การเมืองกับความเสี่ยงอัน- ตราย ท่ามกลางทิศทางมุ่งสู่ปรองดอง-ปฏิรูป
โดย สุริชัย หวันแก้ว
สังคมเสี่ยงภัย
ข้อจำกัดของภาคการเมือง
รัฐและความจำเป็นของบทบาทภาคสังคม
ในโลกที่มีความไม่แน่นอนในปัจจุบัน การบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นหลักการที่ทางวิชาการและธุรกิจยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะถือกันว่าบทบาทหน้าที่ในการกำกับดูแลและการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ควรจะเป็นเรื่องของภาครัฐ ภาคราชการและภาคธุรกิจ
อย่างไรก็ดี ในระยะถัดมาได้เกิดความตระหนักมากขึ้นในระดับวงการนโยบายการพัฒนาระหว่างประเทศและเวทีสหประชาชาติว่า การมอบบทบาทให้แก่รัฐเป็นผู้กำกับดูแลแต่ฝ่ายเดียวนั้นมีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข จึงจำเป็นจะต้องกระจายให้บทบาทการกำกับดูแลโดยภาคธุรกิจเอกชนและโดยเฉพาะบรรษัทข้ามชาติด้วย
ต่อมาในระยะหลังมานี้ได้เกิดความสนใจและใส่ใจต่อการพัฒนา กลไกกำกับดูแลแบบภาคีเอกชน-สาธารณะและภาคชุมชนกันมากขึ้น
ท่ามกลางภาวะความรุนแรงทางการเมืองในกรุงเทพฯในช่วงเมษายน-พฤษภาคม 53 นั้น ปรากฏว่า ภาครัฐและกลไกรัฐตกอยู่ในสภาพที่ขาดสมรรถนะเพียงพอที่จะปกป้องความรุนแรงที่มาในรูปแบบต่างๆ แก่ชุมชนได้
สภาพการณ์ดังกล่าวทำให้สังคมและชุมชนทุกหน่วย โดยเฉพาะในเมืองต้องดิ้นรนบริหารความเสี่ยงและจัดการชีวิตตนให้มั่นคงปลอดภัยเท่าที่จะทำได้
ชุมชนและประชาชนที่มีประสบการณ์โดยตรงจึงรู้สึก และเกิดความตระหนักรู้ว่า เราต้องร่วมชะตากรรมอันเดียวกัน เราจึงกล่าวได้ว่าวิกฤตได้เป็นโอกาสและเงื่อนไขแก่การเกิดขึ้นของสำนึกในการกำกับดูแลความเสี่ยงอันตรายโดยชุมชนและสังคม
เมื่อประชาชนตัวเล็กตัวน้อย
ตกเป็น "อาชญากร"
จริงอยู่ประเทศไทยมองข้ามปัญหาโลกร้อนอีกต่อไปไม่ได้ แต่เหตุใดเล่าในประเด็นคดีผู้ก่อความเสียหายให้โลกร้อนนั้น
(ก) ทางราชการจึงเลือกภาคเกษตรกรรมก่อนภาคอุตสาหกรรม เช่น ฝ่ายโรงงานที่ก่อปัญหาที่มาบตาพุด
และ (ข) เหตุใดจึงเลือกฟ้องเกษตรกรชาวไร่ตัวเล็กตัวน้อย เช่นที่พัทลุงและเพชรบูรณ์ ว่าเป็นผู้ก่อความเสียหายทั้งๆ ที่ปัญหาความเสียหายจากภาคอุตสาหกรรมมีมานานกว่าและขนาดใหญ่โตกว่า
1.ฐานะและบทบาทของภาคเกษตรกรรม และเกษตรกรรายย่อยเมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรมในโลกทรรศน์ของการพัฒนาของชนชั้นนำ หรือเกษตรยั่งยืน เทียบกับอุตสาหกรรมนิยม
2.พละกำลังของคู่กรณี เกษตรกรไม่มีทางสู้จึงหมิ่นเหม่ต่อการผลักให้เป็น "อาชญากร" โดยง่าย? (Victimization of the poor)
3.ความอ่อนแอทางวิชาการด้านนิเวศวิทยาการเกษตรและสังคมวิทยาชนบท เมื่อเทียบกับบางสาขาที่เป็นฐานการสนับสนุนแก่การฟ้องร้องเอาผิดต่อชาวบ้าน
เมื่อนักเรียน/เยาวชน
ตกเป็นเหยื่อของกระแสอารมณ์
และขบวนการหาคนผิดมาลงโทษ
1.การเกิดกรณี "น้องก้านธูป" และการเอ็นท์มหาวิทยาลัยศิลปากรไม่ได้กับกระแสขบวนการล่าแม่มดที่เติบโตรวดเร็วผ่านสื่อสมัยใหม่
2.การเผาโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์กับกระแสการตัดสินที่พุ่งเป้าตรงไปที่ตัวเด็ก
3.ปัญหาสิทธิเด็กและความเป็นธรรม : ความรุนแรงทางสังคมและวัฒนธรรมที่ขยายตัวด้วยสื่อใหม่ในสถานศึกษาและในสังคม
4.สถานศึกษาถูกรุกจากกระแสตัดสินความผิดสำเร็จรูป : ท่าทีของผู้ใหญ่ในสถาบันและเพื่อนฝูง
5.บทบาทของสื่อและสาธารณะ จริงอยู่ความคิดและพฤติกรรมของเด็กอาจมีปัญหาอยู่บ้าง แต่เหตุใดความสนใจจึงพุ่งเป้าไปแต่ที่ตัวเด็ก และขยายภาพความผิดจนเปิดทางแก่การแสดงอารมณ์อย่างรุนแรงเช่นนี้
6.ท่าทีของฝ่ายนโยบาย : การเพิกเฉยต่อความรุนแรงทางสังคม/วัฒนธรรมที่พุ่งเป้าไปที่เด็กตัวเล็กตัวน้อย และพลเมืองคนเล็กคนน้อย
กระแสปรองดองและการปฏิรูปสังคมการเมือง
มีความตื่นตัวต่อกระแสปฏิรูปกันมาก แม้แต่ฝ่ายที่คัดค้าน เช่น พธม. คนที่ไม่เห็นด้วยกับกระแสปรองดอง เพราะเห็นว่าไม่มีสาระมีแต่การเมือง (ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์) ก็ยังเห็นความสำคัญของการปฏิรูปด้านต่างๆ ที่สำคัญ
แต่คำถามที่สำคัญน่าจะได้แก่
1) พลังปฏิรูปสังคมการเมืองจะอยู่ที่ใด
2) แต่ปฏิรูปจะนำโดยใคร พรรคการเมืองหรือ ถึงแม้จะเห็นด้วยบ้างก็ตามทีแต่ฝ่ายการเมืองปัจจุบันจะมีความชอบธรรมและอยู่ยืนยาวเพียงไรกัน
3) อาศัยความรู้ของใคร
กระแสการปฏิรูปจึงมิควรปล่อยให้เป็นความพยายามของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะเท่าที่ผ่านมาก็อาจกลับมาสู่วังวนเดิม คือ ปรองดองของใคร เพื่อใคร โดยใคร ทำให้การปฏิรูปกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่อุบัติขึ้นใหม่ในสังคม
ดังนั้น การปฏิรูปที่มีพลังและความชอบธรรมจึงน่าจะต้อง
1.นำโดยเจ้าทุกข์ ประชาชนเจ้าของปัญหา เป็นผู้ขับเคลื่อนการปฏิรูปได้เหมาะสมกว่า และ
2.ขับเคลื่อนนำโดยภาคสังคมและชุมชนและสนับสนุนโดยเครือข่ายวิชาการ
3.เป็นขบวนการที่เป็นอิสระจากการเมืองแต่มีการปฏิสัมพันธ์กับวงการการเมือง และวงการราชการการพัฒนาที่ต้องการปฏิรูปตัวเองไปด้วย
บทบาทรัฐบาลภายหลังจัดตั้งกรรมการต่างๆ ตามโรดแมป
1) ยังขาดความจริงจังในการสร้างบรรยากาศความปรองดองเพื่อเอื้ออำนวยแก่การระดมความร่วมมือเพื่ออนาคตร่วมกัน ปัญหาคือยังไม่ลดเงื่อนไขเชิงลบและเพิ่มเงื่อนไขเชิงบวกเท่าที่ควร
- พึงปฏิรูปตัวเองและวิธีทำงานเพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้ตรงประเด็นและมีประสิทธิภาพ
- เร่งสร้างความเข้าใจ มากกว่าที่จะหาความชอบธรรมให้กับตนเองเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม "ลดละ" วิวาทะแบบโต้วาที แต่รับฟังและดำเนินการแก้ไข
- เน้นการมองเชิงโครงสร้าง มากกว่าแก้ไขสถานการณ์แบบผ่านไปวันๆ เพราะปัญหานั้นมีความซ้อนทับกัน และมิอาจใช้การแก้ปัญหาโดยการแก้ไขแบบมิติเดียวได้
- ปฏิรูประบบราชการตามกลุ่มปัญหา แทนที่จะปฏิรูปราชการเพียงตอบสนองตัวชี้วัดที่ไม่ข้องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาประชาชนหรือปล่อยให้ตามใจเสนาบดีเจ้ากระทรวง
- การมองที่พยายามตีขลุมโดยผลักคู่ตรงข้ามให้กลายเป็น "ผู้ก่อการร้าย" หรือ "คนผิด" จนทำให้ความสัมพันธ์ที่จะเชื่อมต่อ "ขาดสะบั้น"
- ขาดความตระหนักถึงผลร้ายจากการพึ่งพาเครื่องมือด้านความมั่นคงในรูปของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีต่อบรรยากาศการเมืองและโดยเฉพาะการพึ่งพากลไกราชการรวมศูนย์ให้จัดระเบียบการเมืองอย่างเคร่งครัดแต่คับแคบ ทำให้กระทบต่อสิทธิเสรีภาพในระดับท้องถิ่นอย่างมาก
2) ยังคิดแยกส่วนมากกว่าคิดเชิงบูรณาการจึงขาดความพยายามเชื่อมโยงกับทุนเดิม (กฎเหล็ก 9 ข้อ, การแก้ปัญหาทรัพยากร ฯลฯ) หรือ เชื่อมโยงกับ "ทุนเดิม" ของการบริหารราชการที่ผ่านมา เช่น คณะกรรมการติดตามแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน
3) ยังขาดการทบทวนนโยบายและทิศทางการพัฒนาที่สวนทางกับกระแสปฏิรูปที่ยึดเอาปัญหาของประชาชนระดับล่าง และสิทธิมนุษยชนเป็นหนทางนำ
4) ดังนั้นในทิศทางนโยบายจึงปล่อยให้ท่าทีของฝ่ายการเมืองขาดการประสานและขาดเอกภาพในการกำกับกระทรวงกรม กล่าวคือ เพิกเฉยใส่เกียร์ว่างต่อกระแสเรียกหาการปรองดองและปฏิรูป
5) ยังเป็นกระแสปรองดองที่เน้นระดับบนลงล่าง (topdown) อยู่มาก และให้ความสำคัญแก่ศูนย์กลางกรุงเทพฯ โดยขาดการดำเนินงานให้ภาคการเมืองและราชการมีบทบาทเชิงบวกในการเอื้ออำนวยต่อกระบวนการที่สร้างบรรยากาศปรองดองเกิดขึ้นในภาคส่วนสังคมทั่วทุกพื้นที่
6) ยังขาดการใส่ใจต่อผลกระทบในรูปแบบใหม่ๆ ที่มิได้ปรากฏเป็นเรื่องการเมืองที่โดดเด่นชัดแจ้งโดยเฉพาะกระแสความรุนแรงทางวัฒนธรรมและกระแสผลักให้เด็กหรือคนตัวเล็กตัวน้อยกลายเป็นผู้กระทำความผิด/อาชญากร
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1279008027&catid=02 16/07/2010
วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:57:11 น. มติชนออนไลน์
วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เสื้อเหลืองเป็นใครและออกมาทำไม
เสื้อเหลืองเป็นใครและออกมาทำไม
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
คนเสื้อเหลืองคือใคร? ตอบได้ยากมาก แต่จากข้อมูลที่มีอยู่น้อย ทั้งอาจารย์อภิชาต สถิตนิรามัย และอาจารย์อเนก เหล่าธรรมทัศน์ พบตรงกันว่า โดยเฉลี่ย พวกเขามีรายได้สูงกว่าคนเสื้อแดง เช่น คนเสื้อเหลืองอยู่ในระบบประกันสังคมจำนวนมากกว่า แปลว่าพวกเขาทำงาน "ในระบบ" เช่นถึงเป็นแรงงาน ก็เป็นแรงงาน "ในระบบ" ในขณะที่คนเสื้อแดงอาจเป็นแรงงาน "นอกระบบ" เช่น ลูกจ้างรายวัน เป็นต้น
ผมขอตีขลุมรวมๆ ว่า คนเสื้อเหลืองเป็นคนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป แม้จะรู้ดีว่าทั้งเสื้อเหลืองและแดง ล้วนมีคนหลากหลายประเภทปะปนกันทั้งสิ้น แต่เมื่อพูดโดยเฉลี่ยแล้ว คนเสื้อเหลืองคือคนชั้นกลางระดับกลาง (ขึ้นไป)
นอกจากนี้ เราไม่อาจเอาแกนนำเป็นตัวแทนของผู้ชุมนุมได้ ทั้งเหลืองและแดง การที่มีคนจำนวนมากเช่นนี้ออกมาชุมนุมกันเป็นเดือนๆ ต้องมีปัจจัยในทางสังคมผลักดันอยู่เบื้องหลัง มากกว่าวาทะของแกนนำบนเวที เราจะเข้าใจการเคลื่อนไหวทางการเมืองของสองสีนี้ได้ ก็ต้องเข้าใจปัจจัยทางสังคมที่อยู่เบื้องหลัง ยิ่งกว่านี้ แม้แต่พยายามล้วงลึกลงไปที่อ้ายโม่งซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ก็ยังอธิบายไม่ได้อยู่ดี แกนนำและอ้ายโม่งมีพลังก็จริง แต่ไม่มีวันที่ใครจะมีพลังถึงกับดึงคนจำนวนมากไปเสี่ยงตายกลางถนนได้มากขนาดนี้ หากไม่มีปัจจัยทางสังคมเอื้อให้ผู้คนสวมเสื้อสีออกไป
เหตุใดคนเสื้อเหลืองจึงออกมา "เย้วๆ" (หากใช้ศัพท์เดียวกับที่บางคนใช้ในการบรรยายการกระทำของเสื้อแดง) บนถนน? นี่เป็นคำถามที่จะยิ่งตอบยากกว่าคำถามแรก แต่ผมพยายามตอบ แม้จะอย่างผิดๆ ถูกๆ อย่างไรก็ตาม เพราะผมเชื่อว่าคำถามนี้มีความสำคัญ และสักวันหนึ่งก็คงมีคนที่เก่งกว่าผมและขยันกว่าผมจะตอบได้ดีกว่านี้
แม้คนเสื้อเหลืองมีรายได้สูงกว่าคนเสื้อแดง และมโนภาพที่เรามีต่อเขาก็คือเขา (โดยเฉลี่ย) ไม่ใช่คนจน แต่ผมยังคิดว่า ควรเริ่มต้นด้วยการมองหาปัจจัยทางเศรษฐกิจก่อนว่า เกิดอะไรขึ้นในเศรษฐกิจไทยในช่วงประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา จึงทำให้คนชั้นกลางระดับกลางรู้สึกตัวว่าเดือดร้อนทางการเมือง มากพอที่จะออกมาประท้วงในท้องถนน
ผมต้องสารภาพว่า ผมหาตัวเลขทางเศรษฐกิจที่อธิบายเรื่องนี้ตรงๆ ไม่ได้ แต่ด้วยความกรุณาของคุณบรรยง พงษ์พานิช ซึ่งได้ส่งส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยของท่านมาให้ผมดู ในขณะเดียวกัน ด้วยความกรุณาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้เชิญผมเข้าร่วมสัมมนาเรื่อง "การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อความเป็นธรรมในสังคม" ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมจึงได้รับเอกสารที่ใช้ในการคลำหาคำตอบของผมเองได้
แต่ตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้ ผู้ทำวิจัยไม่ได้เก็บรวบรวมเพื่อตอบปัญหาของผม จึงจำเป็นที่ผมต้องอ่านเอาเองทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนเศรษฐศาสตร์เลย ผมจึงไม่รับรองว่าที่ผมอ่านนั้นถูกต้อง ถึงผมจะอ้างใคร คนที่ถูกอ้างก็ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะผมเองต่างหาก ที่ยัดความหมายลงไปในกราฟนานาชนิดที่เขาแสดงเพื่อพูดเรื่องอื่น
ต่อไปนี้คือปัจจัยทางเศรษฐกิจบางอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะอธิบายพฤติกรรมของคนเสื้อเหลืองได้
เมื่อพูดถึงความเหลื่อมล้ำ เราอาจหาตัวเลขทางเศรษฐกิจเพื่ออธิบายให้เห็นชะตากรรมของคนเสื้อแดงได้มาก แต่จะอธิบายชะตากรรมของคนเสื้อเหลืองด้วยความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร
ต้องเข้าใจก่อนว่า ความเหลื่อมล้ำไม่ได้แปลว่าความยากจน ความเหลื่อมล้ำคือไม่เท่ากัน หรือให้ชัดกว่านั้นคือไม่เท่ากันในระดับที่คนรู้สึกว่ายอมรับได้ (ที่ไหนๆ คนก็ไม่เท่ากันทั้งนั้น แต่จะไม่เท่าแค่ไหน คนที่มีน้อยได้น้อยกว่าจึงจะยอมรับได้ นี่ต่างหากคือปัญหาของความเหลื่อมล้ำ ไม่เกี่ยวกับความยากดีมีจน)
ก.คุณบรรยง ชี้ให้เห็นว่าในช่วงประมาณ 1 ทศวรรษกว่าๆ ที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากค่าจ้างแรงงาน (รวมเงินเดือนที่คนชั้นกลางระดับกลางได้รับด้วย) ซึ่งอาจมีขึ้นมีลงตามแต่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากทุนแล้ว จะเห็นว่าห่างกันมากขึ้น แปลออกมาเป็นภาษาธรรมดาก็คือ คนที่ทำงานรับเงินเดือนบริษัทอยู่ มองเห็นผลกำไรของบริษัทสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเดือนของตนไม่ได้ขยับขึ้นในอัตราที่เร็วเท่ากับผลกำไร
ข.คุณบรรยงอีกเหมือนกันที่ชี้ว่า ผลตอบแทนจากค่าเช่าและอื่นๆ ลดลงในวิกฤตครั้งแรกอย่างฮวบฮาบ แล้วก็ไม่กระเตื้องขึ้นจนถึง 2547 ก็เริ่มเงยหัวขึ้นมาบ้าง แต่หากเปรียบเทียบกับรายได้จากการประกอบการของธุรกิจ (ดูจากภาษี) ลดลงในวิกฤตครั้งแรกเหมือนกัน แต่ก็สูงขึ้นกว่าเดิมมาเรื่อยๆ จนสูงกว่าเก่า ฉะนั้นโดยเปรียบเทียบแล้ว ผลตอบแทนจากค่าเช่ามีแต่จะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับการประกอบการด้วยทุน (จากที่ "ค่าเช่า" เคยอยู่สูงสุดในปี 2541 เป็นกว่า 24% ของรายได้ประชาชาติที่ไม่ได้มาจากค่าจ้าง เหลือเพียงประมาณ 7% ในปี 2546)
ผมเข้าใจว่า รายได้ของคนชั้นกลางระดับกลางจำนวนหนึ่งก็มาจาก "ค่าเช่า" (นับตั้งแต่ที่ดิน, เครื่องจักร, เครื่องมือการเกษตร, นายหน้าแรงงาน, ฯลฯ) คนเหล่านี้ "โดนหยิก" จากการที่รายได้ของตนลดลง และแน่นอนย่อมรู้สึกในความเหลื่อมล้ำมาก
ค.แม้มีการขยายตัวของการจ้างงานในภาคหัตถอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง แต่ค่าจ้างในภาคหัตถอุตสาหกรรมก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จนมาถึงระดับต่ำสุดในปี 2550 เหตุผลก็พอเดาได้ นั่นคือมีคนหลั่งไหลจากภาคอื่นๆ เข้ามาสู่ภาคการผลิตนี้จำนวนมาก รายได้ของแรงงานลดลงนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่าแรงงานฝีมือนับตั้งแต่เสมียนขึ้นไปถึงฟอร์แมนและคนงานระดับกลางเองก็ลดลงไปด้วย (อยากได้ ปวส. หรือปริญญาตรีหรือ มีให้เลือกถมถืดไป) ฉะนั้น จึงมีคนชั้นกลางระดับกลางจำนวนหนึ่งที่รู้สึกเจ็บปวดกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้
ง.คุณเดือนเด่น นิคมบริรักษ์และคุณศิริกาญจน์ เลิศอำไพนนท์ แห่ง TDRI แสดงให้เห็นว่า มีการกระจุกตัวของรายได้ภาคธุรกิจในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ในปี 2553 ธุรกิจ 20% ระดับบนสุด มีรายได้ 81.02% ของรายได้จากภาคธุรกิจทั้งหมด ส่วนธุรกิจขนาดกลางซึ่งรวมกันเป็น 60% ของธุรกิจไทย มีรายได้เพียง 18.05% ของรายได้ภาคธุรกิจ ครั้นถึงพ.ศ.2551 ธุรกิจ 20% ข้างบนมีรายได้ถึง 86.28% ในขณะที่ระดับกลาง 60% มีรายได้ลดลงเหลือเพียง 13.19% เท่านั้น
นี่คือเหตุผลที่เจ้าของร้านโชห่วยและผู้ส่งออกรองเท้าแตะไปยังรัสเซีย ได้มาสวมเสื้อเหลืองนั่งประท้วงร่วมกับพนักงานคอมพิวเตอร์และเซลส์ของบริษัทน้ำมัน
จ.อาจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร แห่ง TDRI เช่นกัน ชี้ให้เห็นว่า นโยบายแทรกแซงราคาพืชผลการเกษตรของรัฐบาลทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการพยุงราคา, การแบ่งโซนนมโรงเรียน, การอุดหนุนให้ขยายพื้นที่ผลิตสินค้าบางตัว เช่น ยาง, ฯลฯ ล้วนทำให้รัฐขาดทุนหลายหมื่นล้านบาทต่อปี เพราะเป็นนโยบายที่อาจสรุปสั้นๆ ได้ว่า รัฐยอมซื้อแพงขายถูก แม้ว่าเกษตรกรจะได้รับผลดีจากนโยบายเหล่านี้อยู่บ้าง (แต่น้อยกว่าพ่อค้าและนักการเมือง) แต่ผู้บริโภคกลับต้องจ่ายในราคาแพงขึ้น (ไม่นับต้องเสียเงินภาษีไปโดยไม่คุ้ม)
นี่ก็เป็นเรื่องที่คนชั้นกลางระดับกลางซึ่งเป็นผู้บริโภคสินค้าเกษตรอยู่ในเขตเมือง "โดนหยิก" โดยตรง
สืบเนื่องกับเรื่องนี้ ยังมีปัญหาที่น่าสนใจด้วยว่า ภายใต้รัฐบาลทักษิณ (โดยเฉพาะนับตั้งแต่ครึ่งหลังของสมัยแรกเป็นต้นมา) คนชั้นกลางระดับกลางในเมืองรู้สึกว่าตัวถูกเอาเปรียบหรือไม่?
ผมตอบไม่ได้ แต่มีข้อสังเกตว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ถูกโจมตีด้วยเรื่องที่น่าหวั่นไหวต่อคนชั้นกลางระดับกลาง เช่น การแทรกแซงสื่อ เพราะสื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของคนชั้นกลางระดับกลาง การแทรกแซงองค์กรอิสระก็เช่นเดียวกัน ราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทคุณทักษิณซึ่งถีบตัวขึ้นสูงกว่าคนอื่นมาก กระทบความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นซึ่งมีความสำคัญแก่คนชั้นกลางระดับกลาง ในทางตรงกันข้าม นโยบายที่เรียกว่า "ประชานิยม" ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนชั้นกลางระดับกลางโดยตรงมากนัก ถึงแม้จะใช้บริการ 30 บาทมากพอสมควร แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากกองทุนหมู่บ้าน, แปลงสินทรัพย์เป็นทุน, หรือธนาคารเอสเอ็มอี ฯลฯ มากนัก
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า เราไม่สามารถใช้เศรษฐกิจอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ได้ทั้งหมด อย่างไรเสียเราก็ต้องมองลงไปที่ความเป็นมนุษย์ของเขาด้วย และตรงนี้แหละครับที่ยากและเถียงกันได้มาก เพราะมนุษย์คืออะไรนั้นนิยามไม่ตรงกัน
มีเหตุในทางเศรษฐกิจหลายอย่างดังที่กล่าวแล้ว ซึ่งทำให้คนชั้นกลางระดับกลางรู้สึกเจ็บ เจ็บที่ต้องสูญเสียความมั่นคงในชีวิต ไม่เฉพาะแต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจนะครับ แต่ต้องรวมถึงความมั่นคงที่คุ้นเคยกันมาด้วย (ซึ่งจะพูดถึงข้างหน้า) นอกจากนี้ ในท่ามกลางสถานภาพทางรายได้ของตัวที่ตนรู้สึกว่าตกต่ำลง สังคมไทยดูจะกลายเป็นสังคมฟูมฟายมากขึ้น (affluent society) จึงเท่ากับกีดกันตนให้ออกไปจากความฟู่ฟ่าหรูหราที่ดูจะไม่มีวันเข้าถึง
ทั้งหมดนี้คือ "ความเหลื่อมล้ำ" อย่างหนึ่ง แต่อธิบายด้วยความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่พอ จำเป็นที่จะต้องนำเอาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจนี้ เข้าไปให้ความหมายแก่ชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง และผมขอเรียกอย่างกว้างๆ ว่าความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม
ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรมนี่แหละ ที่ผมคิดว่าอธิบายพฤติกรรมทางการเมืองของเสื้อเหลืองได้ดีกว่าเศรษฐกิจ แม้ว่าเราจำเป็นต้องดำรงรักษาเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่กล่าวข้างต้นนั้นไว้ที่ข้างหลังหัวเราตลอดเวลาก็ตาม
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมพยายามจะตอบคำถามว่า คนชั้นกลางระดับกลางออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในท้องถนนทำไม
นอกจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจแล้ว ผมได้ทิ้งท้ายว่าที่สำคัญกว่านั้นคือ ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม
ซึ่งผมขออนุญาตนำมาขยายความในสัปดาห์นี้
ก. ในสังคมฟูมฟาย สินค้าที่ "ดีกว่า" หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทีวีจอแอลซีดีซึ่งเพิ่งกัดฟันซื้อไปเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ยังผ่อนไม่ทันหมดดี ก็มีจอแอลอีดีเข้ามาวางขายในตลาด ว่ากันว่าชัดกว่า, สว่างกว่า และกินไฟน้อยกว่าเสียด้วย รถยนต์วีออสและซิตี้รุ่นใหม่นั้น สวยจับตากว่ารุ่นเก่าอย่างเทียบกันไม่ได้ ซ้ำยังมี "ลูกเล่น" ต่างๆ เพิ่มเข้าไปอีก เห็นอยู่เต็มถนนเสียด้วย คิดไปเถิดครับ มีสินค้าใหม่ที่ล่อตาล่อใจปรากฏให้อยากได้ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะชีวิตก็วนเวียนอยู่กับการครอบครองวัตถุ เป็นสัญลักษณ์แห่งตัวตนตลอดมา จะให้ไม่รู้สึกรู้สากับความเหลื่อมล้ำที่เห็นคาตาอยู่ได้อย่างไร
นักเศรษฐศาสตร์บางคนอธิบายว่า ตัณหาที่เผาผลาญมนุษย์อยู่นั้นมีประโยชน์ เพราะย่อมผลักดันให้ผู้ถูกเผาเร่งผลิตเพื่อหากำไรมาดับไฟตัณหาของตัว เศรษฐกิจโดยรวมย่อมเจริญขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้กับคนแต่ละคน โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน จะให้ขยันไปอีกแค่ไหน เพราะดังที่ได้กล่าวแล้วว่า รายได้ของคนประเภทนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วเท่ากับผลกำไรจากทุน ฉะนั้นจึงได้แต่มองสินค้าใหม่ ตัวตนใหม่ และชีวิตใหม่ในตลาดอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะรู้ว่าล้วนเป็นสิ่งที่ตนเข้าไม่ถึง
นี่คือเหตุผลที่คนจำนวนมากดึงเอา "เศรษฐกิจพอเพียง " มาเป็นคำตอบ ส่วนหนึ่งคงใช้เพื่อตอบตัณหาของตัวเอง แต่อีกมากทีเดียวใช้เพื่อตอบตัณหาของคนอื่น โดยเฉพาะของคนที่สามารถเข้าถึงสินค้าใหม่ที่ "ดีกว่า" เหล่านี้อย่างง่ายดาย พวกเขาน่าจะรู้จัก "พอเพียง" บ้าง แต่คนที่ไม่รู้จักพอเพียงก็นั่งอยู่ข้างๆ ตัวในการชุมนุมนั่นเอง พวกเขาจึงเห็นด้วยกับแกนนำว่า หัวโจกของคนที่ไม่รู้จักพอเพียงคือ นักการเมืองผู้ชั่วช้าซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งควรถืออำนาจได้ไม่เกิน 30%
นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งไม่ต้องรู้จักความพอเพียง ก็เพราะรายได้ของเขามาจากการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง แม้คนชั้นกลางระดับกลางเคยชินกับการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง เพราะในชีวิตจริงก็จ่ายเงินให้ตำรวจจราจรเป็นปกติ แต่การฉ้อราษฎร์บังหลวงของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง สร้างความเจ็บปวดให้มากกว่า เพราะรายได้อันชอบธรรมของเขาก็มากเกินกว่าที่คนชั้นกลางระดับกลางจะสามารถหามาได้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่ของเสื้อเหลืองอยู่ "ในระบบ" จึงเป็นผู้เสียภาษีทางตรง จึงยิ่งรู้สึกเจ็บกว่าความเป็นพลเมืองธรรมดา
ข. ความมั่นคงของชีวิตคนชั้นกลางระดับกลางในเมืองไทยนั้นลดลง ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของลูกหลานแพงขึ้น, ค่ารักษาพยาบาลก็แพงขึ้น ไม่ว่าในโรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชน, การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบยากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
อย่างไรก็ตาม มีความโน้มเอียงในประเทศไทยที่เริ่มจะใช้หลักประกันสังคมบางส่วน (โดยคิดถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้น้อยเกินไป ฉะนั้น คนชั้นกลางระดับกลางจึงไม่ได้จ่ายภาษีเพิ่มขึ้น) เช่นรัฐธรรมนูญ 2540 ให้หลักประกันว่าเด็กทุกคนจะได้เรียนหนังสือถึง 12 ปี หรือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรค ทรท.
