นิติรัฐศาสตร์วัฒนธรรม โดยนักประวัติศาสตร์
Author : นิธิ เอียวศรีวงศ์
Quelle : มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
Category : บทความกฎหมาย
Publisher : BioLawCom
บทความกฎหมาย
หมายเหตุ: บางส่วน (เฉพาะนิติศาสตร์) จากรวมบทความทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และวัฒนธรรม มติชนรายวันและมติชนสุดสัปดาห์ ระหว่างกลางเดือนเมษายน - กลางเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๘ เผยแพร่บนเว็ปไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
๑.หลักรัฐศาสตร์และหลักนิติศาสตร์
ฟังดูเหมือนเรื่องตลก แต่เป็นเรื่องจริงครับ ประธานศาลรัฐธรรมนูญให้สัมภาษณ์ในโอกาสฉลองครบรอบ 7 ปีของศาลรัฐธรรมนูญว่า ต่อแต่นี้ไป ศาลรัฐธรรมนูญจะคำนึงถึงหลักรัฐศาสตร์ให้มากขึ้น ควบคู่กันไปกับหลักนิติศาสตร์
ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่คงนึกว่าท่านประธาน น่าจะพูดกลับกันเสียล่ะมากกว่า ในฐานะคนที่ไม่เคยเรียนทั้งรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ผมอยากจะออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผิดถูกก็ช่างหัวมัน เพราะอย่างน้อยก็เป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้าน "ทรราชย์ของผู้เชี่ยวชาญ" ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้สถาปนาขึ้น
ในประเทศไทย คำว่าหลักรัฐศาสตร์เมื่อเอามาใช้ในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติเอาไว้ แปลว่าไม่ทำตามกฎหมาย เท่านั้นเอง และในทางตรงกันข้าม หลักนิติศาสตร์แปลว่าทำตามบัญญัติของกฎหมายอย่างเคร่งครัด พูดอย่างนี้คนที่ชอบอ้างหลักรัฐศาสตร์ ก็อาจเห็นว่าผมไม่อธิบายบริบทของการไม่ทำตามกฎหมาย ซึ่งย่อมไม่เป็นธรรมแก่ท่านเหล่านั้น
ที่จริงแล้วผู้อ้างหลักรัฐศาสตร์หรือไม่ทำตามกฎหมายเห็นว่า ในกรณีนั้นๆ หากทำตามกฎหมายแล้ว อาจเกิดปัญหาทางการเมือง, การบริหาร, หรือการวางนโยบายต่างประเทศ ฉะนั้นจึงเห็นว่าจำเป็นต้องเบี้ยวกฎหมาย เพื่อทำให้เกิดความราบรื่นทางการเมือง, การบริหาร หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แม้การไม่ทำตามบัญญัติของกฎหมาย ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่มุ่งประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ก็ยังมีปัญหาที่ในทรรศนะของผมหนักหนาสากรรจ์อยู่สองอย่างตามมา
ประการแรกก็คือ ใครเป็นคนวินิจฉัยล่ะครับว่า ในกรณีนั้นๆ หากทำตามกฎหมายแล้วจะก่อให้เกิดความไม่ราบรื่นทางการเมือง, การบริหาร หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ใช่ประชาชนนะครับ เพราะไม่มีการทำประชามติ (อีกทั้งหากถือว่ากฎหมายทุกฉบับมาจากตัวแทนของประชาชนตามกระบวนการนิติบัญญัติของ
ระบอบประชาธิปไตย… ถ้าอย่างนั้นประชาชนได้แสดงมติของตนไว้ในกฎหมายแล้ว) ไม่ใช่การโยนกลับไปให้ฝ่ายนิติบัญญัติตีความใหม่ให้ชัด ไม่ใช่แม้แต่การโยนหัวโยนก้อย (ซึ่งก็คือยกให้พระเจ้าช่วยตัดสินให้) แต่คนที่วินิจฉัยนั้นก็คือ คนที่ถือกฎหมายไว้ในมือนั้นเอง (ตุลาการหรือฝ่ายบริหารที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายก็ตาม)
