์จริง ๆ หรือไม่

กษัตริย์ได้กำจัดทักษิณออกไป ซึ่งในการเลือกตั้งเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พรรคตัวแทนของทักษิณไม่สามารถนำชัยชนะมาได้

ชนชั้นสูงของมนิลาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ชนชั้นสูงอาศัยเบื้องหลังกำแพงแก้วสูงถัดจากหมู่บ้านที่เผาฟืน

ชนชั้นปกครองของอเมริกา (แน่นอน มีชนชั้น) ได้หลบซ่อนความสำเร็จโดยใช้การปฎิเสธแบบหน้าตายว่า ประเทศตัวเองให้สิทธิเสมอภาคและจะไม่อดทนต่อความไม่เสมอภาคกัน ในทางตรงข้ามกัน ศักดินาไทยอาศัยอยู่ในถิ่นหรู มีรั้วซ่อนรถที่จอดไว้หลาย ๆคัน ผมยังจำอาหารมื้อค่ำที่หัวข้อสนทนาเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่น่าอัศจรรย์ของไทย และพวกศักดินาชั้นสูงของไทยได้เสริฟไวน์ Petrus, Haut, andBeaune ที่แพงลิบลิ่ว ความหรูหรานี่เกิดขี้นก่อน ที่จะเกิดการปะทะในปี 2540

แม้ว่ายุทธวิธีของศักดินาจะได้ผลดี แต่กำแพงมีรอยแยกเสียแล้ว แค่รูปของอภิสิทธิ์กับกษัตริย์คงไม่พอหรอก

ความจริงที่ว่า สองปีที่ศักดินามีอำนาจเหนือประชาชนควรจะเป็นการเตือนภัยได้เพียงพอ แม้ทักษิณจะจากไปแต่สิ่งที่เขาทำไว้ยังคงอยู่

ในปี 2533 อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ถนัด คอมันต์ ได้อธิบายให้ผมฟังถึงเหตุผล 3 อย่างของความสำเร็จของประเทศไทย คือ กษัตริย์ ชนชั้นปกครองศักดินา และนักธุรกิจศักดินารวมทั้งครอบครัว


“ชนชั้นปกครองศักดินาอนุญาตให้กลุ่มนักธุรกิจศักดินาคุมเศรษฐกิจ” ซึ่งความลับเล็กน้อยที่ว่าเป็นคนจีนทั้งหมด (นายกรัฐมนตรีหลายคนก็เป็นคนเชื้อสายจีน มีนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งที่เกิดที่เมืองจีนด้วยซ้ำไป) กฎสำหรับการบริหารธุรกิจครอบครัวคือการไม่มีหนี้ ซึ่งทำให้ราชอาณาจักรคงยังอยู่ได้หลังจากการปะทะกันในปี 2540 แต่นักธุรกิจศักดินาลูกครึ่งจีนไทยต้องการมากกว่านั้น พวกเขาได้บริหารองค์กร NGO ด้วย นอกเหนือจากนายธนาคารและนายหน้าค้าหุ้น มีการอนุญาตให้แต่งงานได้แต่เฉพาะในกลุ่มชนชั้นปกครองศักดินา ซึ่งผลที่จะได้ตอบแทนไม่ทราบแน่ชัด บางทีคนรุ่นถัดไปอาจจะรู้มากขี้น

ขณะนี้ประเทศไทยได้เริ่มปีใหม่ด้วยความเรียบร้อยเกินความคาดหวัง เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทุกประเทศก็ควรยินดีด้วย

*นักเขียนเป็นอาจารย์ที่เกษียณของโรงเรียนกฎหมายและการฑูตเฟลทเช่อร์

REF : http://www.combiolaw.de/article/265/English-and-Thai-Articles-Analysis-about-Thai-monarchy-2008-2009.html 05/07/2010

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น