แต่เพราะไม่ได้คิดจากหลักการประกันสังคมจริง ในทางปฏิบัติจึงมุ่งไปสู่การหาเสียงและเน้นที่ "คนจน" มากกว่ากระจายให้แก่คนทุกชั้นอย่างทั่วถึง ความมั่นคงของชีวิตที่คนชั้นกลางระดับกลางได้รับจากรัฐจึงมีลักษณะสุกๆ ดิบๆ เช่นการเข้ารับบริการโครงการ 30 บาท ย่อมหมายถึงการได้รับการปฏิบัติเหมือนกับคนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ "ต่ำ" กว่า เกิดความไม่แน่ใจใน "มาตรฐาน" ของการรักษาพยาบาล เช่นเดียวกับการเรียนฟรี 12 ปี (โดยปราศจากการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนให้ใกล้เคียงกัน) ทำให้บุตรหลานของคนชั้นกลางระดับกลาง ต้องเผชิญการแข่งขันมากขึ้น ซ้ำชั้นเรียนของบุตรหลานยังเคล้าคละปะปนระหว่างคนต่างสถานภาพมากขึ้นด้วย (สถาบันการศึกษาของไทยจะทำหน้าที่กรองคนใน "ชั้น" ต่างๆ ขึ้นไปตามลำดับ ยิ่งเรียนสูง เพื่อนร่วมชั้นก็จะอยู่ในสถานภาพที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น) คนชั้นกลางระดับกลางส่วนหนึ่ง นำบุตรหลานหนีจากระบบเข้าสู่โรงเรียนราษฎร์ หรือโปรแกรมพิเศษของโรงเรียนหลวง แต่คนชั้นกลางระดับกลางจำนวนมาก ไม่มีสมรรถนะที่จะทำอย่างนั้นได้ จึงได้แต่วิตกห่วงใยต่ออนาคตทางการศึกษาของบุตรหลาน
ขึ้นชื่อว่าคนชั้นกลาง เส้นทางของการไต่เต้าทางสังคมที่ใหญ่สุดคือ การศึกษา แต่ความมั่นคงทางการศึกษาที่รัฐจัดให้กลับทำให้เส้นทางนี้แคบลงแก่คนชั้นกลางระดับกลาง
ค. แม้ว่าความเสมอภาคเป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่คนชั้นกลางระดับกลางพูดถึงมานาน แต่ในชีวิตจริงของคนชั้นกลางระดับกลางไทย ความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งที่เห็นได้ถนัด เมื่อมองขึ้นไปข้างบน ความเสมอภาคที่เรียกร้องจึงเป็นความเสมอภาคที่อยากเท่าเทียมกับคนชั้นกลางระดับเจ้าสัวและคุณหญิงคุณนาย แต่ความเสมอภาคที่รัฐนำมาให้ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เป็นความเสมอภาคที่ป้อนให้แก่คนชั้นกลางระดับล่าง มีคนแปลกหน้าที่เผยอหน้าขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งดูเหมือนคุกคามความมั่นคงในชีวิตมากยิ่งกว่าเจ้าสัวและคุณหญิงคุณนายเสียอีก
ดังนั้น หลักการความเสมอภาคจึงรับไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งแปลกปลอมใน "ความเป็นไทย" ไม่น่าอับอายอย่างไรที่จะปฏิเสธความเสมอภาคอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย สิ่งที่เรียกร้องกันอย่างอึงมี่คือ "ระเบียบ" ในระยะแรกต่อต้านความไร้ "ระเบียบ" ซึ่งรัฐบาลอันเขาคุมไม่ได้นำมา และในระยะหลังต่อต้านความไร้ "ระเบียบ" ที่การชุมนุมของเสื้อแดงนำมา "ระเบียบ" ที่คนชั้นกลางระดับกลางเรียกร้องหา คือลำดับแห่งช่วงชั้นทางสังคมนั่นเอง นี่คือเหตุผลที่ยินดีจะผูกพันการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะสถาบันนี้ถูกคนชั้นกลางระดับกลางยึดถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสังคมที่มีช่วงชั้น
และนี่คือเหตุผลที่หลงใหลได้ปลื้มกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักเรียนออกซ์ฟอร์ด ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ใช้ภาษาทั้งไทยและอังกฤษได้อย่างสละสลวย (eloquent), มีกำเนิดในตระกูล "ผู้ดี" และมีชีวิตส่วนตัวที่ไม่มีที่ติในระบบค่านิยมของคนชั้นกลางระดับกลางแต่อย่างใด นับเป็นหมุดหมายสำคัญของความมั่นคงของ "ระเบียบ" ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตามสถานภาพช่วงชั้นทางสังคมในอุดมคติควรกำหนดให้เป็นไป
ง. ส่วนที่ใหญ่ไม่น้อยในความมั่นคงของชีวิตคนไทยมาจากเครือญาติ และเครือข่ายความสัมพันธ์ ทั้งสองอย่างนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วในชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง เพราะมีญาติและเพราะมีเพื่อนจึงทำให้มี "เส้น" แต่ "เส้น" ของญาติและของเพื่อนกำลังอ่อนแรงลง ทั้งเพราะไม่สามารถผูกความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นเหมือนเดิม และทั้งเพราะ "เส้น" จะทำงานได้ผลก็ต้องเสียเงิน "ซื้อ" มากขึ้น "เส้น" กำลังเปลี่ยนไปเป็น "ซื้อ" ใน"ชีวิตของเขา ในขณะที่กำลังจะ "ซื้อ" ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นให้ทันกับการสูญเสีย "เส้น" ชีวิตจึงอึดอัดขัดข้องมากขึ้นเพราะขาดความมั่นคงในชีวิต
ที่ถูกโจมตีว่า "ม็อบมีเส้น" นั่นแหละที่สอดคล้องกับสิ่งที่กำลังโหยหา ก็เพราะ "มีเส้น" นั่นล่ะสิ การชุมนุมจึงสะท้อนอุดมคติที่หลุดลอยไปแล้วได้อย่างดีที่สุด ที่ชุมนุมกลายเป็นความอบอุ่น, ความมั่นคงปลอดภัย อย่างที่หาไม่ได้ในชีวิตจริง
จ. ผมมีเพื่อนรุ่นพี่ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง ซึ่งขยันไปสังเกตการณ์การชุมนุมของเสื้อเหลืองเกือบทุกวัน ท่านเล่าให้ผมฟังว่า คนที่มาร่วมชุมนุมจับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มๆ ตัวท่านเองก็เข้าร่วมวงสนทนากับกลุ่มโน้นกลุ่มนี้อยู่เป็นประจำ ท่านพบว่าประเด็นของการสนทนาก็คือ ความโหยหา (nostalgia) ต่ออดีตที่ไม่มีวันหวนกลับมาแล้ว โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งเมื่อสรุปรวมแล้ว ก็คือความสัมพันธ์ที่มีที่ต่ำที่สูง หรือสังคมที่มีช่วงชั้น ฉะนั้นปัญหาของพวกเขาจึงเป็นปัญหาเช่นลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่, ศิษย์ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์, เงินเป็นใหญ่กว่าความสูงของสถานภาพ รวยเสียอย่างทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด แม้แต่ทุจริตคดโกงมาก็ไม่น่าอับอายแต่อย่างใด, ความโลภโมห์โทสันระบาดลงไปถึงชาวบ้านระดับล่าง จึงขายเสียงหรือสมัครเป็นบริวารของเจ้าพ่อผู้ทุจริตอื้อฉาว ฯลฯ
ทั้งหมดเหล่านี้สรุปรวมลงเป็นความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม วิธีแก้ไขมิให้สังคมตกต่ำไปกว่านี้ จึงไม่มีทางเดียวได้แก่สนับสนุนให้คนดีมีศีลธรรมได้เป็นใหญ่ และป้องกันมิให้คนเลวไร้ศีลธรรมเข้าสู่อำนาจ หากทำได้ก็จะฟื้นเอาสังคมที่มี "ระเบียบ" อย่างเก่ากลับคืนมาได้ นั่นคือกลับคืนสู่สังคมที่มีที่ต่ำที่สูง คนมีศีลธรรมซึ่งเป็นคนสูงก็จะกำกับควบคุมให้บ้านเมืองมีความสงบสุขเจริญรุ่งเรืองโดยอัตโนมัติ
จารีตนิยมกลายเป็นปราการสำหรับปกป้องตนเองจากความเปลี่ยนแปลงที่ตั้งรับไม่ทัน
ฉ. อย่างไรเสีย เราก็หลีกหนีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสังคมไปไม่พ้น แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นความเปลี่ยนแปลงที่คนชั้นกลางระดับกลางไม่พึงพอใจ (ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังที่กล่าวแล้ว) คนที่พยายามเสนอตัวเองเป็นหัวหอกของความเปลี่ยนแปลง คือคุณทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นทางเทคโนโลยี, การบริหาร, ไปจนถึงการจัดการรัฐกิจแบบซีอีโอ
อีกทั้งเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ที่ไม่เหลียวมองคนชั้นกลางระดับกลางสักเท่าไรด้วย ขอยกตัวอย่างจากนโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน คุณทักษิณอ้างว่าแม้สามารถสร้างเถ้าแก่น้อยได้เพียง 10% ของประชาชนทั้งหมด ก็ถือว่าน่าพอใจแล้ว
เถ้าแก่น้อยจะเกี่ยวข้องกับคนชั้นกลางระดับกลางอย่างไร ไม่ค่อยชัดนัก จะให้ขายบ้านขายรถเพื่อไปลงทุนทำธุรกิจแทนการรับเงินเดือน หากไม่ได้อยู่ใน 10% ที่ประสบความสำเร็จ จะมีโอกาสกลับเข้าสู่งานรับเงินเดือนได้อีกหรือไม่
จึงไม่แปลกอะไรที่คุณทักษิณจะเป็นเป้าโจมตีสำคัญของกลุ่มคนเสื้อเหลือง (แกนนำจะมีวาระซ่อนเร้นอะไรไม่เกี่ยว) แต่ชื่อนี้ชื่อเดียวเท่านั้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับใช้แทนความเปลี่ยนแปลงอันน่ารังเกียจทั้งหมดที่ถาโถมเข้าใส่ชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง ทักษิณจึงควรออกไป และไม่กลับมาอีกตลอดชั่วฟ้าดินสลาย
หลังจากพยายามหาคำตอบว่าคนชั้นกลางระดับกลางออกมาทำไมแล้ว ผมก็นึกถามตัวเองว่า สภาพหวนกลับไปสู่อดีตเพื่อหลบหนีอนาคตเช่นนี้จะอยู่กับคนชั้นกลางระดับกลางไปตลอดหรือไม่ ผมคิดว่าไม่ เพราะความเปลี่ยนแปลงที่มาจากข้างนอกสังคมไทยแรงเกินกว่าใครจะไปหยุดยั้งมันได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีทักษิณ ในที่สุดพวกเขาก็ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงแบบไม่หลบหนีจนได้ การศึกษาที่สูงของพวกเขาจะให้ความสามารถที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงได้หลายรูปแบบ และในที่สุดกลุ่มหนึ่งก็จะต้อนรับความเปลี่ยนแปลงนั้น แล้วก็ขยายไปยังคนกลุ่มอื่นๆ ในหมู่คนชั้นกลางระดับกลางมากขึ้น
แม้แต่อดีตที่เขาโหยหาอยู่ในเวลานี้ ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างน้อยก็ช่วยประคองจังหวะก้าวให้เป็นไปอย่างมีรากมีฐานได้ดีขึ้น ถึงจะต้องละทิ้งคุณค่าเก่าๆ ที่เป็นไปไม่ได้แล้วลงไปในที่สุด ก็รู้ว่าต้องทิ้งทำไม
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากย้ำก็คือ ทั้งคนชั้นกลางระดับล่างและคนชั้นกลางระดับกลาง เป็นพลังยิ่งใหญ่ในสังคมไทยปัจจุบัน แต่เนื่องจากระบบการเมือง, ระบบปกครอง, ระบบสังคมและวัฒนธรรม ทำให้ขาดการจัดองค์กรที่ดี ทั้งๆ ที่พลังนั้นพยายามจะเบ่งตัวเองออกมามีบทบาทในสังคม
ดังนั้น จึงง่ายที่คนชั้นกลางทั้งสองกลุ่มนี้จะตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ของคนที่จัดองค์กรเพื่อประโยชน์ทางการเมืองส่วนตนและเฉพาะหน้า
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278919534&catid=02 16/07/2010
วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 19:00:00 น. มติชนออนไลน์
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
คนเสื้อเหลืองคือใคร? ตอบได้ยากมาก แต่จากข้อมูลที่มีอยู่น้อย ทั้งอาจารย์อภิชาต สถิตนิรามัย และอาจารย์อเนก เหล่าธรรมทัศน์ พบตรงกันว่า โดยเฉลี่ย พวกเขามีรายได้สูงกว่าคนเสื้อแดง เช่น คนเสื้อเหลืองอยู่ในระบบประกันสังคมจำนวนมากกว่า แปลว่าพวกเขาทำงาน "ในระบบ" เช่นถึงเป็นแรงงาน ก็เป็นแรงงาน "ในระบบ" ในขณะที่คนเสื้อแดงอาจเป็นแรงงาน "นอกระบบ" เช่น ลูกจ้างรายวัน เป็นต้น
ผมขอตีขลุมรวมๆ ว่า คนเสื้อเหลืองเป็นคนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป แม้จะรู้ดีว่าทั้งเสื้อเหลืองและแดง ล้วนมีคนหลากหลายประเภทปะปนกันทั้งสิ้น แต่เมื่อพูดโดยเฉลี่ยแล้ว คนเสื้อเหลืองคือคนชั้นกลางระดับกลาง (ขึ้นไป)
นอกจากนี้ เราไม่อาจเอาแกนนำเป็นตัวแทนของผู้ชุมนุมได้ ทั้งเหลืองและแดง การที่มีคนจำนวนมากเช่นนี้ออกมาชุมนุมกันเป็นเดือนๆ ต้องมีปัจจัยในทางสังคมผลักดันอยู่เบื้องหลัง มากกว่าวาทะของแกนนำบนเวที เราจะเข้าใจการเคลื่อนไหวทางการเมืองของสองสีนี้ได้ ก็ต้องเข้าใจปัจจัยทางสังคมที่อยู่เบื้องหลัง ยิ่งกว่านี้ แม้แต่พยายามล้วงลึกลงไปที่อ้ายโม่งซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ก็ยังอธิบายไม่ได้อยู่ดี แกนนำและอ้ายโม่งมีพลังก็จริง แต่ไม่มีวันที่ใครจะมีพลังถึงกับดึงคนจำนวนมากไปเสี่ยงตายกลางถนนได้มากขนาดนี้ หากไม่มีปัจจัยทางสังคมเอื้อให้ผู้คนสวมเสื้อสีออกไป
เหตุใดคนเสื้อเหลืองจึงออกมา "เย้วๆ" (หากใช้ศัพท์เดียวกับที่บางคนใช้ในการบรรยายการกระทำของเสื้อแดง) บนถนน? นี่เป็นคำถามที่จะยิ่งตอบยากกว่าคำถามแรก แต่ผมพยายามตอบ แม้จะอย่างผิดๆ ถูกๆ อย่างไรก็ตาม เพราะผมเชื่อว่าคำถามนี้มีความสำคัญ และสักวันหนึ่งก็คงมีคนที่เก่งกว่าผมและขยันกว่าผมจะตอบได้ดีกว่านี้
แม้คนเสื้อเหลืองมีรายได้สูงกว่าคนเสื้อแดง และมโนภาพที่เรามีต่อเขาก็คือเขา (โดยเฉลี่ย) ไม่ใช่คนจน แต่ผมยังคิดว่า ควรเริ่มต้นด้วยการมองหาปัจจัยทางเศรษฐกิจก่อนว่า เกิดอะไรขึ้นในเศรษฐกิจไทยในช่วงประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา จึงทำให้คนชั้นกลางระดับกลางรู้สึกตัวว่าเดือดร้อนทางการเมือง มากพอที่จะออกมาประท้วงในท้องถนน
ผมต้องสารภาพว่า ผมหาตัวเลขทางเศรษฐกิจที่อธิบายเรื่องนี้ตรงๆ ไม่ได้ แต่ด้วยความกรุณาของคุณบรรยง พงษ์พานิช ซึ่งได้ส่งส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยของท่านมาให้ผมดู ในขณะเดียวกัน ด้วยความกรุณาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้เชิญผมเข้าร่วมสัมมนาเรื่อง "การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อความเป็นธรรมในสังคม" ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมจึงได้รับเอกสารที่ใช้ในการคลำหาคำตอบของผมเองได้
แต่ตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้ ผู้ทำวิจัยไม่ได้เก็บรวบรวมเพื่อตอบปัญหาของผม จึงจำเป็นที่ผมต้องอ่านเอาเองทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนเศรษฐศาสตร์เลย ผมจึงไม่รับรองว่าที่ผมอ่านนั้นถูกต้อง ถึงผมจะอ้างใคร คนที่ถูกอ้างก็ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะผมเองต่างหาก ที่ยัดความหมายลงไปในกราฟนานาชนิดที่เขาแสดงเพื่อพูดเรื่องอื่น
ต่อไปนี้คือปัจจัยทางเศรษฐกิจบางอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะอธิบายพฤติกรรมของคนเสื้อเหลืองได้
เมื่อพูดถึงความเหลื่อมล้ำ เราอาจหาตัวเลขทางเศรษฐกิจเพื่ออธิบายให้เห็นชะตากรรมของคนเสื้อแดงได้มาก แต่จะอธิบายชะตากรรมของคนเสื้อเหลืองด้วยความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร
ต้องเข้าใจก่อนว่า ความเหลื่อมล้ำไม่ได้แปลว่าความยากจน ความเหลื่อมล้ำคือไม่เท่ากัน หรือให้ชัดกว่านั้นคือไม่เท่ากันในระดับที่คนรู้สึกว่ายอมรับได้ (ที่ไหนๆ คนก็ไม่เท่ากันทั้งนั้น แต่จะไม่เท่าแค่ไหน คนที่มีน้อยได้น้อยกว่าจึงจะยอมรับได้ นี่ต่างหากคือปัญหาของความเหลื่อมล้ำ ไม่เกี่ยวกับความยากดีมีจน)
ก.คุณบรรยง ชี้ให้เห็นว่าในช่วงประมาณ 1 ทศวรรษกว่าๆ ที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากค่าจ้างแรงงาน (รวมเงินเดือนที่คนชั้นกลางระดับกลางได้รับด้วย) ซึ่งอาจมีขึ้นมีลงตามแต่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากทุนแล้ว จะเห็นว่าห่างกันมากขึ้น แปลออกมาเป็นภาษาธรรมดาก็คือ คนที่ทำงานรับเงินเดือนบริษัทอยู่ มองเห็นผลกำไรของบริษัทสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเดือนของตนไม่ได้ขยับขึ้นในอัตราที่เร็วเท่ากับผลกำไร
ข.คุณบรรยงอีกเหมือนกันที่ชี้ว่า ผลตอบแทนจากค่าเช่าและอื่นๆ ลดลงในวิกฤตครั้งแรกอย่างฮวบฮาบ แล้วก็ไม่กระเตื้องขึ้นจนถึง 2547 ก็เริ่มเงยหัวขึ้นมาบ้าง แต่หากเปรียบเทียบกับรายได้จากการประกอบการของธุรกิจ (ดูจากภาษี) ลดลงในวิกฤตครั้งแรกเหมือนกัน แต่ก็สูงขึ้นกว่าเดิมมาเรื่อยๆ จนสูงกว่าเก่า ฉะนั้นโดยเปรียบเทียบแล้ว ผลตอบแทนจากค่าเช่ามีแต่จะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับการประกอบการด้วยทุน (จากที่ "ค่าเช่า" เคยอยู่สูงสุดในปี 2541 เป็นกว่า 24% ของรายได้ประชาชาติที่ไม่ได้มาจากค่าจ้าง เหลือเพียงประมาณ 7% ในปี 2546)
ผมเข้าใจว่า รายได้ของคนชั้นกลางระดับกลางจำนวนหนึ่งก็มาจาก "ค่าเช่า" (นับตั้งแต่ที่ดิน, เครื่องจักร, เครื่องมือการเกษตร, นายหน้าแรงงาน, ฯลฯ) คนเหล่านี้ "โดนหยิก" จากการที่รายได้ของตนลดลง และแน่นอนย่อมรู้สึกในความเหลื่อมล้ำมาก
ค.แม้มีการขยายตัวของการจ้างงานในภาคหัตถอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง แต่ค่าจ้างในภาคหัตถอุตสาหกรรมก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จนมาถึงระดับต่ำสุดในปี 2550 เหตุผลก็พอเดาได้ นั่นคือมีคนหลั่งไหลจากภาคอื่นๆ เข้ามาสู่ภาคการผลิตนี้จำนวนมาก รายได้ของแรงงานลดลงนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่าแรงงานฝีมือนับตั้งแต่เสมียนขึ้นไปถึงฟอร์แมนและคนงานระดับกลางเองก็ลดลงไปด้วย (อยากได้ ปวส. หรือปริญญาตรีหรือ มีให้เลือกถมถืดไป) ฉะนั้น จึงมีคนชั้นกลางระดับกลางจำนวนหนึ่งที่รู้สึกเจ็บปวดกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้
ง.คุณเดือนเด่น นิคมบริรักษ์และคุณศิริกาญจน์ เลิศอำไพนนท์ แห่ง TDRI แสดงให้เห็นว่า มีการกระจุกตัวของรายได้ภาคธุรกิจในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ในปี 2553 ธุรกิจ 20% ระดับบนสุด มีรายได้ 81.02% ของรายได้จากภาคธุรกิจทั้งหมด ส่วนธุรกิจขนาดกลางซึ่งรวมกันเป็น 60% ของธุรกิจไทย มีรายได้เพียง 18.05% ของรายได้ภาคธุรกิจ ครั้นถึงพ.ศ.2551 ธุรกิจ 20% ข้างบนมีรายได้ถึง 86.28% ในขณะที่ระดับกลาง 60% มีรายได้ลดลงเหลือเพียง 13.19% เท่านั้น
นี่คือเหตุผลที่เจ้าของร้านโชห่วยและผู้ส่งออกรองเท้าแตะไปยังรัสเซีย ได้มาสวมเสื้อเหลืองนั่งประท้วงร่วมกับพนักงานคอมพิวเตอร์และเซลส์ของบริษัทน้ำมัน
จ.อาจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร แห่ง TDRI เช่นกัน ชี้ให้เห็นว่า นโยบายแทรกแซงราคาพืชผลการเกษตรของรัฐบาลทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการพยุงราคา, การแบ่งโซนนมโรงเรียน, การอุดหนุนให้ขยายพื้นที่ผลิตสินค้าบางตัว เช่น ยาง, ฯลฯ ล้วนทำให้รัฐขาดทุนหลายหมื่นล้านบาทต่อปี เพราะเป็นนโยบายที่อาจสรุปสั้นๆ ได้ว่า รัฐยอมซื้อแพงขายถูก แม้ว่าเกษตรกรจะได้รับผลดีจากนโยบายเหล่านี้อยู่บ้าง (แต่น้อยกว่าพ่อค้าและนักการเมือง) แต่ผู้บริโภคกลับต้องจ่ายในราคาแพงขึ้น (ไม่นับต้องเสียเงินภาษีไปโดยไม่คุ้ม)
นี่ก็เป็นเรื่องที่คนชั้นกลางระดับกลางซึ่งเป็นผู้บริโภคสินค้าเกษตรอยู่ในเขตเมือง "โดนหยิก" โดยตรง
สืบเนื่องกับเรื่องนี้ ยังมีปัญหาที่น่าสนใจด้วยว่า ภายใต้รัฐบาลทักษิณ (โดยเฉพาะนับตั้งแต่ครึ่งหลังของสมัยแรกเป็นต้นมา) คนชั้นกลางระดับกลางในเมืองรู้สึกว่าตัวถูกเอาเปรียบหรือไม่?
ผมตอบไม่ได้ แต่มีข้อสังเกตว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ถูกโจมตีด้วยเรื่องที่น่าหวั่นไหวต่อคนชั้นกลางระดับกลาง เช่น การแทรกแซงสื่อ เพราะสื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของคนชั้นกลางระดับกลาง การแทรกแซงองค์กรอิสระก็เช่นเดียวกัน ราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทคุณทักษิณซึ่งถีบตัวขึ้นสูงกว่าคนอื่นมาก กระทบความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นซึ่งมีความสำคัญแก่คนชั้นกลางระดับกลาง ในทางตรงกันข้าม นโยบายที่เรียกว่า "ประชานิยม" ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนชั้นกลางระดับกลางโดยตรงมากนัก ถึงแม้จะใช้บริการ 30 บาทมากพอสมควร แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากกองทุนหมู่บ้าน, แปลงสินทรัพย์เป็นทุน, หรือธนาคารเอสเอ็มอี ฯลฯ มากนัก
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า เราไม่สามารถใช้เศรษฐกิจอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ได้ทั้งหมด อย่างไรเสียเราก็ต้องมองลงไปที่ความเป็นมนุษย์ของเขาด้วย และตรงนี้แหละครับที่ยากและเถียงกันได้มาก เพราะมนุษย์คืออะไรนั้นนิยามไม่ตรงกัน
มีเหตุในทางเศรษฐกิจหลายอย่างดังที่กล่าวแล้ว ซึ่งทำให้คนชั้นกลางระดับกลางรู้สึกเจ็บ เจ็บที่ต้องสูญเสียความมั่นคงในชีวิต ไม่เฉพาะแต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจนะครับ แต่ต้องรวมถึงความมั่นคงที่คุ้นเคยกันมาด้วย (ซึ่งจะพูดถึงข้างหน้า) นอกจากนี้ ในท่ามกลางสถานภาพทางรายได้ของตัวที่ตนรู้สึกว่าตกต่ำลง สังคมไทยดูจะกลายเป็นสังคมฟูมฟายมากขึ้น (affluent society) จึงเท่ากับกีดกันตนให้ออกไปจากความฟู่ฟ่าหรูหราที่ดูจะไม่มีวันเข้าถึง
ทั้งหมดนี้คือ "ความเหลื่อมล้ำ" อย่างหนึ่ง แต่อธิบายด้วยความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่พอ จำเป็นที่จะต้องนำเอาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจนี้ เข้าไปให้ความหมายแก่ชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง และผมขอเรียกอย่างกว้างๆ ว่าความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม
ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรมนี่แหละ ที่ผมคิดว่าอธิบายพฤติกรรมทางการเมืองของเสื้อเหลืองได้ดีกว่าเศรษฐกิจ แม้ว่าเราจำเป็นต้องดำรงรักษาเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่กล่าวข้างต้นนั้นไว้ที่ข้างหลังหัวเราตลอดเวลาก็ตาม
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมพยายามจะตอบคำถามว่า คนชั้นกลางระดับกลางออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในท้องถนนทำไม
นอกจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจแล้ว ผมได้ทิ้งท้ายว่าที่สำคัญกว่านั้นคือ ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม
ซึ่งผมขออนุญาตนำมาขยายความในสัปดาห์นี้
ก. ในสังคมฟูมฟาย สินค้าที่ "ดีกว่า" หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทีวีจอแอลซีดีซึ่งเพิ่งกัดฟันซื้อไปเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ยังผ่อนไม่ทันหมดดี ก็มีจอแอลอีดีเข้ามาวางขายในตลาด ว่ากันว่าชัดกว่า, สว่างกว่า และกินไฟน้อยกว่าเสียด้วย รถยนต์วีออสและซิตี้รุ่นใหม่นั้น สวยจับตากว่ารุ่นเก่าอย่างเทียบกันไม่ได้ ซ้ำยังมี "ลูกเล่น" ต่างๆ เพิ่มเข้าไปอีก เห็นอยู่เต็มถนนเสียด้วย คิดไปเถิดครับ มีสินค้าใหม่ที่ล่อตาล่อใจปรากฏให้อยากได้ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะชีวิตก็วนเวียนอยู่กับการครอบครองวัตถุ เป็นสัญลักษณ์แห่งตัวตนตลอดมา จะให้ไม่รู้สึกรู้สากับความเหลื่อมล้ำที่เห็นคาตาอยู่ได้อย่างไร
นักเศรษฐศาสตร์บางคนอธิบายว่า ตัณหาที่เผาผลาญมนุษย์อยู่นั้นมีประโยชน์ เพราะย่อมผลักดันให้ผู้ถูกเผาเร่งผลิตเพื่อหากำไรมาดับไฟตัณหาของตัว เศรษฐกิจโดยรวมย่อมเจริญขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้กับคนแต่ละคน โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน จะให้ขยันไปอีกแค่ไหน เพราะดังที่ได้กล่าวแล้วว่า รายได้ของคนประเภทนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วเท่ากับผลกำไรจากทุน ฉะนั้นจึงได้แต่มองสินค้าใหม่ ตัวตนใหม่ และชีวิตใหม่ในตลาดอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะรู้ว่าล้วนเป็นสิ่งที่ตนเข้าไม่ถึง
นี่คือเหตุผลที่คนจำนวนมากดึงเอา "เศรษฐกิจพอเพียง " มาเป็นคำตอบ ส่วนหนึ่งคงใช้เพื่อตอบตัณหาของตัวเอง แต่อีกมากทีเดียวใช้เพื่อตอบตัณหาของคนอื่น โดยเฉพาะของคนที่สามารถเข้าถึงสินค้าใหม่ที่ "ดีกว่า" เหล่านี้อย่างง่ายดาย พวกเขาน่าจะรู้จัก "พอเพียง" บ้าง แต่คนที่ไม่รู้จักพอเพียงก็นั่งอยู่ข้างๆ ตัวในการชุมนุมนั่นเอง พวกเขาจึงเห็นด้วยกับแกนนำว่า หัวโจกของคนที่ไม่รู้จักพอเพียงคือ นักการเมืองผู้ชั่วช้าซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งควรถืออำนาจได้ไม่เกิน 30%
นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งไม่ต้องรู้จักความพอเพียง ก็เพราะรายได้ของเขามาจากการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง แม้คนชั้นกลางระดับกลางเคยชินกับการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง เพราะในชีวิตจริงก็จ่ายเงินให้ตำรวจจราจรเป็นปกติ แต่การฉ้อราษฎร์บังหลวงของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง สร้างความเจ็บปวดให้มากกว่า เพราะรายได้อันชอบธรรมของเขาก็มากเกินกว่าที่คนชั้นกลางระดับกลางจะสามารถหามาได้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่ของเสื้อเหลืองอยู่ "ในระบบ" จึงเป็นผู้เสียภาษีทางตรง จึงยิ่งรู้สึกเจ็บกว่าความเป็นพลเมืองธรรมดา
ข. ความมั่นคงของชีวิตคนชั้นกลางระดับกลางในเมืองไทยนั้นลดลง ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของลูกหลานแพงขึ้น, ค่ารักษาพยาบาลก็แพงขึ้น ไม่ว่าในโรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชน, การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบยากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
อย่างไรก็ตาม มีความโน้มเอียงในประเทศไทยที่เริ่มจะใช้หลักประกันสังคมบางส่วน (โดยคิดถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้น้อยเกินไป ฉะนั้น คนชั้นกลางระดับกลางจึงไม่ได้จ่ายภาษีเพิ่มขึ้น) เช่นรัฐธรรมนูญ 2540 ให้หลักประกันว่าเด็กทุกคนจะได้เรียนหนังสือถึง 12 ปี หรือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรค ทรท.