คนเหล่านี้แหละครับที่อ้างตัวเอง โดยได้รับคำรับรองอย่างแข็งขันจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันว่า คือผู้เชี่ยวชาญทางรัฐศาสตร์หรือนิติศาสตร์ และความเชี่ยวชาญของเขานี่แหละที่เป็นหลักประกันว่า การจะเลือกทำตามกฎหมายหรือไม่ทำตามกฎหมาย (หลักรัฐศาสตร์และหลักนิติศาสตร์) ย่อมดีแก่ส่วนรวมเสมอ
ถ้าอย่างนั้นทำไมเราต้องมีกฎหมาย ในเมื่อความเชี่ยวชาญจะเลือกใช้หรือไม่ใช้กฎหมายได้ตามใจชอบเช่นนี้
ปัญหาประการที่สองก็คือ อคติประจำวิชากฎหมายในประเทศไทย ก็คือปลูกฝังให้ผู้ใช้กฎหมายพิทักษ์ปกป้องรัฐเหนือสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ (ดังจะเห็นตัวอย่างคำพิพากษาของศาลได้มากมาย แต่จะขอยกตัวอย่างจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคนพิการเรียกร้องสิทธิการสอบเป็นอัยการเพียงกรณีเดียว) ถ้าหลักรัฐศาสตร์มีความหมายแต่เพียงการรักษาความราบรื่นทางการเมือง, การบริหาร และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คนที่ถือกฎหมายไว้ในมือย่อมเลือกจะใช้หลักรัฐศาสตร์เหนือนิติศาสตร์อยู่เสมอ เพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจอันไร้ขีดจำกัดของรัฐเอาไว้
ถ้าอย่างนั้น ทำไมเราต้องมีรัฐธรรมนูญ ในเมื่อถึงอย่างไร กฎหมายก็จะถูกอ่านเพื่อผดุงอำนาจรัฐไว้เหนือการตรวจสอบถ่วงดุลอยู่ตลอดไป
อันที่จริงการคำนึงถึงความสงบสุขของสังคมโดยรวม มิได้ขัดแย้งกับหลักนิติศาสตร์แต่อย่างใด กฎหมายทุกฉบับย่อมมีขึ้นเพี่อเป้าหมายปลายทางเดียวกัน คือความสงบสุขของสังคมโดยรวม แม้แต่กฎหมายแพ่งที่อำนวยความเป็นธรรมแก่บุคคล ก็มีหลักการว่า ความเป็นธรรมที่บุคคลได้รับหลักประกันนั่นแหละ ทำให้เกิดความสงบสุขในสังคม เป้าหมายสำคัญของกฎหมายมหาชนก็คือ ความสงบสุขของสังคมโดยรวม (อันที่จริงพูดอย่างนี้ได้กับทุกศาสตร์ในโลก)
ยิ่งกว่านี้ นักนิติศาสตร์(ที่ดี) ยังคำนึงไปไกลกว่าความสงบสุขของสังคมด้วยซ้ำ นั่นก็คือความสงบสุขไม่ได้หมายถึงสถานะเดิมหรือสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้นแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ละสังคมย่อมมีศักยภาพที่จะพัฒนาไปสู่ความสงบสุข และความรุ่งเรืองได้มากกว่าสถานะเดิม ฉะนั้นจึงต้องอ่านและใช้กฎหมายโดยคำนึงถึงประโยชน์สุขของสังคมในระยะยาวอีกด้วย
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หลักนิติศาสตร์ต้องคำนึงถึงทั้งความสงบสุขของสังคม ควบคู่กันไปกับศักยภาพของสังคมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าด้วย ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรแตกต่างกันระหว่างหลักนิติศาสตร์กับหลัก
รัฐศาสตร์
เพื่อให้เห็นทั้งสองประเด็นนี้ได้ชัด จะขอยกตัวอย่างให้เห็นเป็นบางคดี