แต่เพราะไม่ได้คิดจากหลักการประกันสังคมจริง ในทางปฏิบัติจึงมุ่งไปสู่การหาเสียงและเน้นที่ "คนจน" มากกว่ากระจายให้แก่คนทุกชั้นอย่างทั่วถึง ความมั่นคงของชีวิตที่คนชั้นกลางระดับกลางได้รับจากรัฐจึงมีลักษณะสุกๆ ดิบๆ เช่นการเข้ารับบริการโครงการ 30 บาท ย่อมหมายถึงการได้รับการปฏิบัติเหมือนกับคนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ "ต่ำ" กว่า เกิดความไม่แน่ใจใน "มาตรฐาน" ของการรักษาพยาบาล เช่นเดียวกับการเรียนฟรี 12 ปี (โดยปราศจากการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนให้ใกล้เคียงกัน) ทำให้บุตรหลานของคนชั้นกลางระดับกลาง ต้องเผชิญการแข่งขันมากขึ้น ซ้ำชั้นเรียนของบุตรหลานยังเคล้าคละปะปนระหว่างคนต่างสถานภาพมากขึ้นด้วย (สถาบันการศึกษาของไทยจะทำหน้าที่กรองคนใน "ชั้น" ต่างๆ ขึ้นไปตามลำดับ ยิ่งเรียนสูง เพื่อนร่วมชั้นก็จะอยู่ในสถานภาพที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น) คนชั้นกลางระดับกลางส่วนหนึ่ง นำบุตรหลานหนีจากระบบเข้าสู่โรงเรียนราษฎร์ หรือโปรแกรมพิเศษของโรงเรียนหลวง แต่คนชั้นกลางระดับกลางจำนวนมาก ไม่มีสมรรถนะที่จะทำอย่างนั้นได้ จึงได้แต่วิตกห่วงใยต่ออนาคตทางการศึกษาของบุตรหลาน
ขึ้นชื่อว่าคนชั้นกลาง เส้นทางของการไต่เต้าทางสังคมที่ใหญ่สุดคือ การศึกษา แต่ความมั่นคงทางการศึกษาที่รัฐจัดให้กลับทำให้เส้นทางนี้แคบลงแก่คนชั้นกลางระดับกลาง
ค. แม้ว่าความเสมอภาคเป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่คนชั้นกลางระดับกลางพูดถึงมานาน แต่ในชีวิตจริงของคนชั้นกลางระดับกลางไทย ความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งที่เห็นได้ถนัด เมื่อมองขึ้นไปข้างบน ความเสมอภาคที่เรียกร้องจึงเป็นความเสมอภาคที่อยากเท่าเทียมกับคนชั้นกลางระดับเจ้าสัวและคุณหญิงคุณนาย แต่ความเสมอภาคที่รัฐนำมาให้ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เป็นความเสมอภาคที่ป้อนให้แก่คนชั้นกลางระดับล่าง มีคนแปลกหน้าที่เผยอหน้าขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งดูเหมือนคุกคามความมั่นคงในชีวิตมากยิ่งกว่าเจ้าสัวและคุณหญิงคุณนายเสียอีก
ดังนั้น หลักการความเสมอภาคจึงรับไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งแปลกปลอมใน "ความเป็นไทย" ไม่น่าอับอายอย่างไรที่จะปฏิเสธความเสมอภาคอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย สิ่งที่เรียกร้องกันอย่างอึงมี่คือ "ระเบียบ" ในระยะแรกต่อต้านความไร้ "ระเบียบ" ซึ่งรัฐบาลอันเขาคุมไม่ได้นำมา และในระยะหลังต่อต้านความไร้ "ระเบียบ" ที่การชุมนุมของเสื้อแดงนำมา "ระเบียบ" ที่คนชั้นกลางระดับกลางเรียกร้องหา คือลำดับแห่งช่วงชั้นทางสังคมนั่นเอง นี่คือเหตุผลที่ยินดีจะผูกพันการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะสถาบันนี้ถูกคนชั้นกลางระดับกลางยึดถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสังคมที่มีช่วงชั้น
และนี่คือเหตุผลที่หลงใหลได้ปลื้มกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักเรียนออกซ์ฟอร์ด ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ใช้ภาษาทั้งไทยและอังกฤษได้อย่างสละสลวย (eloquent), มีกำเนิดในตระกูล "ผู้ดี" และมีชีวิตส่วนตัวที่ไม่มีที่ติในระบบค่านิยมของคนชั้นกลางระดับกลางแต่อย่างใด นับเป็นหมุดหมายสำคัญของความมั่นคงของ "ระเบียบ" ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตามสถานภาพช่วงชั้นทางสังคมในอุดมคติควรกำหนดให้เป็นไป
ง. ส่วนที่ใหญ่ไม่น้อยในความมั่นคงของชีวิตคนไทยมาจากเครือญาติ และเครือข่ายความสัมพันธ์ ทั้งสองอย่างนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วในชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง เพราะมีญาติและเพราะมีเพื่อนจึงทำให้มี "เส้น" แต่ "เส้น" ของญาติและของเพื่อนกำลังอ่อนแรงลง ทั้งเพราะไม่สามารถผูกความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นเหมือนเดิม และทั้งเพราะ "เส้น" จะทำงานได้ผลก็ต้องเสียเงิน "ซื้อ" มากขึ้น "เส้น" กำลังเปลี่ยนไปเป็น "ซื้อ" ใน"ชีวิตของเขา ในขณะที่กำลังจะ "ซื้อ" ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นให้ทันกับการสูญเสีย "เส้น" ชีวิตจึงอึดอัดขัดข้องมากขึ้นเพราะขาดความมั่นคงในชีวิต
ที่ถูกโจมตีว่า "ม็อบมีเส้น" นั่นแหละที่สอดคล้องกับสิ่งที่กำลังโหยหา ก็เพราะ "มีเส้น" นั่นล่ะสิ การชุมนุมจึงสะท้อนอุดมคติที่หลุดลอยไปแล้วได้อย่างดีที่สุด ที่ชุมนุมกลายเป็นความอบอุ่น, ความมั่นคงปลอดภัย อย่างที่หาไม่ได้ในชีวิตจริง
จ. ผมมีเพื่อนรุ่นพี่ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง ซึ่งขยันไปสังเกตการณ์การชุมนุมของเสื้อเหลืองเกือบทุกวัน ท่านเล่าให้ผมฟังว่า คนที่มาร่วมชุมนุมจับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มๆ ตัวท่านเองก็เข้าร่วมวงสนทนากับกลุ่มโน้นกลุ่มนี้อยู่เป็นประจำ ท่านพบว่าประเด็นของการสนทนาก็คือ ความโหยหา (nostalgia) ต่ออดีตที่ไม่มีวันหวนกลับมาแล้ว โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งเมื่อสรุปรวมแล้ว ก็คือความสัมพันธ์ที่มีที่ต่ำที่สูง หรือสังคมที่มีช่วงชั้น ฉะนั้นปัญหาของพวกเขาจึงเป็นปัญหาเช่นลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่, ศิษย์ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์, เงินเป็นใหญ่กว่าความสูงของสถานภาพ รวยเสียอย่างทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด แม้แต่ทุจริตคดโกงมาก็ไม่น่าอับอายแต่อย่างใด, ความโลภโมห์โทสันระบาดลงไปถึงชาวบ้านระดับล่าง จึงขายเสียงหรือสมัครเป็นบริวารของเจ้าพ่อผู้ทุจริตอื้อฉาว ฯลฯ
ทั้งหมดเหล่านี้สรุปรวมลงเป็นความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม วิธีแก้ไขมิให้สังคมตกต่ำไปกว่านี้ จึงไม่มีทางเดียวได้แก่สนับสนุนให้คนดีมีศีลธรรมได้เป็นใหญ่ และป้องกันมิให้คนเลวไร้ศีลธรรมเข้าสู่อำนาจ หากทำได้ก็จะฟื้นเอาสังคมที่มี "ระเบียบ" อย่างเก่ากลับคืนมาได้ นั่นคือกลับคืนสู่สังคมที่มีที่ต่ำที่สูง คนมีศีลธรรมซึ่งเป็นคนสูงก็จะกำกับควบคุมให้บ้านเมืองมีความสงบสุขเจริญรุ่งเรืองโดยอัตโนมัติ
จารีตนิยมกลายเป็นปราการสำหรับปกป้องตนเองจากความเปลี่ยนแปลงที่ตั้งรับไม่ทัน
ฉ. อย่างไรเสีย เราก็หลีกหนีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสังคมไปไม่พ้น แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นความเปลี่ยนแปลงที่คนชั้นกลางระดับกลางไม่พึงพอใจ (ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังที่กล่าวแล้ว) คนที่พยายามเสนอตัวเองเป็นหัวหอกของความเปลี่ยนแปลง คือคุณทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นทางเทคโนโลยี, การบริหาร, ไปจนถึงการจัดการรัฐกิจแบบซีอีโอ
อีกทั้งเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ที่ไม่เหลียวมองคนชั้นกลางระดับกลางสักเท่าไรด้วย ขอยกตัวอย่างจากนโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน คุณทักษิณอ้างว่าแม้สามารถสร้างเถ้าแก่น้อยได้เพียง 10% ของประชาชนทั้งหมด ก็ถือว่าน่าพอใจแล้ว
เถ้าแก่น้อยจะเกี่ยวข้องกับคนชั้นกลางระดับกลางอย่างไร ไม่ค่อยชัดนัก จะให้ขายบ้านขายรถเพื่อไปลงทุนทำธุรกิจแทนการรับเงินเดือน หากไม่ได้อยู่ใน 10% ที่ประสบความสำเร็จ จะมีโอกาสกลับเข้าสู่งานรับเงินเดือนได้อีกหรือไม่
จึงไม่แปลกอะไรที่คุณทักษิณจะเป็นเป้าโจมตีสำคัญของกลุ่มคนเสื้อเหลือง (แกนนำจะมีวาระซ่อนเร้นอะไรไม่เกี่ยว) แต่ชื่อนี้ชื่อเดียวเท่านั้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับใช้แทนความเปลี่ยนแปลงอันน่ารังเกียจทั้งหมดที่ถาโถมเข้าใส่ชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง ทักษิณจึงควรออกไป และไม่กลับมาอีกตลอดชั่วฟ้าดินสลาย
หลังจากพยายามหาคำตอบว่าคนชั้นกลางระดับกลางออกมาทำไมแล้ว ผมก็นึกถามตัวเองว่า สภาพหวนกลับไปสู่อดีตเพื่อหลบหนีอนาคตเช่นนี้จะอยู่กับคนชั้นกลางระดับกลางไปตลอดหรือไม่ ผมคิดว่าไม่ เพราะความเปลี่ยนแปลงที่มาจากข้างนอกสังคมไทยแรงเกินกว่าใครจะไปหยุดยั้งมันได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีทักษิณ ในที่สุดพวกเขาก็ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงแบบไม่หลบหนีจนได้ การศึกษาที่สูงของพวกเขาจะให้ความสามารถที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงได้หลายรูปแบบ และในที่สุดกลุ่มหนึ่งก็จะต้อนรับความเปลี่ยนแปลงนั้น แล้วก็ขยายไปยังคนกลุ่มอื่นๆ ในหมู่คนชั้นกลางระดับกลางมากขึ้น
แม้แต่อดีตที่เขาโหยหาอยู่ในเวลานี้ ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างน้อยก็ช่วยประคองจังหวะก้าวให้เป็นไปอย่างมีรากมีฐานได้ดีขึ้น ถึงจะต้องละทิ้งคุณค่าเก่าๆ ที่เป็นไปไม่ได้แล้วลงไปในที่สุด ก็รู้ว่าต้องทิ้งทำไม
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากย้ำก็คือ ทั้งคนชั้นกลางระดับล่างและคนชั้นกลางระดับกลาง เป็นพลังยิ่งใหญ่ในสังคมไทยปัจจุบัน แต่เนื่องจากระบบการเมือง, ระบบปกครอง, ระบบสังคมและวัฒนธรรม ทำให้ขาดการจัดองค์กรที่ดี ทั้งๆ ที่พลังนั้นพยายามจะเบ่งตัวเองออกมามีบทบาทในสังคม
ดังนั้น จึงง่ายที่คนชั้นกลางทั้งสองกลุ่มนี้จะตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ของคนที่จัดองค์กรเพื่อประโยชน์ทางการเมืองส่วนตนและเฉพาะหน้า
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278919534&catid=02 16/07/2010
วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 19:00:00 น. มติชนออนไลน์
วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
การเมืองไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลง?
การเมืองไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลง?
โดย สายพิน แก้วงามประเสริฐ
พ.ศ.2490 คณะทหารกลุ่มหนึ่งทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ แล้วเชิญนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี
ภารกิจแรกๆ ของรัฐบาลสมัยนั้นคือ การออกพระราชกำหนดคุ้มครองความสงบสุข เพื่อดำเนินการไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2490 (ฉบับชั่วคราว) โดยให้อำนาจแก่คณะรัฐประหารเพื่อกวาดล้างจับกุมคุมขัง "บุคคลอันมีเหตุผลสมควรสงสัยว่าจะขัดขวางการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน"
จึงทำให้เกิดการกวาดล้างจับกุมบุคคลสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีทั้งอดีตรัฐมนตรี ส.ส. เสรีไทย และนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีผู้ถูกจับกุมเกือบ 20 คน แต่มีหลายคนได้รับการปล่อยตัว เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน
ต่อมาวันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2491 นายควง อภัยวงศ์ ได้ถูกคณะรัฐประหาร "จี้" ให้ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี
นำไปสู่การกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่งของจอมพล ป.พิบูลสงคราม
ภายหลังการขึ้นสู่อำนาจของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านอำนาจของจอมพล ป.พิบูลสงคราม หลายครั้ง เช่น กบฏเสนาธิการ ใน พ.ศ.2491 นำโดยคณะทหารฝ่ายเสนาธิการ ซึ่งต้องการให้ทหารเป็น "ทหารอาชีพ" ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่การก่อการไม่สำเร็จเพราะแผนรั่วไหล รัฐบาลได้พยายามทำให้คดีนี้รุนแรง ด้วยการแฉคำให้การของจำเลยว่าคิดวางแผนที่จะทำการรัฐประหารจริงๆ
การต่อต้านอำนาจจอมพล ป.พิบูลสงคราม อีกเหตุการณ์หนึ่งเรียกว่า กบฏแบ่งแยกดินแดน โดยที่หลังรัฐประหาร พ.ศ.2490 หนังสือพิมพ์ได้พาดหัวข่าวเกี่ยวกับการรัฐประหารว่า "...30,000 คน ชุมนุมเพื่อต่อต้านที่ภาคอีสาน" นอกจากนี้ มีการกล่าวหาว่า ส.ส.อีสานบางคนคิดแบ่งแยกดินแดน และนำประเด็นเรื่องคอมมิวนิสต์ปลุกปั่นประชาชนในภาคอีสาน ทำให้รัฐบาลสั่งจับกุม ส.ส.ภาคอีสานหลายคน เช่น นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายเตียง ศิริขันธ์ นายถวิล อุดล และนายฟอง สิทธิธรรม ซึ่งทำให้ความคิดต่อต้านรัฐบาลมีเพิ่มมากขึ้น
ความพยายามท้าทายอำนาจของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เกิดขึ้นอีกครั้งในเหตุการณ์ที่เรียกว่า "กบฏวังหลวง" หรือ "ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492" เป็นความร่วมระหว่างฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์ กับฝ่ายทหารเรือ เนื่องจากฝ่ายทหารเรือเห็นว่านายปรีดี ไม่ได้รับความเป็นธรรม และถูกไล่ล่าจากรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม อย่างหนัก
การปะทะกันในช่วงสำคัญระหว่างฝ่ายทหารบกที่สนับสนุนรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม กับฝ่ายทหารเรือที่สนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ สมรภูมิการสู้รบที่สำคัญอยู่ที่แยกราชประสงค์ ในช่วงแรกฝ่ายทหารเรือเป็นฝ่ายได้เปรียบ สามารถบุกจนทหารบกต้องถอยร่นไปถึงแยกราชเทวี แต่ในที่สุดฝ่ายรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม สามารถปราบปรามกลุ่มบุคคลที่ต่อต้านรัฐบาลได้สำเร็จ
ผลของเหตุการณ์ครั้งนี้ นอกจากทำให้นายปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศโดยถาวรแล้วยังทำให้รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ถือโอกาสปราบปรามศัตรูทางการเมืองอย่างรุนแรง จับกุมบุคคลต่างๆ จำนวนมากทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ รวมทั้งมีการฆ่าทหาร ตำรวจ นักการเมือง ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ แต่รัฐบาลเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
ที่ร้ายแรงมากคือ การจับกุมอดีตรัฐบาล และ ส.ส.อีสาน ได้แก่ นายทองอิน ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล นายจำลอง ดาวเรือง และนายทองเปลว ชลภูมิ (ส.ส.ปราจีนบุรี และอดีตรัฐมนตรี) ระหว่างถูกนำตัวไปสอบสวน ทั้งสี่ท่านแม้นั่งอยู่ในรถตำรวจ ยังถูกยิงทิ้งอย่างโหดเหี้ยมทารุณ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีเหตุการณ์สังหารโหด ส.ส.อีสานและอดีตรัฐมนตรีนี้แล้ว แต่ไม่อาจทำให้ ส.ส.อีสานส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่สยบยอมต่อการใช้อำนาจเผด็จการของรัฐบาลในขณะนั้น
ในส่วนของทหารเรือแม้จะถูกลดบทบาทความสำคัญลงก็ตาม ในที่สุด พ.ศ.2494 ทหารเรือกลุ่มหนึ่งซึ่งนำโดย น.ต.มนัส จารุภา ผู้บังคับการเรือรบหลวงรัตนโกสินทร์ ได้เป็นแกนนำจับตัวจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นตัวประกัน ขณะไปรับมอบเรือขุดแมนฮัตตัน ที่สหรัฐอเมริกามอบให้
แต่การก่อการครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะคณะรัฐประหารตัดสินใจใช้ความรุนแรงด้วยการยิงถล่มจนเรือรบหลวงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเรือที่ฝ่ายทหารเรือนำตัวจอมพล ป.พิบูลสงคราม ไปคุมไว้ จมลง เหตุการณ์ครั้งนี้เรียกว่า "กบฏแมนฮัตตัน"
หลังเกิดเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน ทหารเรือถูกลดบทบาทมากขึ้นอีก โดยเฉพาะกรมยุทธการทหารเรือที่เคยตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาถูกย้ายไปอยู่สัตหีบ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นกองเรือยุทธการ และมีบางหน่วยงานของกองทัพเรือถูกยกเลิกไป เพื่อลดบทบาททางการเมือง
นอกจากกำจัดอิทธิพลของทหารเรือแล้ว ในส่วนของเสรีไทยที่เกี่ยวเนื่องกับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ส่งทหารเข้ายึดมหาวิทยาลัย โดยอ้างว่า "ขอยืมใช้เป็นสถานที่ชั่วคราวเพื่อความสงบเรียบร้อย" ถ้าศัพท์ปัจจุบันคงใช้คำว่า "ขอคืนพื้นที่"
จนทำให้นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ และคณะรัฐศาสตร์ต้องไปใช้อาคารของเนติบัณฑิตยสภาเป็นที่เรียน ส่วนคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และคณะเศรษฐศาสตร์ ต้องไปใช้อาคารโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เป็นที่เรียน
ต่อมากองทัพบกได้เสนอเงินจำนวน 5 ล้านบาท เพื่อซื้อมหาวิทยาลัย นักศึกษาจึงชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องมหาวิทยาลัยคืน รวมทั้ง ส.ส.ที่เป็นศิษย์เก่าได้ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลในเรื่องนี้
จนในที่สุดวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ได้นำรถบัสกว่า 10 คัน ไปรับนักศึกษาที่กลับจากการไปทัศนศึกษาต่างจังหวัด แล้วมุ่งตรงมายังมหาวิทยาลัย เพื่อยึดมหาวิทยาลัยคืนได้ในที่สุด
การที่รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ถูกท้าทายอำนาจหลายครั้ง หลังเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตันแล้ว ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 รัฐบาลจึงได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจตนเอง ที่เรียกว่า "การปฏิวัติเงียบ" เพื่อยกเลิกการใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2492 แล้วนำรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2475 กลับมาใช้ใหม่ พร้อมมีบทเฉพาะกาลที่ยินยอมให้ข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ในเวลาเดียวกัน พร้อมทั้งระบุให้รัฐสภามีเพียงสภาเดียว แต่มีสมาชิกสองประเภท คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่งมาจากการเลือกตั้ง ส่วนประเภทที่สองมาจากการแต่งตั้ง ทั้งสองประเภทนี้มีจำนวนเท่ากัน ทำให้รัฐบาลมีเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้น ซึ่งสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งเกือบทั้งหมดเป็นทหาร ถือว่าเป็นการปูนบำเหน็จให้กับคณะรัฐประหารที่ทำให้จอมพล ป.ได้กลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่งทั่วประเทศ ภายใต้บรรยากาศการห้ามชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คน ของคณะบริหารประเทศชั่วคราว ทำให้การรวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองอย่างเปิดเผยเพื่อหาเสียงทำไม่ได้ ต้องต่างคนต่างหาเสียง ฝ่ายรัฐบาลจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบในการส่งคนสมัครรับเลือกตั้งเพราะมีอำนาจอยู่ในมือ
ดังนั้น พรรคฝ่ายค้านในขณะนั้นคือพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงการคัดค้านสภาพการณ์ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ด้วยการที่สมาชิกพรรคส่วนใหญ่ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง
การปฏิวัติเงียบจึงทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีอำนาจล้นฟ้า แม้ว่าจะมีอำนาจมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังคงมีกลุ่มบุคคลที่ท้าทายอำนาจรัฐบาลจอมพล ป.อยู่เนืองๆ รัฐบาลจึงได้ออกพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2495 ทำให้มีการจับกุมคุมขัง สังหารโหดบุคคลที่เคยมีส่วนร่วมกับนายปรีดี พนมยงค์ หลายคน
การต่อต้านรัฐบาลยังไม่ยุติ แต่รูปแบบการเคลื่อนไหวไม่ใช่การจับอาวุธขึ้นต่อสู้ เป็นการเคลื่อนไหวในกลุ่มของนักคิด นักเขียนที่สำคัญ เช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือศรีบูรพา อัศนีย์ พลจันทร์ สมัคร บุราวาส สุภา ศิริมานนท์ สุวัฒน์ วรดิลก และอุทธรณ์ พลกุล เป็นต้น ด้วยการเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทยที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
นักคิดนักเขียนเหล่านี้ได้รวมกลุ่มกันเพื่อคัดค้านการกระทำของรัฐบาลที่ขัดขวางสันติภาพ โดยรัฐบาลสนับสนุนการร่วมรบในสงครามเกาหลี ต่อมา พ.ศ.2495 เกิดความแห้งแล้งในภาคอีสาน คณะกรรมการสันติภาพสากลแห่งประเทศไทยได้เรียกร้องให้ประชาชนบริจาคส่งของเครื่องใช้แก่คนภาคอีสาน เมื่อคณะกรรมการชุดนี้เดินทางกลับจากการแจกสิ่งของในภาคอีสานก็ถูกจับ
รวมทั้งกลุ่มบุคคลที่ไปประชุมสันติภาพสากลที่ประเทศจีน เมื่อกลับมาก็ถูกจับให้ข้อหาเป็น "กบฏสันติภาพ" บุคคลสำคัญ เช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ อุทธรณ์ พลกุล และคนอื่นๆ ด้วยข้อหา "มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์" และยังกล่าวหาว่านายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งลี้ภัยอยู่ในประเทศจีนเป็นผู้นำขบวนการคอมมิวนิสต์
นอกจากนี้ ยังมีการจับกุมกวาดล้างครั้งใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2495 ในข้อหายุยงก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง เป้าหมายของการจับกุมครอบคลุมไปทุกวงการ ทั้งนักการเมือง นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยานายปรีดี พนมยงค์ ยังถูกจับในข้อหากบฏในราชอาณาจักร หรือกบฏสันติภาพ
นอกจากการจับกุมคุมขังบุคคลต่างๆ ที่รัฐบาลสงสัย หรือน่าเชื่อว่ามีส่วนยุยงส่งเสริมก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมืองแล้ว ยังมีนักการเมืองที่รัฐบาลเชื่อว่ายังจงรักภักดีต่อนายปรีดี พนมยงค์ ถูกสังหารโหด ได้แก่ นายเตียง ศิริขันธ์ และพรรคพวก
แม้ว่าความสำเร็จในการปราบปรามกบฏต่างๆ จะทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีอำนาจมากขึ้น จนกระทั่งมีแนวโน้มใช้อำนาจแบบเผด็จการมากขึ้น แต่กระบวนการต่อต้านจอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่ได้สิ้นสุดลง เพียงแต่วิธีการต่อต้านเปลี่ยนแปลง จากการยกกำลังมายึดอำนาจ เปลี่ยนเป็นต่อต้านในรูปแบบแนวคิดแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ผ่านการเคลื่อนไหวของนักคิด นักเขียนที่สำคัญ ทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม ต้องสร้างภาพของการคุกคามของคอมนิวนิสต์ว่าเป็นภัยที่ร้ายแรง และนำประเทศไปผูกพันกับสหรัฐอเมริกาที่มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์
การสร้างภาพให้เห็นว่าผู้ที่ต่อต้านอำนาจของตนเองเป็นคอมมิวนิสต์ และเป็นภัยที่ร้ายแรงต่อประเทศชาติ การใช้อำนาจจับกุมคุมขัง หรือการสังหารโหด เพราะเชื่อว่ามีแนวคิดเป็นคอมมิวนิสต์ ได้ผลักดันให้ประชาชน นักการเมือง นักคิด นักเขียน ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ไปยืนอยู่ฟากของการเป็นคอมมิวนิสต์ และนำไปสู่การใช้กำลังต่อสู้ประหัตประหารกัน
จนแม้กระทั่งเมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม หมดอำนาจลงไปด้วยการถูกปฏิวัติยึดอำนาจจากบริวารของตนเองแล้วก็ตาม แต่ได้เพาะเชื้อที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งต่อสู้ระหว่างผู้มีอำนาจกับประชาชนที่ยากไร้ในชนบท โดยเฉพาะในดินแดนที่แห้งแล้งกันดารขาดการเหลียวแลเท่าที่ควรจะเป็น
ทำให้การต่อสู้ระหว่างรัฐที่ต้องการรักษาอำนาจของตนเอง กับฝ่ายตรงข้ามที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ต้องต่อสู้กันอย่างยืดเยื้อยาวนาน กลายเป็นบาดแผลของสังคมในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์หลายครั้งหลายครา
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ทำให้เกิดการเรียนรู้ว่า แม้ว่ารัฐจะมีกฎหมายเป็นเครื่องมือในการให้อำนาจแก่ตนที่จะจัดการกับใครอย่างใดก็ได้ รวมทั้งการใส่ร้ายป้ายสี เที่ยวแขวนป้ายให้ประชาชนที่มีความคิดแตกต่างจากผู้มีอำนาจในรัฐ การปฏิบัติต่อประชาชนอย่างไม่เท่าเทียมกัน การไม่นำพาต่อการให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างถ้วนหน้าแล้ว แม้มีอำนาจจับกุมคุมขัง ปิดปาก ปิดหู ปิดตาประชาชน แต่ไม่อาจทำให้ประชาชนทุกคนสยบยอม ยอมรับอำนาจได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน เพราะในที่สุดจะพบกับความเสื่อมศรัทธาลงไปตามลำดับ แม้ว่าจะพยายามหลอกตัวเองว่ายังคงมีอำนาจอยู่ก็ตาม
เรื่องราวประวัติศาสตร์การเมืองในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ผ่านเวลามากว่า 60 ปี แต่ประวัติศาสตร์ย่อมเป็นบทเรียนที่จะแสดงให้เห็นว่า การใช้กำลังปราบปรามผู้ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากรัฐ การเที่ยวแขวนป้ายให้ใครเป็นผู้ก่อการร้าย ย่อมทำให้ความขัดแย้งรุนแรง เกิดการเผชิญหน้ามากขึ้น และไม่อาจทำให้รัฐมีอำนาจได้อย่างแท้จริง เพราะในที่สุดอำนาจที่ปราศจากความศรัทธาจากมหาชนอย่างถ้วนหน้า ย่อมดับสูญไปในที่สุดไม่เร็วก็ช้า
และเรื่องราวเหล่านี้จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลสืบไป
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278586371&catid=02
วันที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:00:00 น. มติชนออนไลน์
โดย สายพิน แก้วงามประเสริฐ
พ.ศ.2490 คณะทหารกลุ่มหนึ่งทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ แล้วเชิญนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี
ภารกิจแรกๆ ของรัฐบาลสมัยนั้นคือ การออกพระราชกำหนดคุ้มครองความสงบสุข เพื่อดำเนินการไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2490 (ฉบับชั่วคราว) โดยให้อำนาจแก่คณะรัฐประหารเพื่อกวาดล้างจับกุมคุมขัง "บุคคลอันมีเหตุผลสมควรสงสัยว่าจะขัดขวางการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน"
จึงทำให้เกิดการกวาดล้างจับกุมบุคคลสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีทั้งอดีตรัฐมนตรี ส.ส. เสรีไทย และนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีผู้ถูกจับกุมเกือบ 20 คน แต่มีหลายคนได้รับการปล่อยตัว เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน
ต่อมาวันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2491 นายควง อภัยวงศ์ ได้ถูกคณะรัฐประหาร "จี้" ให้ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี
นำไปสู่การกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่งของจอมพล ป.พิบูลสงคราม
ภายหลังการขึ้นสู่อำนาจของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านอำนาจของจอมพล ป.พิบูลสงคราม หลายครั้ง เช่น กบฏเสนาธิการ ใน พ.ศ.2491 นำโดยคณะทหารฝ่ายเสนาธิการ ซึ่งต้องการให้ทหารเป็น "ทหารอาชีพ" ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่การก่อการไม่สำเร็จเพราะแผนรั่วไหล รัฐบาลได้พยายามทำให้คดีนี้รุนแรง ด้วยการแฉคำให้การของจำเลยว่าคิดวางแผนที่จะทำการรัฐประหารจริงๆ
การต่อต้านอำนาจจอมพล ป.พิบูลสงคราม อีกเหตุการณ์หนึ่งเรียกว่า กบฏแบ่งแยกดินแดน โดยที่หลังรัฐประหาร พ.ศ.2490 หนังสือพิมพ์ได้พาดหัวข่าวเกี่ยวกับการรัฐประหารว่า "...30,000 คน ชุมนุมเพื่อต่อต้านที่ภาคอีสาน" นอกจากนี้ มีการกล่าวหาว่า ส.ส.อีสานบางคนคิดแบ่งแยกดินแดน และนำประเด็นเรื่องคอมมิวนิสต์ปลุกปั่นประชาชนในภาคอีสาน ทำให้รัฐบาลสั่งจับกุม ส.ส.ภาคอีสานหลายคน เช่น นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายเตียง ศิริขันธ์ นายถวิล อุดล และนายฟอง สิทธิธรรม ซึ่งทำให้ความคิดต่อต้านรัฐบาลมีเพิ่มมากขึ้น
ความพยายามท้าทายอำนาจของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เกิดขึ้นอีกครั้งในเหตุการณ์ที่เรียกว่า "กบฏวังหลวง" หรือ "ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492" เป็นความร่วมระหว่างฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์ กับฝ่ายทหารเรือ เนื่องจากฝ่ายทหารเรือเห็นว่านายปรีดี ไม่ได้รับความเป็นธรรม และถูกไล่ล่าจากรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม อย่างหนัก
การปะทะกันในช่วงสำคัญระหว่างฝ่ายทหารบกที่สนับสนุนรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม กับฝ่ายทหารเรือที่สนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ สมรภูมิการสู้รบที่สำคัญอยู่ที่แยกราชประสงค์ ในช่วงแรกฝ่ายทหารเรือเป็นฝ่ายได้เปรียบ สามารถบุกจนทหารบกต้องถอยร่นไปถึงแยกราชเทวี แต่ในที่สุดฝ่ายรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม สามารถปราบปรามกลุ่มบุคคลที่ต่อต้านรัฐบาลได้สำเร็จ
ผลของเหตุการณ์ครั้งนี้ นอกจากทำให้นายปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศโดยถาวรแล้วยังทำให้รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ถือโอกาสปราบปรามศัตรูทางการเมืองอย่างรุนแรง จับกุมบุคคลต่างๆ จำนวนมากทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ รวมทั้งมีการฆ่าทหาร ตำรวจ นักการเมือง ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ แต่รัฐบาลเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
ที่ร้ายแรงมากคือ การจับกุมอดีตรัฐบาล และ ส.ส.อีสาน ได้แก่ นายทองอิน ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล นายจำลอง ดาวเรือง และนายทองเปลว ชลภูมิ (ส.ส.ปราจีนบุรี และอดีตรัฐมนตรี) ระหว่างถูกนำตัวไปสอบสวน ทั้งสี่ท่านแม้นั่งอยู่ในรถตำรวจ ยังถูกยิงทิ้งอย่างโหดเหี้ยมทารุณ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีเหตุการณ์สังหารโหด ส.ส.อีสานและอดีตรัฐมนตรีนี้แล้ว แต่ไม่อาจทำให้ ส.ส.อีสานส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่สยบยอมต่อการใช้อำนาจเผด็จการของรัฐบาลในขณะนั้น
ในส่วนของทหารเรือแม้จะถูกลดบทบาทความสำคัญลงก็ตาม ในที่สุด พ.ศ.2494 ทหารเรือกลุ่มหนึ่งซึ่งนำโดย น.ต.มนัส จารุภา ผู้บังคับการเรือรบหลวงรัตนโกสินทร์ ได้เป็นแกนนำจับตัวจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นตัวประกัน ขณะไปรับมอบเรือขุดแมนฮัตตัน ที่สหรัฐอเมริกามอบให้
แต่การก่อการครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะคณะรัฐประหารตัดสินใจใช้ความรุนแรงด้วยการยิงถล่มจนเรือรบหลวงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเรือที่ฝ่ายทหารเรือนำตัวจอมพล ป.พิบูลสงคราม ไปคุมไว้ จมลง เหตุการณ์ครั้งนี้เรียกว่า "กบฏแมนฮัตตัน"
หลังเกิดเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน ทหารเรือถูกลดบทบาทมากขึ้นอีก โดยเฉพาะกรมยุทธการทหารเรือที่เคยตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาถูกย้ายไปอยู่สัตหีบ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นกองเรือยุทธการ และมีบางหน่วยงานของกองทัพเรือถูกยกเลิกไป เพื่อลดบทบาททางการเมือง
นอกจากกำจัดอิทธิพลของทหารเรือแล้ว ในส่วนของเสรีไทยที่เกี่ยวเนื่องกับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ส่งทหารเข้ายึดมหาวิทยาลัย โดยอ้างว่า "ขอยืมใช้เป็นสถานที่ชั่วคราวเพื่อความสงบเรียบร้อย" ถ้าศัพท์ปัจจุบันคงใช้คำว่า "ขอคืนพื้นที่"
จนทำให้นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ และคณะรัฐศาสตร์ต้องไปใช้อาคารของเนติบัณฑิตยสภาเป็นที่เรียน ส่วนคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และคณะเศรษฐศาสตร์ ต้องไปใช้อาคารโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เป็นที่เรียน
ต่อมากองทัพบกได้เสนอเงินจำนวน 5 ล้านบาท เพื่อซื้อมหาวิทยาลัย นักศึกษาจึงชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องมหาวิทยาลัยคืน รวมทั้ง ส.ส.ที่เป็นศิษย์เก่าได้ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลในเรื่องนี้
จนในที่สุดวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ได้นำรถบัสกว่า 10 คัน ไปรับนักศึกษาที่กลับจากการไปทัศนศึกษาต่างจังหวัด แล้วมุ่งตรงมายังมหาวิทยาลัย เพื่อยึดมหาวิทยาลัยคืนได้ในที่สุด
การที่รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ถูกท้าทายอำนาจหลายครั้ง หลังเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตันแล้ว ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 รัฐบาลจึงได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจตนเอง ที่เรียกว่า "การปฏิวัติเงียบ" เพื่อยกเลิกการใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2492 แล้วนำรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2475 กลับมาใช้ใหม่ พร้อมมีบทเฉพาะกาลที่ยินยอมให้ข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ในเวลาเดียวกัน พร้อมทั้งระบุให้รัฐสภามีเพียงสภาเดียว แต่มีสมาชิกสองประเภท คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่งมาจากการเลือกตั้ง ส่วนประเภทที่สองมาจากการแต่งตั้ง ทั้งสองประเภทนี้มีจำนวนเท่ากัน ทำให้รัฐบาลมีเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้น ซึ่งสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งเกือบทั้งหมดเป็นทหาร ถือว่าเป็นการปูนบำเหน็จให้กับคณะรัฐประหารที่ทำให้จอมพล ป.ได้กลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่งทั่วประเทศ ภายใต้บรรยากาศการห้ามชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คน ของคณะบริหารประเทศชั่วคราว ทำให้การรวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองอย่างเปิดเผยเพื่อหาเสียงทำไม่ได้ ต้องต่างคนต่างหาเสียง ฝ่ายรัฐบาลจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบในการส่งคนสมัครรับเลือกตั้งเพราะมีอำนาจอยู่ในมือ
ดังนั้น พรรคฝ่ายค้านในขณะนั้นคือพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงการคัดค้านสภาพการณ์ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ด้วยการที่สมาชิกพรรคส่วนใหญ่ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง
การปฏิวัติเงียบจึงทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีอำนาจล้นฟ้า แม้ว่าจะมีอำนาจมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังคงมีกลุ่มบุคคลที่ท้าทายอำนาจรัฐบาลจอมพล ป.อยู่เนืองๆ รัฐบาลจึงได้ออกพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2495 ทำให้มีการจับกุมคุมขัง สังหารโหดบุคคลที่เคยมีส่วนร่วมกับนายปรีดี พนมยงค์ หลายคน
การต่อต้านรัฐบาลยังไม่ยุติ แต่รูปแบบการเคลื่อนไหวไม่ใช่การจับอาวุธขึ้นต่อสู้ เป็นการเคลื่อนไหวในกลุ่มของนักคิด นักเขียนที่สำคัญ เช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือศรีบูรพา อัศนีย์ พลจันทร์ สมัคร บุราวาส สุภา ศิริมานนท์ สุวัฒน์ วรดิลก และอุทธรณ์ พลกุล เป็นต้น ด้วยการเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทยที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
นักคิดนักเขียนเหล่านี้ได้รวมกลุ่มกันเพื่อคัดค้านการกระทำของรัฐบาลที่ขัดขวางสันติภาพ โดยรัฐบาลสนับสนุนการร่วมรบในสงครามเกาหลี ต่อมา พ.ศ.2495 เกิดความแห้งแล้งในภาคอีสาน คณะกรรมการสันติภาพสากลแห่งประเทศไทยได้เรียกร้องให้ประชาชนบริจาคส่งของเครื่องใช้แก่คนภาคอีสาน เมื่อคณะกรรมการชุดนี้เดินทางกลับจากการแจกสิ่งของในภาคอีสานก็ถูกจับ
รวมทั้งกลุ่มบุคคลที่ไปประชุมสันติภาพสากลที่ประเทศจีน เมื่อกลับมาก็ถูกจับให้ข้อหาเป็น "กบฏสันติภาพ" บุคคลสำคัญ เช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ อุทธรณ์ พลกุล และคนอื่นๆ ด้วยข้อหา "มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์" และยังกล่าวหาว่านายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งลี้ภัยอยู่ในประเทศจีนเป็นผู้นำขบวนการคอมมิวนิสต์
นอกจากนี้ ยังมีการจับกุมกวาดล้างครั้งใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2495 ในข้อหายุยงก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง เป้าหมายของการจับกุมครอบคลุมไปทุกวงการ ทั้งนักการเมือง นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยานายปรีดี พนมยงค์ ยังถูกจับในข้อหากบฏในราชอาณาจักร หรือกบฏสันติภาพ
นอกจากการจับกุมคุมขังบุคคลต่างๆ ที่รัฐบาลสงสัย หรือน่าเชื่อว่ามีส่วนยุยงส่งเสริมก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมืองแล้ว ยังมีนักการเมืองที่รัฐบาลเชื่อว่ายังจงรักภักดีต่อนายปรีดี พนมยงค์ ถูกสังหารโหด ได้แก่ นายเตียง ศิริขันธ์ และพรรคพวก
แม้ว่าความสำเร็จในการปราบปรามกบฏต่างๆ จะทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีอำนาจมากขึ้น จนกระทั่งมีแนวโน้มใช้อำนาจแบบเผด็จการมากขึ้น แต่กระบวนการต่อต้านจอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่ได้สิ้นสุดลง เพียงแต่วิธีการต่อต้านเปลี่ยนแปลง จากการยกกำลังมายึดอำนาจ เปลี่ยนเป็นต่อต้านในรูปแบบแนวคิดแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ผ่านการเคลื่อนไหวของนักคิด นักเขียนที่สำคัญ ทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม ต้องสร้างภาพของการคุกคามของคอมนิวนิสต์ว่าเป็นภัยที่ร้ายแรง และนำประเทศไปผูกพันกับสหรัฐอเมริกาที่มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์
การสร้างภาพให้เห็นว่าผู้ที่ต่อต้านอำนาจของตนเองเป็นคอมมิวนิสต์ และเป็นภัยที่ร้ายแรงต่อประเทศชาติ การใช้อำนาจจับกุมคุมขัง หรือการสังหารโหด เพราะเชื่อว่ามีแนวคิดเป็นคอมมิวนิสต์ ได้ผลักดันให้ประชาชน นักการเมือง นักคิด นักเขียน ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ไปยืนอยู่ฟากของการเป็นคอมมิวนิสต์ และนำไปสู่การใช้กำลังต่อสู้ประหัตประหารกัน
จนแม้กระทั่งเมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม หมดอำนาจลงไปด้วยการถูกปฏิวัติยึดอำนาจจากบริวารของตนเองแล้วก็ตาม แต่ได้เพาะเชื้อที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งต่อสู้ระหว่างผู้มีอำนาจกับประชาชนที่ยากไร้ในชนบท โดยเฉพาะในดินแดนที่แห้งแล้งกันดารขาดการเหลียวแลเท่าที่ควรจะเป็น
ทำให้การต่อสู้ระหว่างรัฐที่ต้องการรักษาอำนาจของตนเอง กับฝ่ายตรงข้ามที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ต้องต่อสู้กันอย่างยืดเยื้อยาวนาน กลายเป็นบาดแผลของสังคมในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์หลายครั้งหลายครา
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ทำให้เกิดการเรียนรู้ว่า แม้ว่ารัฐจะมีกฎหมายเป็นเครื่องมือในการให้อำนาจแก่ตนที่จะจัดการกับใครอย่างใดก็ได้ รวมทั้งการใส่ร้ายป้ายสี เที่ยวแขวนป้ายให้ประชาชนที่มีความคิดแตกต่างจากผู้มีอำนาจในรัฐ การปฏิบัติต่อประชาชนอย่างไม่เท่าเทียมกัน การไม่นำพาต่อการให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างถ้วนหน้าแล้ว แม้มีอำนาจจับกุมคุมขัง ปิดปาก ปิดหู ปิดตาประชาชน แต่ไม่อาจทำให้ประชาชนทุกคนสยบยอม ยอมรับอำนาจได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน เพราะในที่สุดจะพบกับความเสื่อมศรัทธาลงไปตามลำดับ แม้ว่าจะพยายามหลอกตัวเองว่ายังคงมีอำนาจอยู่ก็ตาม
เรื่องราวประวัติศาสตร์การเมืองในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ผ่านเวลามากว่า 60 ปี แต่ประวัติศาสตร์ย่อมเป็นบทเรียนที่จะแสดงให้เห็นว่า การใช้กำลังปราบปรามผู้ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากรัฐ การเที่ยวแขวนป้ายให้ใครเป็นผู้ก่อการร้าย ย่อมทำให้ความขัดแย้งรุนแรง เกิดการเผชิญหน้ามากขึ้น และไม่อาจทำให้รัฐมีอำนาจได้อย่างแท้จริง เพราะในที่สุดอำนาจที่ปราศจากความศรัทธาจากมหาชนอย่างถ้วนหน้า ย่อมดับสูญไปในที่สุดไม่เร็วก็ช้า
และเรื่องราวเหล่านี้จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลสืบไป
REF : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278586371&catid=02
วันที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:00:00 น. มติชนออนไลน์
วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
7 บทความ ฝรั่งมองไทย: สถาบันกษัตริย์ไทย กับม็อบพันธมิตรฯ
7 บทความ ฝรั่งมองไทย: สถาบันกษัตริย์ไทย กับม็อบพันธมิตรฯ
Author : BioLawCom (รวบรวมบทความ)
Quelle : BioLawCom.De
Category : บทความทั่วไป
Publisher : เชกูวารา
บทความทั่วไป
หมายเหตุ: - เรียงลำดับบทความตามวันที่ตีพิมพ์
- บทความต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถคลิ้กได้ที่ชื่อบทความ "ภาษาอังกฤษ"
บทความ ๑.
ม็อบและราชบัลลังก์ (The crowd and the crown)
From International Herald Tribune
December 1, 2008
โดย : Philip Bowring
แปลโดย : Thai E-News
ได้ข้อมูลผ่าน : Hello Siam
เป็นไปได้ไหมว่าสถาบันกษัตริย์ของเมืองไทยจะเดินไปทางเดียวกับประเทศเนปาล ที่ราชบัลลังก์ล่าสุดได้ถูกโค่นล้มและถูกเปลี่ยนไปเป็นระบอบสาธารณรัฐ ?
ความคิดนี้อาจฟังดูไร้สาระเมื่อพิจารณาว่า กษัตริย์ของเมืองไทย ภูมิพลอดุลยเดช ถูกกล่าวขานโดยมีคำนำหน้าว่า "ที่เคารพรัก" มาโดยตลอดโดยสื่อต่างชาติและถูกยกย่องเชิดชูโดยสื่อในประเทศมาโดยตลอด
แต่อย่างที่เนปาลได้พิสูจน์ให้เห็นว่า สถาบันกษัตริย์สามารถทำลายตนเอง เมื่อราชวงศ์เองมีการทะลาะเบาะแว้งกันหรือเมื่อราชวงศ์ที่ไร้ความสามารถทำ เลยเถิดจนก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่เกี่ยวกับสาธาณรัฐ
มันเป็นการควรที่คำนึงถึงกษัตริย์ Birendra ของเนปาลที่ได้รับการสักการะและเคารพในช่วงเวลา 30 ปีที่ครองราชย์ แต่หลังจากที่ถูกสังหารโดยลูกชายที่มีสติฟั่นเฟือน ในปี 2001 เขาก็ได้ถูกสืบทอดราชบัลลังก์โดย King Gyeandendra ซึ่งก็ได้ทำการยุบสภาในปี 2005 และพยายามจะบังคับให้ใช้ระบอบสมบูรณาฯหรือกษัตริย์มีอำนาจในการปกครองโดยตรง แต่มันก็เป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ระบอบสาธารณรัฐ และการประท้วงของขบวนการนิยมลัทธิเหมา ปูทางให้เกิดการเลือกตั้งและสถาบันกษัตริย์ก็ถูกล้มล้างไปในเดือนมีนาคม
เป็นไปได้ไหมว่ากลุ่มผู้ประท้วงที่อ้างว่าสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ที่ทำให้สนามบินของไทยเป็นอัมพาต กำลังหว่านเมล็ดของความไม่ไว้วางใจสถาบันกษัตริย์ในกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่เลือกรัฐบาลปัจจุบัน เข้ามาบริหารประเทศเมื่อ 11 เดือนที่แล้ว เป็นไปได้ไหมว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่แข็งกร้าวมันกลบความขุ่นเคืองใจที่กำลังทวีคูณขึ้นทุกวัน
กษัตริย์ภูมิพลโดยปกติ จะถูกนำเสนอให้เห็นว่าทรงอยู่เหนือการเมือง จะเข้ามาแทรกแซงก็ต่อเมื่อต้องการจะยุติความขัดแย้งหรือ
ทำให้อำนาจทหารและการเมืองกลับสู่สภาวะสมดุลย์
แต่โดยแท้จริงแล้ว ประวัติศาสตร์ไม่ใช่จะง่ายอย่างที่คิด โดยรวมแล้วก็ได้เห็นด้วยเป็นนัยๆต่อการรัฐประหารที่อ้างเสถียรภาพและความ สะอาดของรัฐบาล
แต่ในเหตุการณ์นี้การนิ่งเงียบของกษัตริย์ในช่วงโกลาหลที่เกิดจากกลุ่ม พันธมิตรนั้น มันดูเหมือนจะเป็นการบอกอะไรบางอย่าง มันอาจเป็นการสัญญาณเป็นนัยๆว่าเป็นการสนับสนุนการชุมนุม หรือไม่ก็ได้ ด้วยพระชนมมายุ 81 พรรษา และพระพลานัยที่ไม่แข็งแรงนักและกำลังไว้ทุกข์ให้แก่สมเด็จพระพี่นาง พระองค์จึงไม่มีพระราชประสงค์ที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทที่ เกี่ยวข้องกับการสืบทอดราชบัลลังก์
อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องสงสัยเลยว่า กลุ่มพันธมิตรได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางโดยสถาบันที่เกี่ยวกับ ข้าราชการ ระบบความยุติธรรม และกองทัพที่เกี่ยวข้องกับองคมนตรี ซึ่งนำโดยอดีตนายกฯเปรม ติณสูลานนท์ซึ่งอายุ 88 ปี การสนับสนุนโดยราชวงศ์
ซึ่งสามารถเห็นได้จากการที่พระราชินีได้เสด็จไปร่วมงานศพของฝ่ายพันธมิตรที่อ้างว่าเสียชีวิตจากระเบิดแก๊สน้ำตาซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
กองทัพไม่สามารถที่จะนำความสงบกลับคืนมา หรือหยุดปัญหาโดยทำรัฐประหารอีกครั้ง เพราะครั้งก่อนก็ล้มเหลวและไม่มีแผนรองรับที่ดีหลังรัฐประหารด้วย
"พันธมิตรประชาชนประชาธิปไตย" ก็เป็นการตั้งชื่อที่ผิดด้วย เพราะส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มาจากชนชั้นสูง หรือการสนับสนุนทางการเงินโดยชนชั้นสูงที่เกลียดและกลัวอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกขับไล่จากตำแหน่งโดยการรัฐประหารปี 2006 พวกเขาไม่ไว้ใจระบอบประชาธิปไตย และอ้างว่าเป็นตัวแทนของรัฐบาลที่สุจริต
ทักษิณแน่นอนได้ใช้อำนาจในทางที่ผิดโดยต้องการผลประโยชน์ทางการเมืองและ การเงิน และเขาก็สมควรที่จะถูกลดอำนาจลง แต่สิ่งที่ศัตรูของเขาไม่พอใจคือการกุมอำนาจ และการที่เขาพึ่งคะแนนเสียงจากกลุ่มคนในชนบท กลุ่มที่ไม่พอใจกับข่องว่างของรายได้ที่กว้างระหว่างพวกเขากับชนชั้นกลาง
กลุ่มคนที่สนับสนุนระบอบการปกครองแบบกษัตริย์มีความต้องการอย่างมากที่จะให้ทักษิณหมดอำนาจระหว่างที่จะมีการสืบทอดพระราชบัลลังก์ มกุฎราชกุมารได้รับความนิยมน้อยกว่าพระราชบิดา และบทบาทไนอนาคตของราชวงศ์รวมทั้งราชินีก็ไม่มีความแน่นอน
ทักษิณไม่ใช่นักนิยมสาธารณรัฐ แต่เหมือนกับผู้นำที่แข็งแกร่งในทศวรรษที่ 50 และ 60 อย่างจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่พึงพอใจจะให้สถาบันกษัตริย์เป็นแต่เพียงการรักษาสัญลักษณ์ของธรรมเนียม ปฎิบัติมากกว่า และไม่ต้องการที่จะให้สถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลางของอำนาจ ชนชั้นสูงต้องการเพียงที่จะใช้สถาบันกษัตริย์เพื่อเกื้อหนุนสถานะภาพของ ตนเอง เหมือนที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ผ่านทางพันธมิตร
แต่นี่อาจจะลงเอยด้วยการเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์มากกว่าไม่ใช่การช่วยเหลือ เลย และถ้ากลุ่มคนที่สนับสนุนทักษิณได้เปรียบในการต่อสู้ชิงอำนาจครั้งนี้ พวกเขาจะสร้างความไม่พอใจให้กับราชวงศ์ที่ไม่สามารถดึงดูดความเคารพรักที่ ให้แก่กษัตริย์ภูมิพล และความสำเร็จของชนชั้นสูงนั้นก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากทางกองทัพด้วย ซึ่งบุคคลที่มีอำนาจในกองทัพอาจปรากฏออกมา และลดบทบาทของกษัตริย์องค์ใหม่
ดังนั้นคนไทยที่ให้ความสำคัญกับบทบาทของกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ควรศึกษาประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นานมานี้ และอันตรายของการใช้ฝูงชนประท้วงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง.
--------------------------------
บทความ ๒.
ประเทศไทย และรัฐประหารเพื่อคนรวย
(Thailand and the Coup for the Rich )
From The Asia Sentinel
December 2, 2008
โดย : ใจ อึ๊งภากรณ์
แปลโดย : Invisible hands
ได้ข้อมูลผ่าน : กระทู้บอร์ดฟ้าเดียวกัน โดย สมเสร็จเปรม
เป็นไปตามคาดหมาย ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
ศาลรัฐธรรมนูญ ของประเทศไทยตัดสินยุบพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย เป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันอังคารนี้ ทำให้รัฐบาลต้องลาออก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่กองทัพและตำรวจปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่ง ของรัฐบาล ให้ยึดสนามบินนานาชาติทั้งสองซึ่งถูกยึดโดยกลุ่มพันธมิตรฟาสซิสต์คืน
กลุ่ม นิยมเจ้าต่อต้านรัฐบาลประกอบด้วยพันธมิตรฟาสซิสต์ ทหาร ตำรวจ ตุลาการ สื่อกระแสหลัก พรรคประชาธิปัตย์ นักวิชาการชนชั้นกลางส่วนใหญ่ และ ....... พวกเขาอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารโดยตุลาการครั้งนี้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่มนอกกฎหมายที่ทำการปิดสนามบินใน กรุงเทพฯทั้ง 2 แห่ง
พันธมิตรฯเสื้อเหลืองมีการ์ดติดอาวุธยิงปืนใส่ ศัตรูอยู่เสมอ พวกเขาใช้ความรุนแรงเป็นประจำและเรียกร้องให้มี"การดูแลความปลอดภัยร่วม"กับ ตำรวจ พันธมิตรฯละเมิดกฎหมายอยู่เสมอ แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ แม้นานๆครั้งพวกเขาจะต้องไปขึ้นศาล พวกเขาก็จะได้รับประกันตัวและอนุญาตให้กลับไปก่ออาชญากรรมเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำ เล่าเสมอมา
คนไทยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนจนต้องรับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด อันดับแรก พวกนิยมเจ้าชนชั้นสูงกำลังทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อพรากสิทธิ พื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยไปจากพวกเขา อันดับสอง คนงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังตกงานเนื่องจากการปิดสนามบิน ภาคเกษตรกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ต่างก็ได้รับผลกระทบเช่นกันและพวกเราก็กำลัง เผชิญหน้า
กับวิกฤติเศรษฐกิจโลกขั้นรุนแรง พวกชนชั้นสูงไม่สนใจว่าเศรษฐกิจไทยจะถูกทำลายเพียงใดหรือประเทศไทยจะกลับไป เป็นประเทศโลกที่ 3 หรือไม่ ในประเทศโลกที่ 3 พวกชนชั้นสูงต่างก็มีชีวิตเช่นเดียวกับคนรวยในประเทศที่พัฒนาแล้ว พันธมิตรฯเป็นพวกชนชั้นกลางหัวรุนแรงที่ไม่จำเป็นต้องไปทำงาน ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงชุมนุมอย่างยืดเยื้อ
เราได้รับการบอกกล่าวจาก พวกหัวอนุรักษ์อยู่เสมอว่าคนจนโง่เกินกว่าที่ควรจะมีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้ง กองทัพทำรัฐประหารใน พ.ศ. 2549 และเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่เพื่อลดพื้นที่ทางประชาธิปไตยและเพื่อนิรโทษกรรม ให้ตัวพวกเขาเอง ประชาชนได้เลือกพรรครัฐบาลเข้ามาบริหารด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นหลายครั้งหลาย หน ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทยของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร หรือพรรคพลังประชาชนที่รับช่วงต่อ ตอนนี้ นักการเมืองของพรรคพลังประชาชนกำลังย้ายไปพรรคใหม่ชื่อพรรคเพื่อไทย การเลือกตั้งที่ยุติธรรมจะเกิดขึ้นหรือไม่? หรือพวกชนชั้นสูงจะวางแผน"แก้ไข"เพื่อทำให้คนของพวกเขาชนะ ?