สมมุติว่า นักการเมืองซึ่งตุลาการได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานแล้วว่า กระทำผิดกฎหมาย แต่นักการเมืองผู้นั้นได้รับเลือกตั้งจากประชาชนมาอย่างท่วมท้น ตุลาการจึงเกรงว่าหากตัดสินไปตามบัญญัติของกฎหมาย อาจทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วงจนขั้นก่อจลาจลได้ ตุลาการจึงตัดสินใจพิพากษาให้ยกคำร้องของฝ่ายที่ฟ้องนักการเมืองนั้นเสีย
ถามว่า นี่เป็นการใช้หลักรัฐศาสตร์แทนนิติศาสตร์ใช่หรือไม่ ผมคิดว่าไม่ใช่ ซ้ำยังเป็นการละเมิดหลักนิติศาสตร์อย่างน่าละอายด้วย เพราะตุลาการในสังคมปัจจุบัน ควรรู้ว่าคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งไม่ได้มีความหมายว่า ประชาชนลงมติอย่างท่วมท้นให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งอยู่เหนือกฎหมาย ความนิยมชมชื่นนักการเมืองก็มีขึ้นมีลงอย่างรวดเร็วเหมือนกับดาราหรือนักร้อง เราจึงไม่สามารถอาศัยแต่บรรทัดฐานที่ไม่มั่นคงแน่นอนนี้ ในการออกคำพิพากษา
ยิ่งคิดถึงประโยชน์สุขในระยะยาวของสังคมโดยรวมแล้ว การใช้คะแนนนิยมซึ่งวูบวาบ, จัดตั้งได้, และไม่มีความหมายที่แน่ชัดเป็นบรรทัดฐาน จะกลายเป็นการตั้งบรรทัดฐานใหม่ให้แก่สังคม นั่นก็คือถ้าใครสามารถได้คะแนนเลือกตั้งมากๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเคารพกฎหมาย นั่นยิ่งเป็นอันตรายต่อความสงบสุขของสังคมเสียยิ่งกว่าการก่อจลาจลของฝูงชน (ม็อบขนานแท้และดั้งเดิมเลย)
ถ้าอ้างหลักรัฐศาสตร์ในการพิจารณาคดี รัฐศาสตร์ก็มีความหมายแต่เพียงภาพที่คนสายตาสั้นมองเห็นเท่านั้น
เช่นเดียวกับการตัดสินว่า หนังสือแสดงเจตจำนงที่ไทยต้องส่งให้ไอเอ็มเอฟไม่ใช่สนธิสัญญา จึงไม่ต้องผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภา ก็ไม่ได้เอื้อต่อความสงบสุขและศักยภาพของสังคมแต่อย่างใด ไม่เข้าเกณฑ์ทั้งหลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์
ตุลาการของโลกปัจจุบันควรเข้าใจว่า สัญญาที่ผูกมัดประเทศชาติให้ต้องทำหรือต้องไม่ทำอะไรในภายหน้านั้น อาจอยู่ได้ในหลายรูปแบบ การที่กฎหมายกำหนดให้รัฐสภาต้องอนุมัติสนธิสัญญาย่อมมีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า ประชาชนมีสิทธิตัดสินอนาคตของตนเองโดยผ่านผู้แทนของตนในสภา ถ้าถือเอาความหมายแบบอักษรศาสตร์ของกฎหมายเพียงอย่างเดียว สิทธิพื้นฐานอันนี้ของประชาชนย่อมถูกริบไปโดยปริยาย เพราะโลกปัจจุบันและอนาคตจะสัมพันธ์กันด้วยกลไกอื่นๆ มากกว่าสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
สังคมที่ประชาชนไม่มีสิทธิตัดสินอนาคตของตน จะเป็นสังคมที่เกิดความสงบสุข และมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้อย่างไร
หลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์มิได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด จะพูดว่าเป็นเรื่องเดียวกันยังได้ เพราะต่างมุ่งประโยชน์สุขของสังคมทั้งในกาลปัจจุบันและอนาคตเป็นที่ตั้ง คำพิพากษาของศาล(ทุกประเภท) ย่อมเป็นบรรทัดฐานที่จะอำนวยเป้าประสงค์ดังกล่าว อคติสี่นั้นไม่มีหลักอะไรให้อ้างหรอกครับ เบี้ยวคือเบี้ยว ไม่มีเบี้ยวตามหลักโน้นหลักนี้หรอกครับ
ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้หลักรัฐศาสตร์ให้มากก็ได้ แต่รัฐศาสตร์ที่แท้จริงไม่ได้ยืนอยู่ได้โดยปราศจากหลักนิติศาสตร์ เช่นเดียวกับนิติศาสตร์ก็ไม่สามารถยืนอยู่ได้โดยปราศจากหลักรัฐศาสตร์ สำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญซึ่งรัฐธรรมนูญมอบอำนาจไว้ให้นั้น ต้องเข้าใจหลักทั้งสองอย่างถูกต้องเท่านั้น
๒.โลกของนักกฎหมาย
ผมนึกบอกตัวเองเสมอว่าโชคดีที่ไม่ได้เรียนกฎหมาย เพราะโลกของนักกฎหมายเป็นโลกที่ผมไม่มีวันเข้าถึง เราใช้ตรรกะกันคนละชุด พลังงานที่ขับเคลื่อนให้โลกอันสงบสุขหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามวิถีของมันก็เป็นพลังงานคนละตัว
เมื่อไม่นานมานี้ นักกฎหมายคิดจะออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการประชุม ครม. โดยกำหนดองค์ประชุมของ ครม.ว่าต้องมีเท่าไร และในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนมีรัฐมนตรีร่วมประชุมกับนายกฯคนเดียว ก็นับเป็นองค์ประชุมได้แล้ว เหตุผลที่ท่านยกขึ้นมาสนับสนุนมาตรการนี้ก็คือ ท่านบอกว่าเพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดองค์ประชุมเอาไว้
ผมนึกในใจว่า การที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดเอาไว้ก็แสดงอยู่แล้วว่าไม่ต้องกำหนดล่ะสิครับ เพราะอะไรหรือ ก็เพราะถึงไม่กำหนด การบริหารจัดการรัฐก็ยังดำเนินไปได้เป็นปกติดี ซ้ำยังเปิดช่องให้พลิกผันไปตามสถานการณ์ได้ตามความจำเป็นอีกด้วย
นักกฎหมายยังชี้ให้เห็นกรณีตัวอย่างในอดีตว่า เคยมีการประชุม ครม.สองคน แล้วผ่านมติออกมาเป็นมติ ครม.มาแล้ว เช่น กรณีเมษาฮาวาย และกรณีนายกรัฐมนตรีออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเองก่อนอำลาตำแหน่ง เป็นต้น ในโลกที่ใช้ตรรกะชุดเดียวกับผม กรณีที่ยกเป็นตัวอย่างทั้งสองยิ่งชี้ให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องมีกฤษฎีกากำหนดองค์ประชุมของ ครม.ต่างหาก ก็เพราะไม่มีจึงทำได้ไงครับ
ผมเข้าใจเสมอมาว่า กฎหมาย (ที่เป็นทางการ) คือกติกาสำหรับสังคมในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกัน (ฉะนั้นกฎหมายจึงต้องว่าด้วยอำนาจ, ว่าด้วยภาระหน้าที่, และว่าด้วยสิทธิ) แต่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ไหนในโลก ที่ถูกกำกับด้วยกฎหมายเพียงอย่างเดียว ยังมีวัฒนธรรมประเพณี, ศีลธรรม, แรงกดดันของสังคม, สำนึกในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ฯลฯ อีกร้อยแปดอย่างที่คอยกำกับพฤติกรรมของมนุษย์อยู่
กฎหมายเสียอีก กลับมีกำลังในการกำกับน้อยกว่าอะไรอื่นๆ เหล่านั้น เช่นคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่ลักขโมย ไม่ใช่เพราะเกรงว่าผิดกฎหมาย แต่เห็นว่าผิดศีลธรรม ผิดความนับถือตัวเอง หรือผิดคำสั่งสอนของพ่อแม่ เป็นต้น