อะไรคือสาเหตุของวิกฤติครั้งนี้ ?
ต้นเหตุ ของวิกฤติครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องการคอรัปชันของรัฐบาลทักษิณในอดีต ไม่ใช่เรื่องการซื้อเสียง, ธรรมาภิบาล, สิทธิพลเมือง, หรือหลักนิติรัฐ นักการเมืองทุกพรรครวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์เป็นที่รู้กันดีว่าซื้อเสียง ทั้งนั้น พวกชนชั้นสูงไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ หรือทหาร ต่างก็มีประวัติคอรัปชันอย่างน่าสะอิดสะเอียน แม้เมื่อพวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย พวกเขาก็รวยด้วยการทำนาบนหลังแรงงานและชาวนายากจน พรรคประชาธิปัตย์เต็มไปด้วยเศรษฐีเหล่านั้น
เป็นเรื่องประหลาดที่ พรรคไทยรักไทยกลับทำให้การซื้อเสียงลดความสำคัญลงเพราะมันเป็นพรรคแรกในรอบ หลายทศวรรษที่มีนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนยากจนอย่างแท้จริง พวกเขาริเริ่มนโยบายประกันสุขภาพแบบครอบคลุมและนโยบายกองทุนหมู่บ้านแบบเศรษ ศาสตร์สำนักเคนส์ ประชาชนเลือกพวกเขาด้วยนโยบายเหล่านี้ พรรคประชาธิปัตย์และพวกชนชั้นสูงหัวอนุรักษ์เกลียดการร่วมมือระหว่างพรรคของ ทักษิณกับคนยากจน พวกเขาเกลียดความคิดที่รัฐบาลจะใช้งบประมาณสาธารณะเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของ คนยากจน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เครือข่ายต่อต้านรัฐบาลจึงเป็นเครือข่ายต่อต้าน ประชาธิปไตย พันธมิตรฯได้แนะนำให้ลดจำนวน ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งและยื่นข้อเสนอให้ยกเลิกหลักการ"หนึ่งคน หนึ่งเสียง" ดังนั้นต้นเหตุของปัญหาก็คือการที่ชนชั้นสูงอนุรักษ์ดูถูกเหยียดหยามคนจนและ รังเกียจประชาธิปไตย พวกเขาพร้อมที่จะละเมิดกฎหมายเมื่อมันเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา
อะไรคือทางออก ?
พวก นักธุรกิจและชนชั้นสูงนิยมเจ้ากำลังเรียกร้องรัฐบาลแห่งชาติที่ไม่ได้มาจาก การเลือกตั้ง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์"รับอาสา"เป็นนายกรัฐมนตรี! รัฐบาลแห่งชาติจะทำให้การรัฐประหารโดยตุลาการเพื่อคนร่ำรวยเสร็จสมบูรณ์ มันจะเป็นชัยชนะของพันธมิตรฯและเป็นความพ่ายแพ้ของผู้เลือกตั้ง
กลุ่ม เสื้อแดงที่ก่อตั้งโดยนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลเป็นความหวังเดียวของ ประชาธิปไตยไทย พวกเขาตอนนี้เป็นกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยเพื่อคนจนโดยแท้จริง นี่คือสิ่งที่เรียกว่า "ประชาสังคม" หาใช่พวกพันธมิตรฟาสซิสต์ไม่ นักวิชาการไทยไม่เข้าใจข้อเท็จจริงพื้นฐานข้อนี้ แต่กลุ่มเสื้อแดงก็ไม่ใช่กลุ่มที่มีความเห็นเดียว หลายคนมีภาพลวงตาเกี่ยวกับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร พวกเขามองข้ามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้และสงครามยาเสพติด ซึ่งประชาชนหลายร้อยคนถูกยิงเพราะเป็นผู้ค้ายาโดยปราศจากการจับกุม ตัดสินหรือพิสูจน์ แต่ประเด็นสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ก็ถูกละเลยอย่างสิ้นเชิงโดยพวกพันธมิตรฯและ เครือข่าย
ของเขาด้วยเช่นกัน
ตลอดวิกฤติที่ยาวนานกว่าสามปีนี้ ขบวนการเอ็นจีโอไทยส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน) ต่างล้มเหลวในการสนับสนุนประชาธิปไตย พวกเขาหลายคนอ้าแขนรับรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ด้วยความยินดี หลายคนสนับสนุนรัฐธรรมนูญของทหาร ตอนนี้พวกเขากำลังเงียบหรือไม่ก็พูดย้ำข้อเสนอของผู้บัญชาการทหารบก ที่พูดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่ารัฐบาลควรลาออก
พวกเขาไม่เคยพยายาม สร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่สนับสนุนประชาธิปไตย หลายคนเชื่อว่าคนจน "ไร้การศึกษา" และขาดข้อมูลเพียงพอที่จะเลือกตั้ง ตัวอย่างที่น่านับถือได้แก่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนที่เชียงใหม่ บางส่วนของขบวนการแรงงาน และกลุ่มนักกิจกรรมเอ็นจีโอรุ่นใหม่ๆ และกลุ่มเลี้ยวซ้าย
วิกฤติเศรษฐกิจ
คนหลายล้านคนต้อง สูญเสียงานเพราะวิกฤติเศรษฐกิจโลกและความวุ่นวายในสังคมไทย ผู้คนถูกผลักกลับไปสู่ความยากจน แต่กระนั้น พรรคประชาธิปัตย์ ทหาร ชนชั้นสูงนิยมเจ้า และเอ็นจีโอกระแสหลัก ก็ไม่เข้าใจหรือไม่แยแสเรื่องนโยบายที่จะปกป้องคุณภาพชีวิตของคนจนแม้แต่ นิดเดียว พวกเขาพร่ำสรรเสริญเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัวและความจำเป็นเรื่อง วินัยทางการ
คลัง พูดง่ายๆก็คือคนจนต้องลดรายจ่ายของเขาและเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่กับความยากจน ในขณะที่คนรวยก็มีชีวิตอยู่อย่างหรูหราต่อไป
พวก เราเรียกร้องให้รัฐใช้จ่ายกับถนนหนทาง การปกป้องงาน และการเพิ่มสวัสดิการ อย่างหมดหวัง ภาษีมูลค่าเพิ่มควรจะต้องถูกลดหรือกำจัดให้หมดไป และควรเรียกเก็บภาษีชนชั้นสูงที่ร่ำรวยให้สูงขึ้นอย่างไม่มีข้อยกเว้น งบทหารมหาศาลควรถูกตัด ค่าแรงควรเพิ่ม ชาวนายากจนควรได้รับการปกป้อง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ในบรรยากาศประชาธิปไตยที่แท้จริงเท่านั้น นี่เป็นเหตุผลที่เราต้องต่อต้าน"รัฐประหารเพื่อคนรวย"ครั้งที่ 2 ครั้งนี้.
---------------------------------
บทความ ๓.
บทวิเคราะห์ : ข่าวลือรอบ ๆ สถาบันกษัตริย์ไทย และชัยชนะของพันธมิตรฯ
(Analysis: dark rumours around Thai monarchy and PAD victory)
From The Times
December 3, 2008
โดย : Richard Lloyd Parry
แปลโดย : Invisible hands
ได้ข้อมูลผ่าน : กระทู้บอร์ดฟ้าเดียวกัน โดย สมเสร็จเปรม
ดูภายนอก สำหรับนักท่องเที่ยวกว่าสองแสนคนที่ต้องไปค้างในโรงแรมและห้องโถงผู้โดยสารขาออกเมื่อสัปดาห์ก่อน มันดูเหมือนเป็นวิธีแก้ปัญหาไร้สาระด้วยความเมตตาปรานี เมื่อคืนนี้ หลังจากที่นายกรัฐมนตรีไทยถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ประกาศว่า พวกเขาจะเลิกการชุมนุม
พวกเสื้อเหลืองจะออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ การยึดทำเนียบรัฐบาลในใจกลางกรุงเทพฯกว่า 3 เดือนจะยุติลง
อย่างไรก็ตาม การคิดว่าประเทศไทยกลับเข้าสู่ความสงบแล้วนั้นเป็นการคิดผิด
ปรากฏการณ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา – ที่นักท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมการส่งออกของทั้งประเทศถูกจับเป็นตัวประกันโดยคนชั้นก
ลางบ้าคลั่งหลายพันคน – แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอันน่าสะพรึงกลัวที่เข้ามาสู่ประเทศไทยตลอดสามปีที่ผ่านมา
จากที่เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสถียรภาพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้มันกลายเป็นสถานที่ประชาธิปไตยแทบจะหยุดทำงาน
คำถามหลักคือ ม็อบที่อย่างมากก็มีเพียงอาวุธเบา สามารถยึดสถานที่ที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น สนามบิน ได้อย่างง่ายดายและยาวนานมากได้อย่างไร
ถ้าทหารต่างชาติหรือผู้ก่อการร้าย เช่น พวกที่โจมตีมุมไบเมื่อสัปดาห์ก่อน บุกสนามบินสุวรรณภูมิแล้วล่ะก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตำรวจและทหารไทยจะต่อสู้กับพวกนั้นไปแล้ว มันไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถเอาพันธมิตรฯออกมาได้ พวกเขาเลือกที่จะไม่ทำ
และนี่ก่อให้เกิดคำถามสำคัญ – ใครเป็นคนบริหารประเทศไทยกันแน่?
ทั้ง ๆ ที่มีชื่อว่าเพื่อประชาธิปไตย พันธมิตรฯ กลับสนับสนุนให้รัฐธรรมนูญลดขอบเขตประชาธิปไตยเพื่อลดอิทธิพลของผู้ลงคะแนน
เสียงในชนบท ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงข้างมากอาจปฏิเสธการเมืองของพันธมิตรฯ แต่ จากความไม่สะทกสะท้านของพันธมิตรเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นว่ามันมีผู้อยู่เบื้องหลังจากสถาบันที่มีอำนาจมากพอที่ทำให้ ตำรวจและทหารต้องหวั่นกลัว
พวกเขาเป็นใคร ? คำตอบที่ได้รับ แม้ว่าจะมาจากคนไทยที่รู้ข้อมูลมากที่สุด ก็ยังคลุมเครือและยากจะพิสูจน์ ไม่ต้องสงสัยว่าผู้สนับสนุนพันธมิตรฯหลายคนเพียงแค่เกลียดทักษิณ ชินวัตร และเกลียดการที่เขาเอาใจคนยากจนตามชนบท แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อธิบายว่าทำไมพวกเขาถึงสามารถละเมิดกฎหมายอย่าง โจ่งแจ้งได้ถึงเพียงนี้
สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำม็อบ เป็นเจ้าพ่อสื่อผู้มั่งคั่ง แต่ลำพังตัวเขาเองไม่สามารถทำให้พันธมิตรฯชุมนุมยืดเยื้อขนาดนี้ได้
ข่าวลือ ลึกลับ – และมากกว่านั้นนิดหน่อย – กล่าวว่า พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากสถาบันกษัตริย์ไทยที่ทรงอำนาจ บางทีอาจมาจากพระราชินีสิริกิติ์ผู้แสดงความเห็นใจอย่างชัดแจ้งต่อพันธมิตรฯ ที่บาดเจ็บจากการปะทะกับตำรวจ คาดเดากันว่า พระองค์สนับสนุนพันธมิตรฯ เพื่อต่อต้านอิทธิพลของทักษิณที่ว่ากันว่ามีเหนือพระโอรสของพระองค์ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณผู้ไม่เป็นที่นิยม
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องยากแม้แต่จะพูดถึงในประเทศไทยที่ซึ่งผู้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือทำให้กษัตริย์เสื่อมเสียชื่อเสียง จะต้องรับโทษถึงขั้นจำคุก ไม่ว่าอะไรคือความจริงที่อยู่เบื้องหลังม็อบพันธมิตรฯที่ชั่วร้าย มันจะยังคงส่งอิทธิพลต่อไปยาวนานหลังจากที่นักท่องเที่ยวที่โศกเศร้ากลับบ้านไปแล้ว.
---------------------------------------
บทความ ๔.
ผู้ประท้วงชาวไทยทำสำเร็จได้อย่างไร ?
(How did Thai protesters manage it ?)
From BBC News December 3, 2008
โดย : Jonathan Head
แปลโดย : มือที่มองไม่เห็น
ได้ข้อมูลผ่าน : Hello Siam
หลังประกาศชัยชนะ ฝูงเสื้อเหลืองพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ม้วนเสื่อและถุงนอนของพวกเขา
พวกเขาต่อคิวรับของที่ระลึกเป็นผ้าพันคอ (แน่นอน สีเหลือง) ที่มีลายเซ็นแกนนำที่พาพวกเขาก่อจลาจลที่น่าประหลาดใจ แล้วพวกเขาก็ขึ้นรถบัสและรถปิคอัพกลับบ้าน ฝูงคนทำความสะอาด ช่าง และ รปภ. กลับเข้ามาทำสนามบินอันทันสมัยของกรุงเทพฯมูลค่ากว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ให้ใช้งานได้อีกครั้ง
ภายในไม่กี่วัน การประท้วงครั้งนี้จะกลายเป็นความทรงจำเหมือนฝัน
แต่คำถามที่การกระทำของพวกเขาได้ทิ้งไว้เกี่ยวกับรัฐไทย จะยังคงอยู่ต่อไปอีกนานหลังจากที่มือตบพลาสติกชิ้นสุดท้ายถูกหยิบไปทิ้ง ประเทศที่เจริญและพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวเท่ากับประเทศไทย จะปล่อยให้ศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญยิ่งถูกบุกรุกโดยม็อบที่ไม่เคยมีคนมาก ไปกว่าไม่กี่พันคนได้อย่างไร?
พันธมิตรฯ คือใคร และอะไรทำให้พวกเขามีความมั่นใจที่จะก่อวินาศกรรมทางเศรษฐกิจโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายใด ๆ ?
ตำรวจอ่อนแอ
การประท้วงในสนามบินแสดงให้เห็นฝีมือของพันธมิตรฯในการทำงานเสี่ยงอันตราย ที่อาจหาญและและไม่คาดคิด เมื่อขบวนรถพันธมิตรฯขบวนแรกเข้าใกล้สนามบินเมื่อวันอังคารที่แล้ว พวกเขาบอกว่าพวกเขาเพียงต้องการประท้วงนายกรัฐมนตรีสมชาย วงสวัสดิ์ ซึ่งมีกำหนดกลับจากการประชุมเอเปคที่เปรู
รัฐบาลมีแผนหลีกเลี่ยงการปะทะ พวกเขาไม่ต้องการซ้ำรอยเหตุการณ์หายนะในเดือนตุลาคม ที่พันธมิตรฯหลายคนได้รับบาดเจ็บรุนแรงในการปะทะกับตำรวจ
ตำรวจได้รับคำสั่งไม่ให้ใช้กำลัง จึงต้องถอยไม่มีใครคาดคิดว่าพันธมิตรฯจะพยายามยึดหนึ่งในสนามบินที่ใหญ่ ที่สุดและคนพลุกพล่านมากที่สุดในโลก
ความจริงแล้ว ผู้จัดตั้งม็อบพันธมิตรฯหลายคนบอก BBC ว่าพวกเขาวางแผนยึดสนามบินไว้อย่างรอบคอบเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
ความอ่อนแอของตำรวจไทยคือ สิ่งสำคัญเช่นกัน
พวกเขาไม่อาจเทียบกับม็อบที่มีความแน่วแน่และจัดตั้งมาอย่างดีแบบนี้ได้เลย พวกเขาไม่ได้รับการฝึกควบคุมจลาจลมาดีนัก และยังขาดสถานะของกองทัพ เมื่อเป็นที่ชัดเจนว่าพันธมิตรฯต้องการยึดสนามบิน ผู้ว่าจังหวัดจึงขอความช่วยเหลือจากกองทัพ ไม่มีใครมาแม้แต่คนเดียว
ตลอดปีนี้ การที่กองทัพปฏิเสธให้ความช่วยเหลือควบคุมม็อบพันธมิตรฯทำให้รัฐบาลไม่มี หนทางต้านการจลาจลนี้ได้ ตำรวจกำลังเผชิญหน้ากับองค์กรที่มีความแข็งแกร่งด้านการส่งกำลังบำรุงอย่าง มหาศาล
มันเป็นม็อบที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีและมีเงินทุนหนาแน่น
ประสิทธิภาพการส่งบำรุงกำลัง
หนึ่งในนายพลเกษียณที่ให้การสนับสนุนการยึดสยามบินให้ความเห็นว่า ม็อบนี้ควรถูกมองว่าเป็นกำลังทหาร ไม่ใช่องค์กรของพลเรือน ที่ยืนหลัง "ป้าๆกับมือตบ" และสาวๆแต่งตัวดีจูงสุนัขตัวเล็กๆ ดังภาพที่ปรากฏในสื่อ คือกลุ่มนักเลงถือไม้ ตะปู ปืนพก เฝ้าด่านและตามล่าผู้บุกรุกเช้าวันหนึ่ง
ผมตามพวกเขาไป พวกเขาลากคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นสายสืบของรัฐบาลไปยังสถานที่ที่ไม่เปิดเผย และเตะต่อยเขาผมไม่อาจทราบชะตากรรมของเขาได้ อันธพาลบางคนเหล่านี้เป็นสมาชิกกองทัพส่วนตัวของพวกนายพลเกษียณประสิทธิภาพ การส่งบำรุงกำลังของพันธมิตรฯนั้นน่าประทับใจ
ภายในไม่กี่ชั่วโมงของการยึดสนามบิน มันก็มีเสบียงอาหาร น้ำ ผ้าห่ม และยา พร้อมสำหรับผู้เข้าร่วมการประท้วงหลายพันคนอาหารไม่เคยขาดแคลน คุณสามารถชาร์จมือถือของคุณหรือส่งข้อความก็ได้ คนทำสะอาดของพันธมิตรฯคอยทำความสะอาดพื้นและห้องน้ำ ร้านค้าปลอดภาษีและที่เช็กอินถูกปิดไม่ให้เข้า และได้รับการปกป้องโดยการ์ดพันธมิตรฯ
อาวุธโฆษณาชวนเชื่อของพันธมิตรฯก็น่าประทับใจไม่แพ้กันมันมีสถานีโทรทัศน์ ส่วนตัวชื่อ ASTV ซึ่งแพร่ภาพไปทั่วและโจมตีรัฐบาลไม่ขาดสายไม่ว่าม็อบจะไปที่ไหน มันจะมีเวทีเคลื่อนที่ ซึ่งอยู่บนหลังคารถบรรทุกที่คอยแพร่เสียงการปราศัยและดนตรี
ตั้งแต่เช้ามืดไปจนหลังเที่ยงคืนสารของมันเรียบง่าย: อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร คือปีศาจ ขโมยเงินของประชาชน และจะทำลายประเทศ คนจนในชนบทที่เลือกพรรคของเขาต่างถูกซื้อ และไม่อาจคิดด้วยตัวเองได้
บางคนที่เข้าร่วมการยึดสนามบินนั่งฟังการปราศัยของนักปลุกระดมเหล่านี้มา หลายเดือนไม่หยุดหย่อนพวกเขาเชื่ออย่างแรงกล้าว่าการกระทำของพวกเขาคุ้มค่า กับความเสียหายที่เกิดขึ้่นกับประเทศ
เพื่อการเมืองไทยที่ใสสะอาดคำถามที่ว่าใครอยู่เบื้องหลังพันธมิตรฯยังคงเป็น เรื่องที่คาดเดากันอย่างมากมายในประเทศไทยผมพบกับนักธุรกิจเชื้อสายจีนหลาย คนที่สนามบินซึ่งคอยช่วยสนับสนุนเสบียงให้พันธมิตรฯแต่เชื่อกันว่า ธุรกิจไทยที่ใหญ่กว่านี้หลายเท่า เป็นผู้สนับสนุนม็อบด้านการเงิน ซึ่งรวมถึงธนาคารไทยสองแห่งเป็นอย่างน้อย
การสนับสนุนจากพระราชวัง ?
ทักษิณ ชินวัตร สร้างศัตรูกับผู้มีอิทธิพลไว้จำนวนมากขณะที่เขาเป็นนายกฯ ด้วยความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ
พวกเขาเหล่านี้กำลังใช้นักรบพันธมิตรฯแก้แค้นพรรคของทักษิณ มีอดีตนายทหารมากมายที่ให้ความช่วยเหลือพันธมิตรฯ เช่น พล.อ.ปฐมพงศ์ เกษรศุกร์ ผู้เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้กองทัพทำรัฐประหารขับไล่รัฐบาลหนึ่งในแกนนำ พันธมิตรฯ คือ จำลอง ศรีเมือง อดีตนายพลที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ปรึกษาสูงสุดของกษัตริย์
ดังนั้น จึงเกิดคำถามที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกมากที่สุด นั่นคือ ความสัมพันธ์กับพระราชวังพันธมิตรฯอ้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของพวกเขา ว่าเป็นการปกป้องสถาบันกษัตริย์ พระบรมฉายาลักษณ์ถูกแสดงเด่นชัดตลอดการชุมนุมบุคคลใกล้ชิดกับพระราชวังระดับ สูงหลายคนสนับสนุนม็อบอย่างเปิดเผย
เมื่อพระราชินีรับเป็นประธานในงานศพของพันธมิตรฯคนหนึ่งที่เสียชีวิตระหว่างการปะทะกับตำรวจ มันดูเหมือนการให้พรแก่ม็อบอย่างเป็นนัยๆ
บางคนในรัฐบาลยังเชื่อด้วยว่ากษัตริย์ผู้เป็นที่เคารพอาจกำลังสนับสนุนม็อบ แม้ว่าด้วยพระชนมายุกว่า 81 พรรษา เรื่องนี้ดูไม่น่าเป็นไปได้ยากที่จะหาหลักฐานแน่ชัดได้ แต่การเคลื่อนไหวของประชาชนในประเทศไทยตอนนี้กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่ พวกเขาเชื่อว่าจริง
รัฐบาลและผู้สนับสนุนตามชนบท เชื่อว่า พระราชวัง กองทัพ และชนชั้นสูง วางแผนปล้นสิทธิเลือกตั้งของพวกเขา
พันธมิตรฯและผู้สนับสนุนชนชั้นกลาง เชื่อว่า ฝ่ายทักษิณตั้งใจจะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นสาธารณรัฐ และทำลายระเบียบสังคมที่มีอยู่ด้วยเชื่อว่าเดิมพันครั้งนี้สูงยิ่งนัก
การประนีประนอมระหว่างสองฝ่ายจึงแทบเป็นไปไม่ได้.
-----------------------------
บทความ ๕.