สังคมใดที่ไม่มีอะไรอื่นกำกับเลย นอกจากกฎหมายเพียงอย่างเดียว สังคมนั้นต้องออกกฎหมายห้ามฉี่ในลิฟต์อย่างสิงคโปร์ (ซึ่งนักการเมืองและสื่อชอบวางเป็นเป้าหมายของการพัฒนาสังคมไทย)
แต่ในโลกของนักกฎหมาย การไม่มีกฎหมายใดกำกับอยู่เลย ผู้คนก็อาจเอาโอกาสนั้นไปใช้ในทางเสียหาย เช่นในกรณีองค์ประชุมของ ครม. นายกฯอาจใช้โอกาสนี้เรียกประชุมกับรัฐมนตรีคนเดียว แล้วผ่านมติ ครม.พิกลพิการออกมา โลกอย่างนี้ผมเข้าไม่ถึง เพราะในโลกของผมนั้น อย่างที่บอกแล้วว่าถึงไม่มีกฎหมายกำกับ ก็ยังมีอะไรอื่นคอยกำกับพฤติกรรมอยู่ดี
แม้ไม่ได้ศรัทธาท่านนายกฯคนปัจจุบัน ผมก็ยังไม่เชื่อว่าท่านจะทำอย่างนั้นได้อยู่ดี เพราะในฐานะบุคคลสาธารณะท่านย่อมต้องแสวงหาความชอบธรรมจากการกระทำของท่านด้วย และความชอบธรรมในโลกนี้ไม่ได้เกิดจากกฎหมายเพียงอย่างเดียว มติ ครม.ที่ฉ้อฉลพิกลพิการย่อมทำลายความชอบธรรมของตัวท่าน
มติ ครม.ในกรณีเมษาฮาวาย คนส่วนใหญ่คงเห็นว่ามีความชอบธรรม ในท่ามกลางสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนั้น ก็สมควรแล้วที่จะต้องออกมติ ครม.ด้วยองค์ประชุมเล็กกระจิ๋วหลิวเช่นนั้น ตรงกันข้ามกับมติ ครม.ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมตัวเอง ผมยังได้ยินคนก่นด่ามาจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่ทราบว่ามีผลมากน้อยเพียงไรต่อความนับถือที่บางคนเคยมีต่อนักกฎหมายที่ร่วมกันเสนอมตินี้ไปสู่ ครม.ด้วยลายเซ็น
สังคมทุกสังคมย่อมมีมาตรฐานของตัวเอง ไม่ว่าจะมีกฎหมายรองรับมาตรฐานนั้นหรือไม่ แล้วเราจะไม่ปล่อยให้มาตรฐานเหล่านั้นทำงานของมันโดยไม่ต้องมีกฎหมายรองรับบ้างหรือ
ตรงกันข้าม สิ่งที่กฎหมายบัญญัติไว้ยิ่งกลับนำไปสู่ความไม่ชอบธรรมได้ง่าย ถ้าเนติบริกรที่แวดล้อมผู้มีอำนาจ เพียงแต่เปิดกฎหมายดูว่า อะไรที่กฎหมายไม่ได้ห้าม ก็ทำได้เลย โดยไม่ต้องเหลียวไปดูมาตรฐานความชอบธรรมซึ่งมาจากอะไรอื่นอีกมากกว่ากฎหมาย ก็อย่างที่พูดแหละครับ กฎหมายอย่างเดียวรองรับความชอบธรรมไม่ได้ ซ้ำตรงกันข้ามด้วย ถ้ามีกฎหมายเพียงอย่างเดียวเสียอีก ที่ความชอบธรรมจะไม่เหลืออีกเลย
อย่างพระราชกฤษฎีกาที่ว่านี่แหละครับ ทำให้ผ่านมติ ครม.ด้วยองค์ประชุมกระจิ๋วหลิวได้ง่ายกว่าไม่มีกฎหมายรองรับเสียอีก เพราะเมื่อไม่มีกฎหมาย ก็ยิ่งต้องคิดหนักมากขึ้นว่าจะผ่านมติ ครม.ที่ไม่ชอบธรรมได้อย่างไร
โลกของนักกฎหมายดำเนินไปเพราะกฎหมายเปิดช่องให้ทำได้ ถ้าไม่มีกฎหมายโลกของเขาอาจหยุดหมุน ผิดหรือถูกมีความหมายแต่เพียงจะตีความจักเส้นผมบัญญัติของกฎหมายกันอย่างไร เพราะผิดหรือถูกที่ไม่มีกฎหมายรองรับนั้นไม่มีในโลกของนักกฎหมาย
ผมคิดว่ากรณีสติ๊กเกอร์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เฉพาะในโลกของนักกฎหมายเท่านั้น ไม่มีสาระในโลกที่มนุษย์คนอื่นมีชีวิตอยู่ตามปกติธรรมดา ผมไม่ทราบหรอกว่าใครเป็นคนทำสติ๊กเกอร์ หรือใครเป็นคนไม่ได้ทำสติ๊กเกอร์ เพียงแต่ความรู้อันจำกัดของผมเกี่ยวกับกฎหมายทำให้เชื่อว่า การอ้างพระราชดำรัสไม่เป็นความผิดทางกฎหมาย ยกเว้นแต่อ้างในบริบทที่เจตนาจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่องค์พระมหากษัตริย์