สถาบันกษัตริย์ของไทย กษัตริย์กับประชาชนไทย :
เรื่องเร้นลับเกี่ยวกับบทบาทของพระราชวัง ต่อความความล้มเหลวของประชาธิปไตยไทย
(The untold story of the palace’s role behind the collapse of Thai democracy)
From The Economist
December 4, 2008
บทบรรณาธิการ The Economist
แปลโดย : saraburian (บอร์ดฟ้าเดียวกัน)
ธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย อุตสาหกรรมการส่งออก และภาพลักษณ์ของประเทศได้ถูกทำลายลงราบคาบจากเหตุการณ์ทั้งหลายที่เพิ่งเกิดขึ้น บรรดาผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์ได้เข้ายึดพื้นที่ในหน่วยราชการหลายแห่งเป็นเวลาหลายเดือน และได้เข้ายึดสนามบินกรุงเทพฯทั้งสองแห่ง ตำรวจไทยปฏิเสธที่จะทำการขับไล่กลุ่มผู้ชุมนุม กองทัพก็ปฏิเสธที่จะเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือ สัปดาห์นี้เองการยึดสนามบินจบลงหลังจากที่ศาลได้ตัดสินยุบพรรคการเมืองสามพรรคที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ทั้งสามพรรคมีแผนที่จะตั้งพรรคขึ้นใหม่ภายใต้ชื่อใหม่ และร่วมกันบริหารประเทศต่อไปท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังครุกรุ่น เปรียบดั่งเปลือกหุ้มแห่งความทันสมัยอันเป็นผลของการพัฒนาแบบก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 ได้ลอกคราบบาง ๆของมันออกมาเสียแล้ว ทั้งที่ไม่นานมานี้ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่า เป็นหัวขบวนของเอเชีย ในความเป็นสังคมอันเปิดกว้างที่ยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย ตอนนี้ดูเหมือนประเทศไทยกลับค่อย ๆ คืบคลานเข้าสู่ความเป็นอนาธิปไตย
ความขัดแย้งเริ่มปรากฎเมื่อสามปีที่แล้วจากการชุมนุมประท้วงที่สงบและเป็นระเบียบ เพื่อต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวงและการใช้อำนาจในทางที่ผิดของรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร บรรดาผู้ประท้วงซึ่งแต่งกายในชุดสีเหลืองอันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของกษัตริย์ ซึ่งกล่าวหาว่าทักษิณเป็นผู้ที่มีแนวความคิดแบบสาธารณรัฐนิยมประสบความสำเร็จ เมื่อบรรดานายทหารผู้จงรักภักดีได้ทำการยึดอำนาจจากทักษิณเมื่อปี พ.ศ. 2549 แต่เมื่อประชาธิปไตยได้กลับมาเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว คนไทยส่วนใหญ่ได้ลงคะแนนเสียงเลือกพรรคการเมืองซึ่งเป็นมิตรกับทักษิณเข้ามาบริหารประเทศ บรรดาผู้ประท้วงสวมเสื้อเหลืองซึ่งเรียกตนเองอย่างไม่ค่อยจะตรงกับความจริงนักว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กลับมาก่อการประท้วงอีกครั้ง รวมทั้งได้นำเอาวิธีการอันเป็นอันธพาลมากยิ่งขึ้นมาใช้ ซึ่งกระตุ้นให้บรรดาผู้ที่สนับสนุน ทักษิณรวมตัวกันสู้โดยมีสัญลักษณ์เป็นเสื้อสีแดง
พูดไม่ได้
ตลอดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น สิ่งที่มิอาจพูดถึงได้ ซึ่งไม่ใช่เพียงเฉพาะโดยสื่อสารมวลชนไทย แต่รวมถึงโดยผู้สื่อข่าวต่างชาติส่วนใหญ่ด้วยนั้น ก็คือ บทบาทของกษัตริย์ภูมิพล ราชวงศ์ และผู้รับใช้ใกล้ชิดทั้งหลาย กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งถูกบังคับใช้อย่างรุนแรงที่สุดในบรรดาทุกประเทศทั่วโลก เป็นเกราะกำบังสำคัญที่ทำให้แม้แต่การเอ่ยถึงบทบาทของราชวงศ์ แม้แต่อย่างที่สุภาพที่สุดก็ยังถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามในที่สาธารณะ กฎหมายดังกล่าว ซึ่งถือว่าตกสมัยไปแล้วในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกแต่ในประเทศไทยกลับได้ถูกนำมาปรับใช้อย่างแข็งขันในช่วงทศวรรษ 1970 เป็นความพิลึกยิ่งที่ใครก็ได้ สามารถที่จะฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งตำรวจจะต้องดำเนินคดีอย่างจริงจังแม้กับข้อหาขี้ประติ๋ว
ทั้งหมดนี้ทำให้กฎหมายดังกล่าวเป็นเครื่องมือย่างดีสำหรับนักการเมืองหรือใครก็ตามที่ต้องการจะทำลายศัตรูของตน และบ่อยครั้งสื่อสารมวลชนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้อธิบายถึงรายละเอียดของข้อกล่าวหาที่มีต่อราชวงศ์ ทำให้คนไทยไม่มีทางเลยที่จะได้รับทราบว่าข้อกล่าวหาที่ว่าเป็นการไม่เคารพต่อราชวงศ์จริง ๆ หรือไม่
กฎหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพนับเป็นความโหดเหี้ยมในตัวเองอยู่แล้ว และไม่ควรถูกนำมาบังคับใช้ในประเทศใดก็ตาม ที่ประกาศตนว่าเป็นประชาธิปไตย แย่ยิ่งกว่านั้นอีก ก็คือ การที่กฎหมายดังกล่าวปิดบังให้คนไทยทราบถึงเหตุผลบางประการที่เป็นต้นเหตุของปัญหาของการเมืองของประเทศตน แม้แต่สิ่งที่กษัตริย์เองตรัสเรียกว่าเป็นความ “มั่ว” ของประเทศไทยนั้น ก็มีสาเหตุในหลาย ๆ ทางที่มาจากการเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมืองของตัวพระองค์เอง ตลอด 62 ปีที่ทรงครองราชสมบัติ (โปรดดูบทความประกอบ) ส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนี้เป็นผลอันเกิดจากแก่งแย่งซึ่งอำนาจก่อนการเปลี่ยนรัชสมัย ยิ่งเหตุการณ์ที่พระมหากษัตริย์เองจะทรงมีพระชมมพรรษาครบ 81 พรรษาในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ยิ่งทำให้เหตุการณ์ที่นับวันยิ่งทวีความสำคัญยิ่งๆขึ้นเรื่อย ๆ
รายละเอียดส่วนใหญ่ของเรื่องราวที่ว่า การกระทำของกษัตริย์ได้ทำลายระบบการเมืองของประเทศตนอย่างไรนั้น เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นหู เพราะคนไทยไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับทราบ หลายคนจะพบว่า ข้อวิพากษ์วิจารณ์ของเราทำให้พวกเขาไม่สบอารมณ์ และโมโหเป็นฟืน เป็นไฟ แต่เราคิดว่า เราคงไม่ทำการการวิพากษ์วิจารณ์ครั้งนี้หากเราไม่เห็นว่ามันไม่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวิจารณ์
ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องเปิดกว้างต่อการอภิปรายในเรื่องนี้เพื่อที่จะเตรียมตนเองสำหรับการที่จะมีผู้ที่ได้รับการยอมรับนับถือน้อยกว่าขึ้นเป็นกษัตริย์ ไม่ดีแน่ ๆ ที่ประเทศใดจะหลอกตนเองกับประวัติศาสตร์ในแบบเทพนิยายปรัมปรา ซึ่งเชื่อว่ากษัตริย์ของตนนั้นไม่เคยทำสิ่งใดผิดเลย ทรงอยู่เหนือการเมือง และทรงเข้ามาแทรกแซงเพื่อรักษาประชาธิปไตยเท่านั้น ทั้งหมดนี้ไม่เป็นความจริงเลย
ประวัติศาสตร์ไทยฉบับเป็นทางการ ย้ำแล้วย้ำอีกกับเหตุการณ์ เช่นในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งกษัตริย์ภูมิพลได้แทรกแซงให้ทรราชมือเปื้อนเลือดลาออก และเป็นอิทธิพลสำคัญให้ประเทศกลับสู่ภาวะประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง แต่เหตุการณ์อื่น ๆ ซึ่งมีการแทรกแซงจากกษัตริย์ และราชวงศ์ในทางที่ส่งผลเสีย กลับไม่ได้รับการกล่าวถึง หรือนำมาอภิปรายเลย
ในปี พ.ศ. 2519 ในขณะที่กษัตริย์ภูมิพลมีความกลัวจนเกินกว่าเหตุกับภัยร้ายจากลัทธิคอมมิวนิสต์ กษัตริย์ได้ทรงละเลยถึงความโหดร้ายป่าเถื่อนของขบวนการขวาจัดซึ่งสมาชิกได้รุมเข่นฆ่ากลุ่มผู้ประท้วง นักศึกษาที่ไร้อาวุธ ในช่วงสงครามเย็น อเมริกา เห็นว่า กษัตริย์ภูมิพลเป็นพันธมิตรที่สำคัญยิ่ง และได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อกระบวนการสร้างภาพลักษณ์ของกษัตริย์ภูมิพล ความร่วมมืออันยาวนานนี้ ผนวกกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ถูกบังคับใช้อย่างรุนแรง เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้บรรดานักการฑูต นักวิชาการ และ ผู้สื่อข่าวจากโลกตะวันตกยอมกลืนเลือดตัวเองโดยการหุบปากเงียบจากการวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ
หลังจากเหตุการณ์การรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นครั้งที่ 15 ในรัชสมัยของกษัตริย์ภูมิพล เจ้าหน้าที่ทางการของไทยพยายามที่จะบอกชาวต่างชาติว่า รัฐพิธีบีบบังคับให้กษัตริย์ต้องยอมรับการยึดอำนาจของนายทหารในกองทัพ ในขณะที่คนไทยถูกบอกอีกอย่างหนึ่งว่า กษัตริย์ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้คณะผู้ก่อการรัฐประหารเข้าเฝ้าฯ และหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ได้ตีพิมพ์ภาพดังกล่าวในหน้าหนึ่งเสมือนเป็นการบอกว่า กษัตริย์ได้ให้การยอมรับกับการยึดอำนาจดังกล่าว
ในความเป็นจริงแล้วกษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจที่จะแสดงออกว่า ทรงไม่พอพระราชหฤทัยต่อการยึดอำนาจ หากทรงเห็นเช่นนั้นโดยการสั่งการให้กำลังทหารภายใต้พระองค์ออกมาต่อสู้ หรือแม้แต่การที่จะเลือกทรงนิ่งเฉยไม่ยอมรับผลดังกล่าวก็ได้ แต่ทรงกลับเลือกที่จะใช้พระราชอำนาจในอีกทางหนึ่งแทน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 ซึ่งได้ทรงมีพระราชดำรัสต่อบรรดาผู้พิพากษาให้ดำเนินการจัดการกับวิกฤตการเมืองนั้น บรรดาศาลดูเหมือนจะได้แปลพระราชประสงค์ออกมาในรูปของการเร่งดำเนินการกับคดีต่าง ๆ ต่อตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายของเขา โดยล่าสุด มีการตัดสินยุบพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลทั้งสามพรรคลง
อนาคตอันไร้ซึ่งเทพนิยาย
ในจินตนาการของคนไทยผู้นิยมเจ้า ประเทศของพวกเค้านั้นเหมือนกับภูฏาณ ประเทศซึ่งมีกษัตริย์หนุ่มที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รักของประชากรทั้งหลาย ซึ่งมีเพียงไม่กี่แสนคนซึ่งยินดีกับการอยู่ภายใต้การปกครองแบบกษัตริย์มากกว่าระบอบประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริง ท่ามกลางความโกรธแค้นของสาธารณะชนต่อการสนับสนุนของพระราชินีต่อวิธีการอันเป็นอันธพาลของพันธมิตรฯ รวมถึงการมองเห็นถึงความไม่เหมาะสมในตัวรัชทายาท ที่นับวันยิ่งกระชั้นชิดต่อการขึ้นครองราชย์ ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่เผชิญกับเหตุการณ์เฉกเช่นที่เกิดกับประเทศเนปาล คือ สงครามกลางเมือง และการที่กษัตริย์ที่ได้มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองปัจจุบัน ได้กลายเป็นประชาชนธรรมดาในประเทศสาธารณรัฐไปเสียแล้ว
พันธมิตรฯ ซึ่งได้รับการอุ้มชูและให้ท้ายโดยพระราชวัง แต่กลับกลายมาเป็นสิ่งที่บ่อนเซาะทำลายพระราชวังเสียเอง ภาพที่ปรากฎซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อสาธารณชนในหลายวันที่ผ่านมา ก็คือ บรรดาอันธพาลในกลุ่มผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ ได้ยิงทำร้ายผู้สนับสนุนรัฐบาลในขณะที่ชูพระบรมฉายาลักษณ์ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า กษัตริย์และราชวงศ์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาใหญ่นี้ และประทับอยู่เหนือสุดในลำดับชั้นอันไม่สิ้นสุดในสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันนี้ คุณไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อในการปกครองแบบสาธารณรัฐที่จะเห็นด้วยว่าเป็ ความจำเป็นที่จะต้องอภิปรายได้อย่างเปิดเผยต่อเรื่องนี้แล้ว
ก่อนที่ ดิ อีโคโนมิสต์ จะตีพิมพ์บทความชิ้นนี้ ในคืนวันก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษา มีรายงานว่า กษัตริย์ภูมิพล ทรงมีพระอาการป่วยและไม่ทรงสามารถที่จะพระราชทานพระราชดำรัสได้อย่างที่ทำเป็นประจำทุก ๆ ปี ดังนั้นกษัตริย์ภูมิพลจึงยังไม่ได้ออกมาแสดงความไม่เกี่ยวข้องของพระองค์เอง กับ บรรดาบุคคลในเสื้อเหลืองที่อ้างว่าพวกเค้านั้นดำเนินการต่าง ๆ เพื่อพระองค์ การนิ่งเฉยของกษัตริย์ได้ส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อระบบนิติรัฐของประเทศไทย กระนั้นก็ดีพระองค์ก็ยังทรงเป็นบุคคลเดียวที่จะสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ โดยการออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันคร่ำครึรวมทั้ง การตัดรัฐธรรมนูญส่วนที่สนับสนุนกฎหมายดังกล่าวทิ้งเสียทั้งหมด สิ่งนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนไทยสามารถร่วมกันอภิปรายเพื่อหาทางออกสำหรับอนาคตของตนได้
กษัตริย์ภูมิพลได้เคยกล่าวถึงกฎหมายดังกล่าวอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ เมื่อปีพ.ศ. 2548 ว่า ตัวพระองค์เองไม่ได้ทรงอยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ แต่สิ่งใดก็ตามที่น้อยกว่าการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทิ้งทั้งหมด ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาใหญ่นี้ได้ ใครก็ตามที่เป็นมิตรแท้กับประเทศ และประชาชนไทยต้องช่วยกันบอกประเทศไทย.
----------------------
บทความ ๖. (ภาคละเอียดของบทความ ๕)
พระเจ้าแผ่นดินของไทย กับวิกฤตของประเทศ :
ความวุ่นวายที่เกิดจากพระเจ้าแผ่นดินอย่างแท้จริง
(Thailand's king and its crisis : A right royal mess)
From The Economist
December 4, 2008
บทบรรณาธิการ The Economist
แปลโดย : freethai (บอร์ดฟ้าเดียวกัน)
ได้ข้อมูลผ่าน : Hello Siam
ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่มีทางออกของไทยเป็นผลมาจากคำสั่งต้องห้ามบางประการของราชวงศ์ และนี่คือเหตุผลที่ว่าข้อห้ามเหล่านั้นจะต้องถุกยกเลิก แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด ได้รับการบูชาจากประชาชนเสมือนว่าเป็นสมมติเทพ ก็ยังไม่มีชีวิตที่เป็นอมตะ คนไทยถูกเตือนถึงความจริงข้อนี้จากงานพระราชพิธีศพที่กินเวลานานถึงหกวัน ที่จัดขึ้นตามโบราณราชพิธี สำหรับงานศพของเจ้าฟ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา พี่สาวของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล มีการพูดกันในกรุงเทพว่า การจัดงานดังกล่าวเป็นเสมือน “การซ้อมใหญ่” สำหรับวันสุดท้ายของยุคสมัยของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ที่ครองราชย์ยาวนานถึง ๖๒ ปี ก่อนหน้าวันเกิดครบรอบ ๘๑ ปีของพระองค์ ในปีนี้ พระองค์ได้ปรากฏกายในที่สาธารณะน้อยมาก และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ ก็ทรงดูชราภาพสมตามอายุจริง
งานพระราชพิธีดังกล่าวช่วยชะลอความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นและมีอยู่อย่างรุนแรงตลอดเวลาสามปีได้เพียงเล็กน้อย ความขัดแย้งทางการเมืองดังกล่าวเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ที่สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกขับให้พ้นจากตำแหน่งโดยนายพลทหารที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ เมื่อปี ๒๐๐๖ และกลุ่มที่คัดค้านทักษิณซึ่งประกอบด้วยชนชั้นนำในกรุงเทพและปรากกชัดเจนว่าหนึ่งในผู้สนับสนุนพันธมิตรนั้นก็คือ พระราชินีสิริกิต แต่เพียงหนึ่งวันหลังจากพระราชพิธีศพ ก็มีการขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ที่ประท้วงทักษิณจนมีผู้เสียชีวิตหนึ่งราย หลังจากนั้น กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ PAD ซึ่งได้ยึดครองทำเนียบรัฐบาลมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมก็ได้บุกเข้ายึดสนามบินหลักของกรุงเทพ สร้างความโกลาหลวุ่นวาย การยึดสนามบินสิ้นสุดในอีกแปดวันต่อมาเมื่อศาลได้มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองหลักที่เป็นแกนนำของรัฐบาล และเป็นฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณ
ขณะนี้ ทักษิณ อยู่ระหว่างการลี้ภัย เขาถูกศาลพิพากษาคดีลับหลังและศาลตัดสินว่าเขามีความผิดฐานคอร์รัปชั่น แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยเป็นกลุ่มพรรคการเมืองที่สนับสนุนเขา และกลุ่มผู้สนับสนุนเขาก็มุ่งมั่นที่จะตั้งพรรคการเมืองใหม่แม้ พรรคเดิมจะถูกยุบตามคำสั่งศาล เมื่อเดือนที่แล้ว ได้มีการจัดการรวมตัวของกลุ่ม “เสื้อสีแดง” ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเขาจำนวนมาก เพื่อเป็นการเตือนกลุ่มศัตรูสวมเสื้อเหลืองในฝั่งพันธมิตร ซึ่งชอบอ้างว่าพันธมิตรทำเพื่อในหลวง ในขณะที่กล่าวหาว่าทักษิณต้องการสถาปนาสาธารณรัฐว่า ทักษิณยังคงเป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในประเทศไทย
นอกเหนือจากข้ออ้างในการจำกัดทักษิณที่พอจะมีมูลว่า ทักษิณใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง สิ่งหนึ่งที่พวกขวาจัดและสนับสนุนราชวงศ์วิตกก็คือ การที่ทักษิณได้สร้างความยอมรับ ความชื่นชมในหมู่ประชาชนผ่านทางนโยบายประชานิยมอย่าง สามสิบบาทรักษาทุกโรค หรือกองทุนหมู่บ้าน จะเป็นการสร้างสถานะและเครือข่ายของทักษิณที่เป็นการท้าทายอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินไปในตัว สิ่งที่วิตกกันอีกประการหนึ่ง ก็คือ ตามที่มีการกล่าวหาว่า ทักษิณได้แสดงถึงความใจกว้างต่อเจ้าฟ้าชายเป็นการกระทำเพื่อสร้างบารมีและอิทธิพลเหนือเจ้าฟ้าชายเมื่อต่อไปได้ขึ้นครองราชย์ ด้วยเหตุนี้และเหตุผลอื่นๆ การเข้าใจถึงเรื่องราวในเบื้องหลังที่ไม่มีการเปิดเผยของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะเข้าใจปัญหาที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออกของประเทศที่มีประชากรหกสิบสามล้านคนนี้
สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้จะทำให้คนไทยจำนวนมากทุรนทุราย และต้องการได้ยินเรื่องราวที่เป็นดังเทพนิยายเกี่ยวกับพระเจ้าแผ่นดินของพวกเขามากกว่า แต่การกระทำที่ผ่านมาในอดีตของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้เป็นตัวปัญหาหลักของความขัดแย้งที่กำลังแบ่งแยกประเทศนี้ให้ร้าวฉาน ด้วยเหตุผลนี้เองที่เราจะตรวจสอบเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้น
เรื่องราวของพระเจ้าแผ่นดินภูมิพล แม้จะตัดเรื่องต่าง ๆ ที่สร้างเสริมในประเทศไทยให้เป็นดังตำนานเทพนิยาย ก็ยังเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมากอยู่ดี เขาเกิดในสหรัฐ มีมารดาเป็นสามัญชนที่เป็นลูกครึ่งจีน และโดยอุบัติเหตุ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้สืบทอดราชบัลลังก์ที่เวลานั้นใกล้จะสูญสิ้น และพระองค์เป็นผู้พลิกฟื้นชะตากรรมของราชวงศ์ให้กลายเป็นราชวงศ์ ที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากที่สุดในโลก และแน่นอนที่สุด เป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวในโลกสมัยใหม่ที่มีอำนาจทางการเมืองสูงที่สุด บุคคลิกภาพ สติปัญญา และความสามารถของพระองค์ (จากการเล่นแซกโซโฟนไปจนถึงการทำฝนเทียมที่พระองค์จดสิทธิบัตรไว้ในยุโรป) และความห่วงใยที่มีต่อประชาชนทำให้พระองค์เป็นที่เคารพรักในประเทศ และชื่นชมไปทั่วโลก ภาพลักษณ์ของพระองค์ อาจจะขึ้นถึงจุดสุดยอดเมื่อปี ๑๙๙๒ หลังจากที่กองทัพใช้อาวุธฆ่าประชาชนที่ประท้วงต้องการประชาธิปไตยหลายสิบคน และโทรทัศน์ ได้ถ่ายทอดภาพที่ผู้นำกองทัพ (และนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น) สุจินดา คราประยูร และผู้นำการประท้วงอย่างจำลอง ศรีเมือง (ุ้เเกนนำของพันธมิตร) ได้คุกเข่าแทบเท้าพระองค์ หลังจากนั้นไม่นาน สุจินดาก็ลาออก และพระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศ
อย่างไรก็ดี ยังมีเรื่องราวที่ไม่เปิดเผยว่า พระองค์ได้สูญสิ้นความเชื่อถือในระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว (ถ้าพระองค์จะเคยเชื่อมั่นในการปกครองภายใต้ระบอบนี้จริง) พระองค์ได้คอยเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองในเบื้องหลังอยู่ตลอดเวลา และด้วยเหตุนี้เอง ในช่วงท้ายที่ไม่มีความชัดเจนของยุคสมัยของพระองค์ จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้ประเทศอยู่ในภาวะที่ไม่พร้อมจะมีชีวิตโดยปราศจาก “พ่อหลวง” ดังที่คนไทยเรียกพระองค์เช่นนั้น การที่จะเข้าใจปัญหาของประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประทีปของเสรีนิยมในเอเชียแต่กลับกลายเป็น ประเทศที่ยุ่งเหยิงจนน่าสิ้นหวังไปได้นั้น จะไม่สามารถทำได้ ถ้าเราไม่เข้าไปตรวจสอบเบื้องหลังฉากหนา ๆ ที่สร้างไว้รอบ ๆ พระองค์ท่าน
การกระทำครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสิ่งนี้ดูจะขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง ระหว่างพระเจ้าแผ่นดินที่อ้างกันว่าได้รับความรัก ความเคารพบูชาจากประชาชนอย่างสูงที่สุดนั้น กลับมีการบังคับใช้กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่รุนแรงมาก ในขณะที่ราชวงศ์ต่างๆทั่วโลกได้พากันยกเลิกกฏหมายนี้ หรือมิฉนั้นก็ไม่มีการบังคับใช้กฏหมายนี้แล้ว แต่ในประเทศไทยกลับมีการเพิ่มโทษสำหรับการกระทำความให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปจนถึงขั้นจำคุกสิบห้าปี แม้แต่การวิพากษณ์ วิจารณ์อย่างเบาบางก็ทำไม่ได้ และผลของกฏหมายตัวนี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะคนไทยเท่านั้น บรรดานักการทูต นักวิชาการ สื่อมวลชนจากค่ายตะวันตกก็พากันยอมรับผลของกฏหมายฉบับนี้ด้วยความขลาดกลัว
ทุกคนเป็นคนของพระราชา
ต้นตอส่วนหนึ่งของปัญหานี้เริ่มสมัยสงครามเวียดนาม เมื่อสหรัฐค้นพบว่า พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้เป็นพันธมิตรในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ และเมื่อตระหนักถึงคุณค่าของพระองค์ที่จะเป็นเสมือนไอคอนในการต่อต้านกองทัพแดง อเมริกาก็ให้เงินสนับสนุนกองทุนในการโฆษณาชวนเชื่อให้ทุกครัวเรือนของไทยมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ และแม้แต่ทุกวันนี้ ในขณะที่สหรัฐไม่รอช้าที่จะโวยวายกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย แต่น้อยครั้งนักที่อเมริกาจะประท้วงไทยเวลาที่มีการจับกุมทั้งคนไทย และต่างชาติเพราะการวิพากษณ์ วิจารณ์ราชวงศ์ ทั้งสือมวลชน และนักวิชากการจากโลกตะวันตกต้องการวีซ่าในการเดินทางเข้าไทยเพื่อมาทำงาน ดังนั้น จึงทำให้กระแสการวิพากษณ์ วิจารณ์ราชวงศ์ไทยลดลงไปโดยปริยาย และด้วยการสมรู้ร่วมคิดในการปิดบังข้อมูลนี้เอง ทำให้เราได้เห็นหนังสืออัตชีวประวัติที่เขียนอย่างจริงจังเกี่ยวกับผู้นำคนสำคัญของเอเชียเพียงเล่มเดียว นั้นก็คือหนังสือ “เดอะคิงเนเวอร์สไมล์” โดยพอล แฮนด์ลีย์ สื่อมวลชนชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งได้เขียนบันทึกไว้ว่าเรื่องราวการฟื้นฟูราชวงศ์ไทยเป็น “หนึ่งในเรื่องราวที่ไม่มีการเปิดเผยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ ๒๐”
แฮนด์ลีย์บอกว่า เป็นเวลาถึงสองปีที่ไม่มีใครจะโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ระบุในหนังสือของเขา แม้แต่ส่วนที่ถือได้ว่ารุนแรงที่สุด นั่นก็คือ การเปิดเผยว่า ความเชื่อที่ว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่แทรกแซงการเมือง และจะทรงเข้าข้างแต่ฝ่ายที่ถูกต้อง หรือดีงามนั้นไม่เป็นความจริง ข้อกล่าวหาของพอลในหนังสือเล่มนี้ที่ดูจะรุนแรงมาก (แต่ไม่มีคนโต้แย้งในเรื่องข้อเท็จจริง) ก็คือว่า สำหรับเหตุนองเลือดในปี ๒๕๑๙ นั้น ดูเหมือนพระองค์จะเป็นผู้ไม่เอาผิดกับกองกำลังฝ่ายขวาที่ร่วมมือกับกองทัพในการสังหารหมู่และทำร้ายนักศึกษาที่ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสงบ และก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ ๆ ในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ (และก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง) ที่การก่อความไม่สงบในปี ๒๕๑๙ จะกลายเป็นข้ออ้างที่จะล้มล้างรัฐบาลและตั้งรัฐบาลใหม่ที่พระเจ้าแผ่นดินเห็นชอบให้มาทำหน้าที่แทน
พระเจ้าแผ่นดินภูมิพลขึ้นครองราชย์เมื่อมีอายุ ๑๘ ปี หลังจากที่พี่ชายของพระองค์ ในหลวงอานันมหิดลตายอย่างปริศนาในปี ๑๙๔๖ พระองค์อยู่ใต้การดูแลของลุงของพระองค์ซึ่งเป็นเจ้าชายที่มีความเคียดแค้น และมุ่งมั่นที่จะฟื้นคืนอำนาจของราชวงศ์ รวมทั้งทรัพย์สินและความมั่งคั่งของราชวงศ์ ภายหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปในปี ๑๙๓๒ หรือ พศ ๒๔๗๕ เมื่อพระองค์เจริญพระชนมายุขึ้น ก็พัฒนาเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ มีการพระราชทานเกียรติยศต่าง ๆ เพื่อแลกกับการบริจาคเงินเพื่อการดำเนินการต่าง ๆ ของราชวงศ์ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ราชวงศ์กลายเป็นศูนย์กลางของการทำการกุศล และอย่างที่ศาสตราจารย์ ดันแคน แมคคาร์โก เรียกว่าเป็น “เครือข่ายราชสำนัก” network monarchy ทำให้พระเจ้าแผ่นดินกลายมาเป็นศูนย์กลางของสังคมไทยอีกครั้ง และสามารถฟื้นคืนพระราชอำนาจมาได้อย่างมากมาย
และสิ่งนี้ได้กลายมาเป็นแนวคิดหลักของพันธมิตร สืบเนื่องมาจากพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า ประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่สกปรกชั่วร้าย และประเทศชาติจะเจริญกว่าถ้ามีการบริหารโดยคนที่พระเจ้าแผ่นดินโปรดแล้วว่าเป็นคนดี ตัวอย่างที่สำคัญ ก็คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นนากรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในช่วงทศวรรษที่ ๘๐ เปรมมีบทบาทสำคัญมากในการสร้างเสริมความคิดที่ว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นเสมือนสมมติเทพ ปัจจุบันนี้ เปรมเป็นประธานองคมนตรี และโดยหลักการ เขาต้องอยู่เหนือการเมือง แต่สิ่งนี้ก็เป็นแค่เทพนิยายเช่นกัน คนส่วนใหญ่ในสังคมรับรู้ว่าเปรมเป็นผู้วางแผนการรัฐประหารในปี ๒๐๐๖ และก่อนหน้าการทำรัฐประหารไม่นาน เปรมออกมาพูดกับทหารมนที่สาธารณะว่า พระราชาเป็นเจ้าของ ”ม้าแข่ง” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ กองทัพ ในขณะที่ ทักษิณเป็นเพียง “จ็อคกี้” ที่สามารถเปลี่ยนเมื่อไหร่ก้ได้เท่านั้น
กลุ่มพันธมิตรเป็นการรวมตัวของแกนนำที่แตกต่างกันอย่างมาก อยู่รวมกันเพียงเพราะเกลียดทักษิณเหมือนกัน มีทั้ง นักธุรกิจที่ไม่พอใจทักษิณ หญิงชั้นสูงที่เป็นข้าราชการ กลุ่มคลั่งศาสนาหัวรุนแรง ปัญญาชนที่เคยต่อต้านราชวงศ์ และกองกำลังทหาร และ “การเมืองใหม่” ของกลุ่มพันธมิตร ก็คือต้องการให้รัฐสภามาจากการเลือกตั้งบางส่วน และแทนที่ด้วยการแทรกแซงจากกองทัพ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชวงศ์ ที่เรียกว่า เป็นการเลียนแบบพลเอกเปรม ปัญหาของประเทศเกิดมาจากกองทัพเป็นส่วนใหญ่ บรรดานายพลเหล่านี้เชื่อว่าพวกเขามีสิทธิที่จะเปลี่ยนรัฐบาลที่ทำให้พวกเขาหรือราชวงศ์ไม่พอใจ และพวกเขาจะรับคำสั่งจากราชวงศ์ ซึ่งให้การเห็นชอบในการทำรัฐประหารมานับครั้งไม่ถ้วน สองอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวโยงกันชนิดแยกไม่ออก
แฮนด์ลีย์ ยังวิจารณ์ถึงการที่พระเจ้าแผ่นดินเข้าไปแทรกแซงกระบวนการนิติรัฐ เมื่อพระองค์แทรกแซงด้วยการแจ้งความปรารถนาของพระองค์ให้เหล่าผู้พิพากษาทราบ อิทธิพลของพระองค์ ทำให้ผู้พิพากษารับฟังประดุจเป็นคำสั่ง ในตัวอย่างที่เขาบอก แต่เหตุเกิดขึ้นช้าเกินกว่าที่เขาจะนำมาอ้างอิงในหนังสือเล่มดังกล่าวได้ ไม่กี่เดือนก่อนการรัฐประหาร พระองค์ได้มีรับสั่งกับผู้พิพากษาให้แก้ไขปัญหาทางการเมือง หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการอัดเสียงบทสนทนาของผู้พิพากษาศาลฎีกาสองคน ที่ได้มีการนำมาเปิดเผยในอินเตอร์เนท โดยผู้พิพากษาคนหนึ่งบอกว่า ต้องหลีกเลี่ยงการทำให้คนเข้าใจว่าเป็นรับคำสั่งของในวัง เพราะ “พวกคนต่างชาติไม่มีวันยอมรับ”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การตีความพระประสงค์ของพระเจ้าแผ่นดินก็ชัดเจนขึ้นทุกที เพราะศาลได้เร่งรีบพิจารณาพิพากษาคดีความที่มีการกล่าวหาทักษิณและพวกพ้อง ในขณะที่ลดหย่อน และให้ประโยชน์แก่ฝ่ายตรงข้ามของทักษิณ ในบางกรณี เช่น การดำเนินคดีในข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชั่นที่มีต่อทักษิณก็อาจจะควรได้รับความสนใจจากศาล แต่ในบางเรื่องราวที่เหตุเล็กๆ น้อยๆ เช่น การที่ศาลสั่งปลดอดีตนายกรัฐมนตรีที่สนับสนุนทักษิณอย่าง นายสมัคร สุนทรเวชเพราะการทำอาหารออกรายการโทรทัศน์ แต่ในทางกลับกัน ข้อหากบฏที่มีต่อกลุ่มพันธมิตรเพราะบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล กลับได้รับการลดหย่อน และศาลยังปล่อยตัวพวกเขาให้เป็นอิสระ เพื่อให้กลับมายึดครองทำเนียบรัฐบาลต่อไปได้อีก
ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ได้ต้องการจะปฏิเสธความผิดของทักษิณ และพวกพ้อง แต่แม้แต่ข้อกล่าวหาต่อทักษิณที่รุนแรงที่สุดอย่างเรื่อง “สงครามยาเสพติด” ที่มีการกล่าวหาว่า ตำรวจได้ทำวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องสงสัยหลายร้อยคนนั้น จริง ๆ แล้ว ก็ไม่ใช่ความผิดของทักษิณทั้งหมด สงครามสกปรกที่ทำต่อพ่อค้ายาเสพติดได้รับการสนับสนุนจากคนไทยทุกระดับในสังคม แม้แต่พระเจ้าอยู่หัวเอง ก็เคยมีพระดำรัสในปี ๒๐๐๓ ที่ฟังดูเหมือนกับว่าพระองค์ให้การสนับสนุนการกระทำดังกล่าว
พ่อรู้ดีที่สุด
ในประเทศอื่น ๆ เช่น สเปน มาจนถึง บราซิล ได้มีการก้าวพ้นจากระบอบเผด็จการมาสู่ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งที่การต่อสู้ทางการเมืองจะทำในรัฐสภา ไม่ใช่ตามท้องถนน การที่ประเทศไทยล้มเหลวในด้านนี้ บางทีอาจเป็นเพราะการที่มี “พ่อ” ที่พร้อมจะเข้ามาแก้ปัญหาแทน ดังนั้น บรรดาลูก ๆ ของพ่อ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเติบโตมารับกับปัญหานั้น ๆ เอง พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านในรัฐสภาก็เป็นนักฉวยโอกาส คอยสนับสนุนกลุ่มพันธมิตร โดยมีความหวังว่า การทำรัฐประหารที่ได้รับความเห็นชอบจากในวังอีกครั้งหนึ่งจะช่วยให้พรรคของตนได้เป็นรัฐบาล
ความโกรธแค้นของชนชั้นนำในกรุงเทพที่มีต่อทักษิณ อาจมาจากความเจ็บใจที่เคยให้การสนับสนุนทักษิณ เมื่อทักษิณเข้าสู่ตำแหน่งในปี ๒๐๐๑ ความรู้สึกในประเทศไทยเวลานั้นก็คือ ประเทศต้องการนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำแบบซีอีโอ แบบที่อดีตนักธุรกิจผู้นี้เคยนำเสนอตนเองไว้ พรรคการเมืองของเขา พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง ได้เสียงข้างมากเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย และก็เป็นรัฐบาลที่อยู่ในตำแหน่งจนครบวาระเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน และเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคการเมืองของเขาก็ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากอีก นโยบายของทักษิณที่ต้องการปรับปรุงบริการสาธารณะ และให้เงินทุนแก่คนยากจน แม้จะทำให้เขาได้ผลประโยชน์ส่วนตัว แต่คำสัญญาที่เขาจะยกระดับความเป็นอยู่ของคนจน และสร้างความเสมอภาคในสังคม เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้กลุ่มชนนำที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ต้องการกำจัดเขาออกไป
รัฐบาลที่ประกอบด้วยนายพลและอดีตข้าราชการที่ตั้งโดยคณะรัฐประหารในปี ๒๐๐๖ นั้นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความล้มเหลว แม้ว่าพรรคไทยรักไทยจะถูกยุบ แต่เมื่อมีการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม พรรคการเมืองใหม่ของทักษิณ คือ พรรคพลังประชาชนก็ชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนสูงสุด ซึ่งทำให้กลุ่มพันธมิตรกลับเข้ามาประท้วงใหม่ เมื่อมีการปะทะกันในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พันธมิตรต่อสู้กับตำรวจด้วยปืน ระเบิดและเหล็กปลายแหลม โดยหวังว่า ความไม่สงบจะทำให้ทหารฉวยเป็นสาเหตุในการปฏิวัติ ถึงกระนั้น กลุ่มพันธมิตรก็กล่าวหาว่า ความรุนแรงทั้งหมดเกิดมาจากตำรวจ และสื่อมวลชนในกรุงเทพซึ่งเป็นพวกต่อต้านทักษิณก็ให้การสนับสนุนโดยปล่อยให้พันธมิตรรอดตัวไปได้ ทั้ง ๆ ที่สมาชิกคนหนึ่งของพันธมิตรตายด้วยระเบิดในรถของตัวเอง ในระหว่างที่ผู้ตายกำลังขนระเบิด สื่อมวลชนไทยกลับกลบเกลื่อนข่าวนี้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่การตายของผู้หญิงคนหนึ่งที่รายงานว่า ตายเพราะกระสุนแกสน้ำตาของตำรวจระเบิดใส่ กลับได้รับการเชิดชูยกย่องจากสื่อมวลชนเหล่านี้
มาจนถึงจุดนี้ ก็มีแต่เพียงการกระซิบถามกันเท่านั้น ว่าอะไรทำให้กลุ่มพันธมิตรได้รับการปฏิบัติที่ยืดหยุ่นขนาดนี้ แม้แต่กองทัพเอง ก็ปฏิเสธที่จะช่วยตำรวจ ในการจัดการเคลื่อนย้ายผู้ที่ชุมนุมประท้วง อย่างไรก็ดี ข่าวลือต่าง ๆ ก็ได้รับการยืนยันเมื่อพระราชินีได้เสด็จไปงานศพของหญิงสาวในกลุ่มพันธมิตร ในขณะที่พระเจ้าอยู่หัวยังคงเงียบเฉย
แน่นอนที่สุด ไม่มีใครสามารถแสดงความคิดเห็นว่าการที่รพราชินีสนับสนุนพันธมิตรจะมีผลอย่างไรต่อคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศที่ปรากฏชัดว่ายังคงสนับสนุนทักษิณอยู่ ท่ามกลางการกล่าวหาว่า มีการทำผิดกฏหมายเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งต่อฝ่ายที่สนับสนุนและต่อต้านทักษิณ แต่การกระทำของกลุ่มพันธมิตรดูจะยิ่งเลวร้ายกว่า การที่ราชวงศ์ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกพันธมิตร และการที่กลุ่มพันธมิตรย้ำ และยืนหยัดให้คนไทยต้องตัดสินใจเลือกว่า จะจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว หรือจะเลือกทักษิณต่อไป การกระทำดังกล่าว อาจจะส่งผลร้ายที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงต่อสถาบันพระมหากษัติรย์ของไทย
ผู้ที่สนับสนุนทักษิณจำนวนมากอาจจะพิจารณาถึงข้อโต้เถียงของพันธมิตร ถ้าราชวงศ์ต่อต้านผู้นำที่พวกเขาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเข้ามา บางที อาจเป็นการกระทำที่ต่อต้านประชาชนอย่างพวกเขาด้วยก็ได้ และความรู้สึกของคนยากจนในชนบทยิ่งถูกซ้ำเติมจากการกล่าวอ้างของกลุ่มพันธมิตรว่า คนจนในชนบทซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของทักษิณนั้น “ด้อยการศึกษาเกินว่าจะใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง” ดังนั้น จึงไม่ควรให้คนจนมีสิทธิลงคะแนน
ในการรณรงค์สนับสนุนทักษิณ เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา มีนักรณรงค์คนหนึ่งกล่าวโจมตีสถาบันโดยระบุว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็น “เสี้ยนหนามในระบอบประชาธิปไตย” เพราะการที่ทรงสนับสนุนรัฐประหารหลายครั้ง และเตือนราชวงศ์ว่า มีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับเครื่องตัดศรีษะแบบกิโยติน ไม่นานนัก เธอก็ถูกจับกุม สิ่งที่ทำให้พวกที่สนับสนุนราชวงศ์ตกใจ ไม่ใช่แค่การวิพากษณ์ วิจารณ์สถาบันอย่างรุนแรง แต่เพราะการที่ฝูงชนพากันตะโกนโห่ร้องสนับสนุนเมื่อเธอพูดต่างหาก “เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพวกเขาที่จะยังพยายามรักษาภาพลวงตาว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ชื่นชมไปทั่วโลก”
นักวิชาการชาวไทยคนหนึ่งบอกว่า ภาพลวงตากำลังถดถอยท่ามกลางความวิตกกังวลว่า อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ ความกลัวว่า ทักษิณจะมีอิทธิพลเหนือเจ้าฟ้าชาย ดูจะถูกลบไปด้วยความวิตกถึงความเหมาะสมของรัชทายาทของราชบัลลังค์ เจ้าฟ้าชาย แสดงออกถึงบุคคลิกภาพของพระบิดา หรือความทุ่มเทต่อประชาชนน้อยมาก และยังมีชื่อเสียงที่ไม่ดีในเรื่องตั้งแต่สมัยยังเยาว์วัย ในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ เจ้าฟ้าชายปฏิเสธว่า ไม่เคยทำตัวเป็นหัวหน้ามาเฟีย แต่แม้แต่พระราชินีเอง ก็เคยให้สัมภาษณ์ ในเรื่องนี้ในสหรัฐตั้งแต่ปี ๑๙๘๑ ว่า เจ้าฟ้าชาย “ค่อนข้างจะเป็นดอน ฮวน และถ้าประชาชนคนไทยไม่ยอมรับพฤติกรรมของลูกชายของเรา เขาก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม หรือไม่ก็ลาออกจากราชวงศ์ไป”
สื่อมวลชนของไทยทำการเซ็นเซอร์ข่าว ๆต่างด้วยตนเองอย่างเคร่งครัด และก็จะไม่ยอมเสนอข่าวการวิพากษณ์ วิจารณ์ใด ๆ ที่มี แต่ถึงกระนั้น คนส่วนใหญ่ของประเทศก็พากันเกลียดชังเจ้าฟ้าชายอย่างลึกซึ้ง มีข่าวลือตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า พระเจ้าอยู่หัวจะยกราชบัลลังก์ให้พระเทพฯ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนมากกว่า และทำหน้าที่ต่าง ๆ แทนพระเจ้าอยู่หัวในเวลานี้ ในข่าวภาคค่ำตอนสองทุ่ม จะเห็นพระเทพฯ พร้อมรอยยิ้มที่แจ่มใส เดินทางไปประกอบพระกรณียกิจทั่วประเทศ ไปทำบุญที่วัดต่างๆ ในขณะที่น้อยครั้งมากที่เจ้าฟ้าชายจะออกงาน และยิ่งน้อยมากที่จะพบปะกับสามัญชนแต่ธรรมเนียมการสืบเชื้อสายทางลูกชายของราชวงศ์จักรีจะไม่มีการยกเลิก บทบาทที่สำคัญของเจ้าฟ้าชายในงานพระศพสมเด็จเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ได้แก้ข้อสงสัยว่าใครคือองค์รัชทายาทที่ได้รับการเลือกแล้ว แต่กระนั้นก็ตาม คนไทยจำนวนมากต่างพากันนึกถึงคำทำนายโบราณที่ว่า ราชวงศ์นี้จะมีเพียงเก้ารัชกาล และพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันก็เป็นองค์ที่เก้า และองค์ที่สิบจะเป็นภัยพิบัติ
สักวัน เจ้าชายของเรา
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ อดีตข้าราชการชั้นสูงที่มีความใกล้ชิดกับราชวงศ์บอกเราว่า มีความหวาดวิตกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังรัชกาลปัจจุบัน “เมื่อเราพูดว่า “ทรงพระเจริญ” เราหมายความอย่างนั้นจริง ๆ เพราะเราไม่กล้าคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น” คนไทยส่วนใหญ่จะเด็กเกินกว่าที่จะจำได้ว่ าประเทศไทยก่อนที่จะมีพระเจ้าอยู่หัวปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร การสวรรคตของพระองค์จะเป็นการก้าวกระโดดเข้าไปสู่ดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก จึงดูจะเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดที่สำนักพระราชวังจะวางแผนการสืบทอดราชวงศ์ไว้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีการดำเนินการไปในทิศทางนั้น และคำแนะนำใด ๆ ก็ไม่น่าจะได้รับการตอบสนอง “พระองค์ทรงเชื่อมั่นในตนเองมาก ไม่มีใครจะแนะนำอะไรพระองค์ได้” ข้าราชการผู้นั้นบอกเรา
ในระยะอันใกล้ อาจมีการเผชิญหน้ากันอีก ถ้ารัฐบาลที่สนับสนุนทักษิณเอาตัวรอดได้ พวกเขาพยายามแก้รัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นสมัยรัฐประหาร การแก้ไขบางหลักการเช่นให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ดูเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล แต่พวกพันธมิตรสันนิษฐานว่า เป็นการแก้ไขเพื่อช่วยทักษิณ และพวกพ้องจากคดีความต่าง ๆ ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนไม่มีใครยอมประนีประนอม และต่างฝ่ายต่างพร้อมที่จะนำฝูงชนที่สนับสนุนตนมาเดินขบวนประท้วงเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ยังมีความหวังว่า “การประนีประนอมแบบไทย ๆ” ที่เลอะเทอะ แต่อาจจะได้ผล จะช่วยดึงประเทศให้พ้นจากวิกฤต ยังมีความฝันว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดงได้แปลงสภาพให้กลายเป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง และมีมารยาท โดยเรียกร้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ ก็อาจจะช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากพวกสนับสนุนราชาธิปไตย และนายพลที่พยายามจะลากประเทศไทยให้ถอยหลังกลับเข้าสู่อดีต แต่ดูเหมือนโอกาสที่เป็นไปได้จะไม่มี
ถ้ารัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลสิ้นสุดลงด้วยสงคราม หรือทำให้ประเทศไทยกลายเป็นอัมพาต เพราะความวุ่นวายที่ไม่รู้จบ โดยที่ไม่มีใครที่มีสถานะเท่าพระองค์ที่จะมายุติข้อขัดแย้งครั้งนี้ จะเป็นภัยพิบัติที่น่าเศร้า แต่พระองค์ได้มีบทบาทสำคัญในอดีตที่หาข้อยุติของปัญหา แต่ก็มีเสียงโต้แย้งว่า พระองค์จะสร้างเสถียรภาพในยามที่วุ่นวาย และการที่ทรงทุ่มเทต่อภารกิจต่าง ๆ เป็นสิ่งที่น่ายึดถือเป็นตัวอย่าง และจะทรงแต่สิ่งที่พระองค์เห็นว่าดีที่สุดสำหรับประเทศ และสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ได้มีการบอกเล่าให้คนไทยฟังทุกเช้าทุกเย็น ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา คนไทยไม่ได้รับอนุญาตให้วิพากษณ์ วิจารณ์ถึงอีกด้านหนึ่งของเหรียญในที่สาธารณะ.
----------------------------------
บทความที่ ๗. (บทวิเคราะห์ทั่วไป ไม่ได้เน้นเฉพาะกรณีพันธมิตรฯ)
รอยแตกที่ยาวขึ้นของกำแพงไทย
(The cracks widen in Thailand´s wall)
From New Straits Times
January 14, 2009
โดย : W. Scott Thompson
แปลและเรียบเรียงโดย : chapter 11
แหล่งข้อมูล : Liberal Thai
ปรัชญาชาวกรีกกล่าวว่า “คนเกิดมาด้วยความบริสุทธิ์และตายไปด้วยตัณหา” หรือความหมกมุ่น
นั่นอาจจะเป็นชะตากรรมของประเทศไทย การดิ้นรนในสองปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องระหว่างทักษิณ ชินวัตรและกลุ่มเสื้อแดง กับพันธมิตรเสื้อเหลืองฝ่ายราชวงศ์ ร่วมด้วยพรรคเพียงแต่ในนาม คือ “ประชาฺธิปัตย์”
ในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นมุมมองสองด้านว่าราชอาณาจักรควรจะดำเนินต่อไปอย่างไร หรือที่ว่า ควรจะเป็นราชอาณาจักรหรือไม่
ขณะนี้ ประเทศยังเป็นราชอาณาจักร ราชบัลลังก์เป็นส่วนค้ำจุนของระบอบชนชั้น ซึ่งวัดความมั่งคั่งจากการมีรถยนต์นำเข้า BMW และ Mercedes Benz (เมื่อเทียบกับรายได้ของประชากรต่อคน) ซึ่งไม่มีที่ไหนเทียบได้ในโลกนี้ นี่ยังไม่ได้รวมถึงเรื่องที่อาจจะเป็นไปได้ ขี้นอยู่กับระบบบัญชีอย่างไหน ว่ากษัตริย์เป็นบุคคลที่รวยที่สุดของโลก
ชนชั้นปกครองที่ประสบผลสำเร็จจะฉลาดในการซ่อนอภิสิทธิ์ของตัวเอง ผมมีเพื่อนฝรั่งในกรุงเทพซึ่งไม่ทราบความหมายของคำว่า “มรว” และ “มล” สำหรับหม่อมราชวงศ์ (เหลนของกษัตริย์) และ หม่อมหลวง อันเป็นรุ่นถัดไป พวกเขาเหล่านี้รั้งตำแหน่งปลัดกระทรวงและเอกอัครราชทูตต่างๆ ซึ่งไม่ได้สัดส่วนกับคนชนชั้นอื่น
แน่นอน พวกเขาเหล่านี้มีคุณสมบัติเหมาะสม พวกเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่เมื่ออายุ 8 ขวบได้รับการศึกษาจากโรงเรียนในอังกฤษ ที่อีตั้น วินเชสเตอร์ ออกซ์ฟอร์ด แคมบริจจ์ พวกเขาพูดภาษาอังกฤษตามวิธีการของราชินีอังกฤษพูด และเมื่อเขากลับประเทศไทยก็ได้รับสิทธิ์พิเศษมากขี้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนหนึ่งซึ่งมียศ “มรว” กล่าวว่าพวกเขารู้จักการ “บริหารประเทศ” และรู้ว่าจะรักษาสถานะภาพของตัวเองได้อย่างไร คำถามคือ ทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงอยู่สถานะนั้นตั้งแต่แรก
จากเริ่มแรก พวกเขาเห็นว่าทักษิณกำลังโจมตีพวกเขา ผ่านทางคะแนนนิยมและทำความสั่นสะเทือนให้กับระบอบของพวกเขา
มาทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า กษัตริย์เป็นสิ่งที่ดีสำหรับประเทศชาติ ท่านได้เสริมสร้างราชบัลลังค์อย่างน่าประทับใจ และในระหว่างขั้นตอนนั้น ท่านได้รวมประเทศไทยให้เป็นหนึ่งเดียว และในขณะเดียวกันก็สร้างเกราะป้องกันในระหว่าง 60 ปีที่ผ่านมา คนไทยรักกษัตริย์ด้วยเหตุผลที่ดี แต่ระบอบชนชั้นนั้นเล่า ท่านทรงพระราชทานยศและศักดิ์ซึ่งมีค่ามหาศาล กษัตริย์ได้พระราชทานสิทธิให้นายพลทั้งหลาย ซึ่งเข้าพระราชวังทางประตูหลังและออกมาประตูหน้าพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์
เอ็นจีโอ (NGO) องค์กรไม่ฝักใฝ่การเมือง (ภาษาไทยเหมือนคำว่า “โง่”) ได้เสแสร้งโจมตีระบอบชนชั้นและผู้สนับสนุนราชวงศ์ เขารู้ว่าใครค้ำจุนระบอบนี้อยู่ แน่นอน เขาไม่โจมตีกษัตริย์ในด้านส่วนตัว ไม่เหมือนโจมตีทักษิณ แต่อย่าได้เข้าใจผิด พวกองค์กรทั้งหลายเหล่านี้ได้คืบจะเอาศอก พวกเขารอฉวยโอกาสเท่านั้นเอง ที่อื่นๆ นักเรียกร้องสิทธิสามารถโจมตีเรื่องความไม่เท่าเทียมกันได้ แต่สำหรับประเทศไทยนั่นหมายถึงโจมตีราชบัลลังค์ ถ้าคุณต้องการจะสาวให้ถึงต้นเหตุ ดังนั้นพวกเขาต้องโจมตีไปที่ตัวแทนของราชวงศ์ เช่น นายพลคนโปรดทั้งหลาย
หยิบถั่วปากอ้าขี้นมาและทุก ๆ คนในกรุงเทพจะหัวเราะหัวสั่นหัวคลอน มันคล้ายคลึงกับเจ้าหญิงที่คนไม่นิยมของราชวงศ์ แต่ไม่มีใครกล้าพูดสักคำ เพราะถ้าพูดก็หมายถึงต้องโดนข้อหาหมิ่นฯ ซึ่งเป็นกฎหมายหลักสำคัญของระบอบชนชั้น
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนี้ ผลผลิตจาก อีตัน-ออกซ์ฟอร์ด เริ่มต้นดี (คนไทยพูดว่า เป็นเลขนำโชคของเขา) มีพรรคร่วมรัฐบาล 5 พรรคชนะการเลือกตั้งซ่อมได้เสียงเพิ่มมาอีก 20 เสียง ที่เห็นชัดที่สุด ในวันรับพระราชทานโอวาส คืออภิสิทธิ์นั่งเก้าอี้ต่ำว่ากษัตริย์แน่ ๆ
บางทีกษัตริย์ซึ่งทรงมีพระปรีชาสามารถ ทรงพยายามที่จะทำพระองค์ให้ห่างจากความวุ่นวาย ที่ท่านช่วยสร้างในระยะสองปีครึ่งที่ผ่านมา
ไม่ใช่พระราชินี ท่านแยกกันอยู่กับกษัตริย์ ประทับในพระราชวังจิตรลดาอันเป็นพระราชวังสไตน์เอ็ดวาเดียนในกรุงเทพ มีกษัตริย์ครองแผ่นดิน (และส่วนใหญ่ของเวลาหลายปีที่ผ่านมา ได้ปกครองแผ่นดิน) จากหัวหิน ราชินีทรงเลือกที่รักมักที่ชัง เห็นได้จากการไปงานศพของผู้หญิงที่เสียชีวิตในการประท้วงของกลุ่มพันธมิตร ทำให้พระองค์ถูกโจมตีอย่างหนักและสุดท้ายพระองค์ส่งของขวัญพระราชทานแก่ครอบครัวของผู้ประสบเคราะห์ร้ายทุกครอบครัว
คนโปรดของพระองค์ คือ บรรดาเหล่าพันธมิตร
ราชวังอาจแยกเป็นสองข้าง แต่คำถามเปิดก็คือ ราชินีได้สนับสนุนทางการเงินตามความต้องการของกษัตริย์จริง ๆ หรือไม่
กษัตริย์ได้กำจัดทักษิณออกไป ซึ่งในการเลือกตั้งเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พรรคตัวแทนของทักษิณไม่สามารถนำชัยชนะมาได้
ชนชั้นสูงของมนิลาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ชนชั้นสูงอาศัยเบื้องหลังกำแพงแก้วสูงถัดจากหมู่บ้านที่เผาฟืน
ชนชั้นปกครองของอเมริกา (แน่นอน มีชนชั้น) ได้หลบซ่อนความสำเร็จโดยใช้การปฎิเสธแบบหน้าตายว่า ประเทศตัวเองให้สิทธิเสมอภาคและจะไม่อดทนต่อความไม่เสมอภาคกัน ในทางตรงข้ามกัน ศักดินาไทยอาศัยอยู่ในถิ่นหรู มีรั้วซ่อนรถที่จอดไว้หลาย ๆคัน ผมยังจำอาหารมื้อค่ำที่หัวข้อสนทนาเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่น่าอัศจรรย์ของไทย และพวกศักดินาชั้นสูงของไทยได้เสริฟไวน์ Petrus, Haut, andBeaune ที่แพงลิบลิ่ว ความหรูหรานี่เกิดขี้นก่อน ที่จะเกิดการปะทะในปี 2540
แม้ว่ายุทธวิธีของศักดินาจะได้ผลดี แต่กำแพงมีรอยแยกเสียแล้ว แค่รูปของอภิสิทธิ์กับกษัตริย์คงไม่พอหรอก
ความจริงที่ว่า สองปีที่ศักดินามีอำนาจเหนือประชาชนควรจะเป็นการเตือนภัยได้เพียงพอ แม้ทักษิณจะจากไปแต่สิ่งที่เขาทำไว้ยังคงอยู่
ในปี 2533 อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ถนัด คอมันต์ ได้อธิบายให้ผมฟังถึงเหตุผล 3 อย่างของความสำเร็จของประเทศไทย คือ กษัตริย์ ชนชั้นปกครองศักดินา และนักธุรกิจศักดินารวมทั้งครอบครัว
“ชนชั้นปกครองศักดินาอนุญาตให้กลุ่มนักธุรกิจศักดินาคุมเศรษฐกิจ” ซึ่งความลับเล็กน้อยที่ว่าเป็นคนจีนทั้งหมด (นายกรัฐมนตรีหลายคนก็เป็นคนเชื้อสายจีน มีนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งที่เกิดที่เมืองจีนด้วยซ้ำไป) กฎสำหรับการบริหารธุรกิจครอบครัวคือการไม่มีหนี้ ซึ่งทำให้ราชอาณาจักรคงยังอยู่ได้หลังจากการปะทะกันในปี 2540 แต่นักธุรกิจศักดินาลูกครึ่งจีนไทยต้องการมากกว่านั้น พวกเขาได้บริหารองค์กร NGO ด้วย นอกเหนือจากนายธนาคารและนายหน้าค้าหุ้น มีการอนุญาตให้แต่งงานได้แต่เฉพาะในกลุ่มชนชั้นปกครองศักดินา ซึ่งผลที่จะได้ตอบแทนไม่ทราบแน่ชัด บางทีคนรุ่นถัดไปอาจจะรู้มากขี้น
ขณะนี้ประเทศไทยได้เริ่มปีใหม่ด้วยความเรียบร้อยเกินความคาดหวัง เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทุกประเทศก็ควรยินดีด้วย
*นักเขียนเป็นอาจารย์ที่เกษียณของโรงเรียนกฎหมายและการฑูตเฟลทเช่อร์
REF : http://www.combiolaw.de/article/265/English-and-Thai-Articles-Analysis-about-Thai-monarchy-2008-2009.html 05/07/2010
Author : BioLawCom (รวบรวมบทความ)
Quelle : BioLawCom.De
Category : บทความทั่วไป
Publisher : เชกูวารา
บทความทั่วไป
หมายเหตุ: - เรียงลำดับบทความตามวันที่ตีพิมพ์
- บทความต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถคลิ้กได้ที่ชื่อบทความ "ภาษาอังกฤษ"
บทความ ๑.
ม็อบและราชบัลลังก์ (The crowd and the crown)
From International Herald Tribune
December 1, 2008
โดย : Philip Bowring
แปลโดย : Thai E-News
ได้ข้อมูลผ่าน : Hello Siam
เป็นไปได้ไหมว่าสถาบันกษัตริย์ของเมืองไทยจะเดินไปทางเดียวกับประเทศเนปาล ที่ราชบัลลังก์ล่าสุดได้ถูกโค่นล้มและถูกเปลี่ยนไปเป็นระบอบสาธารณรัฐ ?
ความคิดนี้อาจฟังดูไร้สาระเมื่อพิจารณาว่า กษัตริย์ของเมืองไทย ภูมิพลอดุลยเดช ถูกกล่าวขานโดยมีคำนำหน้าว่า "ที่เคารพรัก" มาโดยตลอดโดยสื่อต่างชาติและถูกยกย่องเชิดชูโดยสื่อในประเทศมาโดยตลอด
แต่อย่างที่เนปาลได้พิสูจน์ให้เห็นว่า สถาบันกษัตริย์สามารถทำลายตนเอง เมื่อราชวงศ์เองมีการทะลาะเบาะแว้งกันหรือเมื่อราชวงศ์ที่ไร้ความสามารถทำ เลยเถิดจนก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่เกี่ยวกับสาธาณรัฐ
มันเป็นการควรที่คำนึงถึงกษัตริย์ Birendra ของเนปาลที่ได้รับการสักการะและเคารพในช่วงเวลา 30 ปีที่ครองราชย์ แต่หลังจากที่ถูกสังหารโดยลูกชายที่มีสติฟั่นเฟือน ในปี 2001 เขาก็ได้ถูกสืบทอดราชบัลลังก์โดย King Gyeandendra ซึ่งก็ได้ทำการยุบสภาในปี 2005 และพยายามจะบังคับให้ใช้ระบอบสมบูรณาฯหรือกษัตริย์มีอำนาจในการปกครองโดยตรง แต่มันก็เป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ระบอบสาธารณรัฐ และการประท้วงของขบวนการนิยมลัทธิเหมา ปูทางให้เกิดการเลือกตั้งและสถาบันกษัตริย์ก็ถูกล้มล้างไปในเดือนมีนาคม
เป็นไปได้ไหมว่ากลุ่มผู้ประท้วงที่อ้างว่าสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ที่ทำให้สนามบินของไทยเป็นอัมพาต กำลังหว่านเมล็ดของความไม่ไว้วางใจสถาบันกษัตริย์ในกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่เลือกรัฐบาลปัจจุบัน เข้ามาบริหารประเทศเมื่อ 11 เดือนที่แล้ว เป็นไปได้ไหมว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่แข็งกร้าวมันกลบความขุ่นเคืองใจที่กำลังทวีคูณขึ้นทุกวัน
กษัตริย์ภูมิพลโดยปกติ จะถูกนำเสนอให้เห็นว่าทรงอยู่เหนือการเมือง จะเข้ามาแทรกแซงก็ต่อเมื่อต้องการจะยุติความขัดแย้งหรือ
ทำให้อำนาจทหารและการเมืองกลับสู่สภาวะสมดุลย์
แต่โดยแท้จริงแล้ว ประวัติศาสตร์ไม่ใช่จะง่ายอย่างที่คิด โดยรวมแล้วก็ได้เห็นด้วยเป็นนัยๆต่อการรัฐประหารที่อ้างเสถียรภาพและความ สะอาดของรัฐบาล
แต่ในเหตุการณ์นี้การนิ่งเงียบของกษัตริย์ในช่วงโกลาหลที่เกิดจากกลุ่ม พันธมิตรนั้น มันดูเหมือนจะเป็นการบอกอะไรบางอย่าง มันอาจเป็นการสัญญาณเป็นนัยๆว่าเป็นการสนับสนุนการชุมนุม หรือไม่ก็ได้ ด้วยพระชนมมายุ 81 พรรษา และพระพลานัยที่ไม่แข็งแรงนักและกำลังไว้ทุกข์ให้แก่สมเด็จพระพี่นาง พระองค์จึงไม่มีพระราชประสงค์ที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทที่ เกี่ยวข้องกับการสืบทอดราชบัลลังก์
อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องสงสัยเลยว่า กลุ่มพันธมิตรได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางโดยสถาบันที่เกี่ยวกับ ข้าราชการ ระบบความยุติธรรม และกองทัพที่เกี่ยวข้องกับองคมนตรี ซึ่งนำโดยอดีตนายกฯเปรม ติณสูลานนท์ซึ่งอายุ 88 ปี การสนับสนุนโดยราชวงศ์
ซึ่งสามารถเห็นได้จากการที่พระราชินีได้เสด็จไปร่วมงานศพของฝ่ายพันธมิตรที่อ้างว่าเสียชีวิตจากระเบิดแก๊สน้ำตาซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
กองทัพไม่สามารถที่จะนำความสงบกลับคืนมา หรือหยุดปัญหาโดยทำรัฐประหารอีกครั้ง เพราะครั้งก่อนก็ล้มเหลวและไม่มีแผนรองรับที่ดีหลังรัฐประหารด้วย
"พันธมิตรประชาชนประชาธิปไตย" ก็เป็นการตั้งชื่อที่ผิดด้วย เพราะส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มาจากชนชั้นสูง หรือการสนับสนุนทางการเงินโดยชนชั้นสูงที่เกลียดและกลัวอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกขับไล่จากตำแหน่งโดยการรัฐประหารปี 2006 พวกเขาไม่ไว้ใจระบอบประชาธิปไตย และอ้างว่าเป็นตัวแทนของรัฐบาลที่สุจริต
ทักษิณแน่นอนได้ใช้อำนาจในทางที่ผิดโดยต้องการผลประโยชน์ทางการเมืองและ การเงิน และเขาก็สมควรที่จะถูกลดอำนาจลง แต่สิ่งที่ศัตรูของเขาไม่พอใจคือการกุมอำนาจ และการที่เขาพึ่งคะแนนเสียงจากกลุ่มคนในชนบท กลุ่มที่ไม่พอใจกับข่องว่างของรายได้ที่กว้างระหว่างพวกเขากับชนชั้นกลาง
กลุ่มคนที่สนับสนุนระบอบการปกครองแบบกษัตริย์มีความต้องการอย่างมากที่จะให้ทักษิณหมดอำนาจระหว่างที่จะมีการสืบทอดพระราชบัลลังก์ มกุฎราชกุมารได้รับความนิยมน้อยกว่าพระราชบิดา และบทบาทไนอนาคตของราชวงศ์รวมทั้งราชินีก็ไม่มีความแน่นอน
ทักษิณไม่ใช่นักนิยมสาธารณรัฐ แต่เหมือนกับผู้นำที่แข็งแกร่งในทศวรรษที่ 50 และ 60 อย่างจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่พึงพอใจจะให้สถาบันกษัตริย์เป็นแต่เพียงการรักษาสัญลักษณ์ของธรรมเนียม ปฎิบัติมากกว่า และไม่ต้องการที่จะให้สถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลางของอำนาจ ชนชั้นสูงต้องการเพียงที่จะใช้สถาบันกษัตริย์เพื่อเกื้อหนุนสถานะภาพของ ตนเอง เหมือนที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ผ่านทางพันธมิตร
แต่นี่อาจจะลงเอยด้วยการเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์มากกว่าไม่ใช่การช่วยเหลือ เลย และถ้ากลุ่มคนที่สนับสนุนทักษิณได้เปรียบในการต่อสู้ชิงอำนาจครั้งนี้ พวกเขาจะสร้างความไม่พอใจให้กับราชวงศ์ที่ไม่สามารถดึงดูดความเคารพรักที่ ให้แก่กษัตริย์ภูมิพล และความสำเร็จของชนชั้นสูงนั้นก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากทางกองทัพด้วย ซึ่งบุคคลที่มีอำนาจในกองทัพอาจปรากฏออกมา และลดบทบาทของกษัตริย์องค์ใหม่
ดังนั้นคนไทยที่ให้ความสำคัญกับบทบาทของกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ควรศึกษาประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นานมานี้ และอันตรายของการใช้ฝูงชนประท้วงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง.