ประเด็นปัญหาก็คือ การอ้างพระราชดำรัสในการโจมตีคู่ต่อสู้ทางการเมือง ในบรรยากาศการแข่งขันของการเลือกตั้ง มีเจตนาจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่องค์พระมหากษัตริย์หรือไม่
ผมคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียได้อย่างไร การยกพระราชดำรัสก็แสดงอยู่แล้วว่าให้ความสำคัญแก่พระราชดำรัส แม้มีเจตนาจะทำให้ความนิยมของคู่แข่งทางการเมืองเสียหาย ก็ไม่ใช่การหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์แต่อย่างใด
แม้ไม่ผิดกฎหมาย แต่คำถามที่สำคัญกว่าก็คือสมควรกระทำหรือไม่ เพราะถ้าสติ๊กเกอร์นั้นทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าองค์พระมหากษัตริย์ไม่โปรดคู่แข่งทางการเมือง ก็ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันทางการเมือง บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นนี้ไม่มีใครรับได้สักฝ่ายเดียว
คนที่อยากเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องถามว่า ทำเช่นนี้แล้วจะดีแก่ระบอบประชาธิปไตยหรือ? เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเนปาลเวลานี้ น่าจะชี้ให้เห็นได้อยู่แล้ว
คนที่อยากเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ก็ต้องถามว่า ทำเช่นนี้แล้วจะดีแก่สถาบันพระมหากษัตริย์หรือ? เพราะยิ่งอยู่เหนือขึ้นไปมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องอิงอาศัยฐานความชอบธรรมที่สังคมยอมรับมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าไม่อาศัยแต่กฎหมายเป็นมาตรฐานเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าฝ่ายกระทำ หรือฝ่ายที่ชิงความได้เปรียบทางการเมืองจากการกระทำนั้น ล้วนทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมทั้งสิ้น ผิดแน่ๆ แต่ไม่ใช่ผิดกฎหมาย หากผิดความชอบธรรมทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแน่นอน
(ขอนอกเรื่องตรงนี้ด้วยว่า ผมไม่ได้ใช้ราชาศัพท์ผิด เพราะพระมหากษัตริย์ในที่นี้หมายถึงสถาบัน ไม่ใช่องค์พระมหากษัตริย์ จึงไม่ต้อง "ทรง" เป็น ส่วนประมุขนั้นหมายถึงประมุขของประเทศไทยซึ่งไม่ใช่เจ้า จึงไม่ควรใช้ "พระ" ประมุข… นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ทางภาษาตามวิธีคิดในโลกของนักกฎหมาย ทั้งๆ ที่ภาษาทุกภาษาในโลกย่อมเป็นไปตามปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่างนอกจากกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์และหลักภาษา)
นี่แหละครับ ผมถึงนึกว่าโชคดีที่ไม่ได้เรียนกฎหมาย ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงยังไม่จบปริญญาตรี
REF : http://www.combiolaw.de/article/75/ 05/07/2010
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น