--------------------------------
บทความ ๒.
ประเทศไทย และรัฐประหารเพื่อคนรวย
(Thailand and the Coup for the Rich )
From The Asia Sentinel
December 2, 2008
โดย : ใจ อึ๊งภากรณ์
แปลโดย : Invisible hands
ได้ข้อมูลผ่าน : กระทู้บอร์ดฟ้าเดียวกัน โดย สมเสร็จเปรม
เป็นไปตามคาดหมาย ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
ศาลรัฐธรรมนูญ ของประเทศไทยตัดสินยุบพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย เป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันอังคารนี้ ทำให้รัฐบาลต้องลาออก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่กองทัพและตำรวจปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่ง ของรัฐบาล ให้ยึดสนามบินนานาชาติทั้งสองซึ่งถูกยึดโดยกลุ่มพันธมิตรฟาสซิสต์คืน
กลุ่ม นิยมเจ้าต่อต้านรัฐบาลประกอบด้วยพันธมิตรฟาสซิสต์ ทหาร ตำรวจ ตุลาการ สื่อกระแสหลัก พรรคประชาธิปัตย์ นักวิชาการชนชั้นกลางส่วนใหญ่ และ ....... พวกเขาอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารโดยตุลาการครั้งนี้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่มนอกกฎหมายที่ทำการปิดสนามบินใน กรุงเทพฯทั้ง 2 แห่ง
พันธมิตรฯเสื้อเหลืองมีการ์ดติดอาวุธยิงปืนใส่ ศัตรูอยู่เสมอ พวกเขาใช้ความรุนแรงเป็นประจำและเรียกร้องให้มี"การดูแลความปลอดภัยร่วม"กับ ตำรวจ พันธมิตรฯละเมิดกฎหมายอยู่เสมอ แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ แม้นานๆครั้งพวกเขาจะต้องไปขึ้นศาล พวกเขาก็จะได้รับประกันตัวและอนุญาตให้กลับไปก่ออาชญากรรมเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำ เล่าเสมอมา
คนไทยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนจนต้องรับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด อันดับแรก พวกนิยมเจ้าชนชั้นสูงกำลังทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อพรากสิทธิ พื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยไปจากพวกเขา อันดับสอง คนงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังตกงานเนื่องจากการปิดสนามบิน ภาคเกษตรกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ต่างก็ได้รับผลกระทบเช่นกันและพวกเราก็กำลัง เผชิญหน้า
กับวิกฤติเศรษฐกิจโลกขั้นรุนแรง พวกชนชั้นสูงไม่สนใจว่าเศรษฐกิจไทยจะถูกทำลายเพียงใดหรือประเทศไทยจะกลับไป เป็นประเทศโลกที่ 3 หรือไม่ ในประเทศโลกที่ 3 พวกชนชั้นสูงต่างก็มีชีวิตเช่นเดียวกับคนรวยในประเทศที่พัฒนาแล้ว พันธมิตรฯเป็นพวกชนชั้นกลางหัวรุนแรงที่ไม่จำเป็นต้องไปทำงาน ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงชุมนุมอย่างยืดเยื้อ
เราได้รับการบอกกล่าวจาก พวกหัวอนุรักษ์อยู่เสมอว่าคนจนโง่เกินกว่าที่ควรจะมีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้ง กองทัพทำรัฐประหารใน พ.ศ. 2549 และเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่เพื่อลดพื้นที่ทางประชาธิปไตยและเพื่อนิรโทษกรรม ให้ตัวพวกเขาเอง ประชาชนได้เลือกพรรครัฐบาลเข้ามาบริหารด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นหลายครั้งหลาย หน ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทยของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร หรือพรรคพลังประชาชนที่รับช่วงต่อ ตอนนี้ นักการเมืองของพรรคพลังประชาชนกำลังย้ายไปพรรคใหม่ชื่อพรรคเพื่อไทย การเลือกตั้งที่ยุติธรรมจะเกิดขึ้นหรือไม่? หรือพวกชนชั้นสูงจะวางแผน"แก้ไข"เพื่อทำให้คนของพวกเขาชนะ ?
อะไรคือสาเหตุของวิกฤติครั้งนี้ ?
ต้นเหตุ ของวิกฤติครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องการคอรัปชันของรัฐบาลทักษิณในอดีต ไม่ใช่เรื่องการซื้อเสียง, ธรรมาภิบาล, สิทธิพลเมือง, หรือหลักนิติรัฐ นักการเมืองทุกพรรครวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์เป็นที่รู้กันดีว่าซื้อเสียง ทั้งนั้น พวกชนชั้นสูงไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ หรือทหาร ต่างก็มีประวัติคอรัปชันอย่างน่าสะอิดสะเอียน แม้เมื่อพวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย พวกเขาก็รวยด้วยการทำนาบนหลังแรงงานและชาวนายากจน พรรคประชาธิปัตย์เต็มไปด้วยเศรษฐีเหล่านั้น
เป็นเรื่องประหลาดที่ พรรคไทยรักไทยกลับทำให้การซื้อเสียงลดความสำคัญลงเพราะมันเป็นพรรคแรกในรอบ หลายทศวรรษที่มีนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนยากจนอย่างแท้จริง พวกเขาริเริ่มนโยบายประกันสุขภาพแบบครอบคลุมและนโยบายกองทุนหมู่บ้านแบบเศรษ ศาสตร์สำนักเคนส์ ประชาชนเลือกพวกเขาด้วยนโยบายเหล่านี้ พรรคประชาธิปัตย์และพวกชนชั้นสูงหัวอนุรักษ์เกลียดการร่วมมือระหว่างพรรคของ ทักษิณกับคนยากจน พวกเขาเกลียดความคิดที่รัฐบาลจะใช้งบประมาณสาธารณะเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของ คนยากจน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เครือข่ายต่อต้านรัฐบาลจึงเป็นเครือข่ายต่อต้าน ประชาธิปไตย พันธมิตรฯได้แนะนำให้ลดจำนวน ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งและยื่นข้อเสนอให้ยกเลิกหลักการ"หนึ่งคน หนึ่งเสียง" ดังนั้นต้นเหตุของปัญหาก็คือการที่ชนชั้นสูงอนุรักษ์ดูถูกเหยียดหยามคนจนและ รังเกียจประชาธิปไตย พวกเขาพร้อมที่จะละเมิดกฎหมายเมื่อมันเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา
อะไรคือทางออก ?
พวก นักธุรกิจและชนชั้นสูงนิยมเจ้ากำลังเรียกร้องรัฐบาลแห่งชาติที่ไม่ได้มาจาก การเลือกตั้ง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์"รับอาสา"เป็นนายกรัฐมนตรี! รัฐบาลแห่งชาติจะทำให้การรัฐประหารโดยตุลาการเพื่อคนร่ำรวยเสร็จสมบูรณ์ มันจะเป็นชัยชนะของพันธมิตรฯและเป็นความพ่ายแพ้ของผู้เลือกตั้ง
กลุ่ม เสื้อแดงที่ก่อตั้งโดยนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลเป็นความหวังเดียวของ ประชาธิปไตยไทย พวกเขาตอนนี้เป็นกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยเพื่อคนจนโดยแท้จริง นี่คือสิ่งที่เรียกว่า "ประชาสังคม" หาใช่พวกพันธมิตรฟาสซิสต์ไม่ นักวิชาการไทยไม่เข้าใจข้อเท็จจริงพื้นฐานข้อนี้ แต่กลุ่มเสื้อแดงก็ไม่ใช่กลุ่มที่มีความเห็นเดียว หลายคนมีภาพลวงตาเกี่ยวกับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร พวกเขามองข้ามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้และสงครามยาเสพติด ซึ่งประชาชนหลายร้อยคนถูกยิงเพราะเป็นผู้ค้ายาโดยปราศจากการจับกุม ตัดสินหรือพิสูจน์ แต่ประเด็นสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ก็ถูกละเลยอย่างสิ้นเชิงโดยพวกพันธมิตรฯและ เครือข่าย
ของเขาด้วยเช่นกัน
ตลอดวิกฤติที่ยาวนานกว่าสามปีนี้ ขบวนการเอ็นจีโอไทยส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน) ต่างล้มเหลวในการสนับสนุนประชาธิปไตย พวกเขาหลายคนอ้าแขนรับรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ด้วยความยินดี หลายคนสนับสนุนรัฐธรรมนูญของทหาร ตอนนี้พวกเขากำลังเงียบหรือไม่ก็พูดย้ำข้อเสนอของผู้บัญชาการทหารบก ที่พูดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่ารัฐบาลควรลาออก
พวกเขาไม่เคยพยายาม สร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่สนับสนุนประชาธิปไตย หลายคนเชื่อว่าคนจน "ไร้การศึกษา" และขาดข้อมูลเพียงพอที่จะเลือกตั้ง ตัวอย่างที่น่านับถือได้แก่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนที่เชียงใหม่ บางส่วนของขบวนการแรงงาน และกลุ่มนักกิจกรรมเอ็นจีโอรุ่นใหม่ๆ และกลุ่มเลี้ยวซ้าย
วิกฤติเศรษฐกิจ
คนหลายล้านคนต้อง สูญเสียงานเพราะวิกฤติเศรษฐกิจโลกและความวุ่นวายในสังคมไทย ผู้คนถูกผลักกลับไปสู่ความยากจน แต่กระนั้น พรรคประชาธิปัตย์ ทหาร ชนชั้นสูงนิยมเจ้า และเอ็นจีโอกระแสหลัก ก็ไม่เข้าใจหรือไม่แยแสเรื่องนโยบายที่จะปกป้องคุณภาพชีวิตของคนจนแม้แต่ นิดเดียว พวกเขาพร่ำสรรเสริญเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัวและความจำเป็นเรื่อง วินัยทางการ
คลัง พูดง่ายๆก็คือคนจนต้องลดรายจ่ายของเขาและเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่กับความยากจน ในขณะที่คนรวยก็มีชีวิตอยู่อย่างหรูหราต่อไป
พวก เราเรียกร้องให้รัฐใช้จ่ายกับถนนหนทาง การปกป้องงาน และการเพิ่มสวัสดิการ อย่างหมดหวัง ภาษีมูลค่าเพิ่มควรจะต้องถูกลดหรือกำจัดให้หมดไป และควรเรียกเก็บภาษีชนชั้นสูงที่ร่ำรวยให้สูงขึ้นอย่างไม่มีข้อยกเว้น งบทหารมหาศาลควรถูกตัด ค่าแรงควรเพิ่ม ชาวนายากจนควรได้รับการปกป้อง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ในบรรยากาศประชาธิปไตยที่แท้จริงเท่านั้น นี่เป็นเหตุผลที่เราต้องต่อต้าน"รัฐประหารเพื่อคนรวย"ครั้งที่ 2 ครั้งนี้.
---------------------------------
บทความ ๓.
บทวิเคราะห์ : ข่าวลือรอบ ๆ สถาบันกษัตริย์ไทย และชัยชนะของพันธมิตรฯ
(Analysis: dark rumours around Thai monarchy and PAD victory)
From The Times
December 3, 2008
โดย : Richard Lloyd Parry
แปลโดย : Invisible hands
ได้ข้อมูลผ่าน : กระทู้บอร์ดฟ้าเดียวกัน โดย สมเสร็จเปรม
ดูภายนอก สำหรับนักท่องเที่ยวกว่าสองแสนคนที่ต้องไปค้างในโรงแรมและห้องโถงผู้โดยสารขาออกเมื่อสัปดาห์ก่อน มันดูเหมือนเป็นวิธีแก้ปัญหาไร้สาระด้วยความเมตตาปรานี เมื่อคืนนี้ หลังจากที่นายกรัฐมนตรีไทยถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ประกาศว่า พวกเขาจะเลิกการชุมนุม
พวกเสื้อเหลืองจะออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ การยึดทำเนียบรัฐบาลในใจกลางกรุงเทพฯกว่า 3 เดือนจะยุติลง
อย่างไรก็ตาม การคิดว่าประเทศไทยกลับเข้าสู่ความสงบแล้วนั้นเป็นการคิดผิด
ปรากฏการณ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา – ที่นักท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมการส่งออกของทั้งประเทศถูกจับเป็นตัวประกันโดยคนชั้นก
ลางบ้าคลั่งหลายพันคน – แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอันน่าสะพรึงกลัวที่เข้ามาสู่ประเทศไทยตลอดสามปีที่ผ่านมา
จากที่เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสถียรภาพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้มันกลายเป็นสถานที่ประชาธิปไตยแทบจะหยุดทำงาน
คำถามหลักคือ ม็อบที่อย่างมากก็มีเพียงอาวุธเบา สามารถยึดสถานที่ที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น สนามบิน ได้อย่างง่ายดายและยาวนานมากได้อย่างไร
ถ้าทหารต่างชาติหรือผู้ก่อการร้าย เช่น พวกที่โจมตีมุมไบเมื่อสัปดาห์ก่อน บุกสนามบินสุวรรณภูมิแล้วล่ะก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตำรวจและทหารไทยจะต่อสู้กับพวกนั้นไปแล้ว มันไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถเอาพันธมิตรฯออกมาได้ พวกเขาเลือกที่จะไม่ทำ
และนี่ก่อให้เกิดคำถามสำคัญ – ใครเป็นคนบริหารประเทศไทยกันแน่?
ทั้ง ๆ ที่มีชื่อว่าเพื่อประชาธิปไตย พันธมิตรฯ กลับสนับสนุนให้รัฐธรรมนูญลดขอบเขตประชาธิปไตยเพื่อลดอิทธิพลของผู้ลงคะแนน
เสียงในชนบท ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงข้างมากอาจปฏิเสธการเมืองของพันธมิตรฯ แต่ จากความไม่สะทกสะท้านของพันธมิตรเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นว่ามันมีผู้อยู่เบื้องหลังจากสถาบันที่มีอำนาจมากพอที่ทำให้ ตำรวจและทหารต้องหวั่นกลัว
พวกเขาเป็นใคร ? คำตอบที่ได้รับ แม้ว่าจะมาจากคนไทยที่รู้ข้อมูลมากที่สุด ก็ยังคลุมเครือและยากจะพิสูจน์ ไม่ต้องสงสัยว่าผู้สนับสนุนพันธมิตรฯหลายคนเพียงแค่เกลียดทักษิณ ชินวัตร และเกลียดการที่เขาเอาใจคนยากจนตามชนบท แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อธิบายว่าทำไมพวกเขาถึงสามารถละเมิดกฎหมายอย่าง โจ่งแจ้งได้ถึงเพียงนี้
สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำม็อบ เป็นเจ้าพ่อสื่อผู้มั่งคั่ง แต่ลำพังตัวเขาเองไม่สามารถทำให้พันธมิตรฯชุมนุมยืดเยื้อขนาดนี้ได้
ข่าวลือ ลึกลับ – และมากกว่านั้นนิดหน่อย – กล่าวว่า พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากสถาบันกษัตริย์ไทยที่ทรงอำนาจ บางทีอาจมาจากพระราชินีสิริกิติ์ผู้แสดงความเห็นใจอย่างชัดแจ้งต่อพันธมิตรฯ ที่บาดเจ็บจากการปะทะกับตำรวจ คาดเดากันว่า พระองค์สนับสนุนพันธมิตรฯ เพื่อต่อต้านอิทธิพลของทักษิณที่ว่ากันว่ามีเหนือพระโอรสของพระองค์ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณผู้ไม่เป็นที่นิยม
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องยากแม้แต่จะพูดถึงในประเทศไทยที่ซึ่งผู้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือทำให้กษัตริย์เสื่อมเสียชื่อเสียง จะต้องรับโทษถึงขั้นจำคุก ไม่ว่าอะไรคือความจริงที่อยู่เบื้องหลังม็อบพันธมิตรฯที่ชั่วร้าย มันจะยังคงส่งอิทธิพลต่อไปยาวนานหลังจากที่นักท่องเที่ยวที่โศกเศร้ากลับบ้านไปแล้ว.
---------------------------------------
บทความ ๔.
ผู้ประท้วงชาวไทยทำสำเร็จได้อย่างไร ?
(How did Thai protesters manage it ?)
From BBC News December 3, 2008
โดย : Jonathan Head
แปลโดย : มือที่มองไม่เห็น
ได้ข้อมูลผ่าน : Hello Siam
หลังประกาศชัยชนะ ฝูงเสื้อเหลืองพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ม้วนเสื่อและถุงนอนของพวกเขา
พวกเขาต่อคิวรับของที่ระลึกเป็นผ้าพันคอ (แน่นอน สีเหลือง) ที่มีลายเซ็นแกนนำที่พาพวกเขาก่อจลาจลที่น่าประหลาดใจ แล้วพวกเขาก็ขึ้นรถบัสและรถปิคอัพกลับบ้าน ฝูงคนทำความสะอาด ช่าง และ รปภ. กลับเข้ามาทำสนามบินอันทันสมัยของกรุงเทพฯมูลค่ากว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ให้ใช้งานได้อีกครั้ง
ภายในไม่กี่วัน การประท้วงครั้งนี้จะกลายเป็นความทรงจำเหมือนฝัน
แต่คำถามที่การกระทำของพวกเขาได้ทิ้งไว้เกี่ยวกับรัฐไทย จะยังคงอยู่ต่อไปอีกนานหลังจากที่มือตบพลาสติกชิ้นสุดท้ายถูกหยิบไปทิ้ง ประเทศที่เจริญและพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวเท่ากับประเทศไทย จะปล่อยให้ศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญยิ่งถูกบุกรุกโดยม็อบที่ไม่เคยมีคนมาก ไปกว่าไม่กี่พันคนได้อย่างไร?
พันธมิตรฯ คือใคร และอะไรทำให้พวกเขามีความมั่นใจที่จะก่อวินาศกรรมทางเศรษฐกิจโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายใด ๆ ?
ตำรวจอ่อนแอ
การประท้วงในสนามบินแสดงให้เห็นฝีมือของพันธมิตรฯในการทำงานเสี่ยงอันตราย ที่อาจหาญและและไม่คาดคิด เมื่อขบวนรถพันธมิตรฯขบวนแรกเข้าใกล้สนามบินเมื่อวันอังคารที่แล้ว พวกเขาบอกว่าพวกเขาเพียงต้องการประท้วงนายกรัฐมนตรีสมชาย วงสวัสดิ์ ซึ่งมีกำหนดกลับจากการประชุมเอเปคที่เปรู
รัฐบาลมีแผนหลีกเลี่ยงการปะทะ พวกเขาไม่ต้องการซ้ำรอยเหตุการณ์หายนะในเดือนตุลาคม ที่พันธมิตรฯหลายคนได้รับบาดเจ็บรุนแรงในการปะทะกับตำรวจ
ตำรวจได้รับคำสั่งไม่ให้ใช้กำลัง จึงต้องถอยไม่มีใครคาดคิดว่าพันธมิตรฯจะพยายามยึดหนึ่งในสนามบินที่ใหญ่ ที่สุดและคนพลุกพล่านมากที่สุดในโลก
ความจริงแล้ว ผู้จัดตั้งม็อบพันธมิตรฯหลายคนบอก BBC ว่าพวกเขาวางแผนยึดสนามบินไว้อย่างรอบคอบเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
ความอ่อนแอของตำรวจไทยคือ สิ่งสำคัญเช่นกัน
พวกเขาไม่อาจเทียบกับม็อบที่มีความแน่วแน่และจัดตั้งมาอย่างดีแบบนี้ได้เลย พวกเขาไม่ได้รับการฝึกควบคุมจลาจลมาดีนัก และยังขาดสถานะของกองทัพ เมื่อเป็นที่ชัดเจนว่าพันธมิตรฯต้องการยึดสนามบิน ผู้ว่าจังหวัดจึงขอความช่วยเหลือจากกองทัพ ไม่มีใครมาแม้แต่คนเดียว
ตลอดปีนี้ การที่กองทัพปฏิเสธให้ความช่วยเหลือควบคุมม็อบพันธมิตรฯทำให้รัฐบาลไม่มี หนทางต้านการจลาจลนี้ได้ ตำรวจกำลังเผชิญหน้ากับองค์กรที่มีความแข็งแกร่งด้านการส่งกำลังบำรุงอย่าง มหาศาล
มันเป็นม็อบที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีและมีเงินทุนหนาแน่น
ประสิทธิภาพการส่งบำรุงกำลัง
หนึ่งในนายพลเกษียณที่ให้การสนับสนุนการยึดสยามบินให้ความเห็นว่า ม็อบนี้ควรถูกมองว่าเป็นกำลังทหาร ไม่ใช่องค์กรของพลเรือน ที่ยืนหลัง "ป้าๆกับมือตบ" และสาวๆแต่งตัวดีจูงสุนัขตัวเล็กๆ ดังภาพที่ปรากฏในสื่อ คือกลุ่มนักเลงถือไม้ ตะปู ปืนพก เฝ้าด่านและตามล่าผู้บุกรุกเช้าวันหนึ่ง
ผมตามพวกเขาไป พวกเขาลากคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นสายสืบของรัฐบาลไปยังสถานที่ที่ไม่เปิดเผย และเตะต่อยเขาผมไม่อาจทราบชะตากรรมของเขาได้ อันธพาลบางคนเหล่านี้เป็นสมาชิกกองทัพส่วนตัวของพวกนายพลเกษียณประสิทธิภาพ การส่งบำรุงกำลังของพันธมิตรฯนั้นน่าประทับใจ
ภายในไม่กี่ชั่วโมงของการยึดสนามบิน มันก็มีเสบียงอาหาร น้ำ ผ้าห่ม และยา พร้อมสำหรับผู้เข้าร่วมการประท้วงหลายพันคนอาหารไม่เคยขาดแคลน คุณสามารถชาร์จมือถือของคุณหรือส่งข้อความก็ได้ คนทำสะอาดของพันธมิตรฯคอยทำความสะอาดพื้นและห้องน้ำ ร้านค้าปลอดภาษีและที่เช็กอินถูกปิดไม่ให้เข้า และได้รับการปกป้องโดยการ์ดพันธมิตรฯ
อาวุธโฆษณาชวนเชื่อของพันธมิตรฯก็น่าประทับใจไม่แพ้กันมันมีสถานีโทรทัศน์ ส่วนตัวชื่อ ASTV ซึ่งแพร่ภาพไปทั่วและโจมตีรัฐบาลไม่ขาดสายไม่ว่าม็อบจะไปที่ไหน มันจะมีเวทีเคลื่อนที่ ซึ่งอยู่บนหลังคารถบรรทุกที่คอยแพร่เสียงการปราศัยและดนตรี
ตั้งแต่เช้ามืดไปจนหลังเที่ยงคืนสารของมันเรียบง่าย: อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร คือปีศาจ ขโมยเงินของประชาชน และจะทำลายประเทศ คนจนในชนบทที่เลือกพรรคของเขาต่างถูกซื้อ และไม่อาจคิดด้วยตัวเองได้
บางคนที่เข้าร่วมการยึดสนามบินนั่งฟังการปราศัยของนักปลุกระดมเหล่านี้มา หลายเดือนไม่หยุดหย่อนพวกเขาเชื่ออย่างแรงกล้าว่าการกระทำของพวกเขาคุ้มค่า กับความเสียหายที่เกิดขึ้่นกับประเทศ
เพื่อการเมืองไทยที่ใสสะอาดคำถามที่ว่าใครอยู่เบื้องหลังพันธมิตรฯยังคงเป็น เรื่องที่คาดเดากันอย่างมากมายในประเทศไทยผมพบกับนักธุรกิจเชื้อสายจีนหลาย คนที่สนามบินซึ่งคอยช่วยสนับสนุนเสบียงให้พันธมิตรฯแต่เชื่อกันว่า ธุรกิจไทยที่ใหญ่กว่านี้หลายเท่า เป็นผู้สนับสนุนม็อบด้านการเงิน ซึ่งรวมถึงธนาคารไทยสองแห่งเป็นอย่างน้อย
การสนับสนุนจากพระราชวัง ?
ทักษิณ ชินวัตร สร้างศัตรูกับผู้มีอิทธิพลไว้จำนวนมากขณะที่เขาเป็นนายกฯ ด้วยความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ
พวกเขาเหล่านี้กำลังใช้นักรบพันธมิตรฯแก้แค้นพรรคของทักษิณ มีอดีตนายทหารมากมายที่ให้ความช่วยเหลือพันธมิตรฯ เช่น พล.อ.ปฐมพงศ์ เกษรศุกร์ ผู้เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้กองทัพทำรัฐประหารขับไล่รัฐบาลหนึ่งในแกนนำ พันธมิตรฯ คือ จำลอง ศรีเมือง อดีตนายพลที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ปรึกษาสูงสุดของกษัตริย์
ดังนั้น จึงเกิดคำถามที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกมากที่สุด นั่นคือ ความสัมพันธ์กับพระราชวังพันธมิตรฯอ้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของพวกเขา ว่าเป็นการปกป้องสถาบันกษัตริย์ พระบรมฉายาลักษณ์ถูกแสดงเด่นชัดตลอดการชุมนุมบุคคลใกล้ชิดกับพระราชวังระดับ สูงหลายคนสนับสนุนม็อบอย่างเปิดเผย
เมื่อพระราชินีรับเป็นประธานในงานศพของพันธมิตรฯคนหนึ่งที่เสียชีวิตระหว่างการปะทะกับตำรวจ มันดูเหมือนการให้พรแก่ม็อบอย่างเป็นนัยๆ
บางคนในรัฐบาลยังเชื่อด้วยว่ากษัตริย์ผู้เป็นที่เคารพอาจกำลังสนับสนุนม็อบ แม้ว่าด้วยพระชนมายุกว่า 81 พรรษา เรื่องนี้ดูไม่น่าเป็นไปได้ยากที่จะหาหลักฐานแน่ชัดได้ แต่การเคลื่อนไหวของประชาชนในประเทศไทยตอนนี้กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่ พวกเขาเชื่อว่าจริง
รัฐบาลและผู้สนับสนุนตามชนบท เชื่อว่า พระราชวัง กองทัพ และชนชั้นสูง วางแผนปล้นสิทธิเลือกตั้งของพวกเขา
พันธมิตรฯและผู้สนับสนุนชนชั้นกลาง เชื่อว่า ฝ่ายทักษิณตั้งใจจะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นสาธารณรัฐ และทำลายระเบียบสังคมที่มีอยู่ด้วยเชื่อว่าเดิมพันครั้งนี้สูงยิ่งนัก
การประนีประนอมระหว่างสองฝ่ายจึงแทบเป็นไปไม่ได้.
-----------------------------
บทความ ๕.
สถาบันกษัตริย์ของไทย กษัตริย์กับประชาชนไทย :
เรื่องเร้นลับเกี่ยวกับบทบาทของพระราชวัง ต่อความความล้มเหลวของประชาธิปไตยไทย
(The untold story of the palace’s role behind the collapse of Thai democracy)
From The Economist
December 4, 2008
บทบรรณาธิการ The Economist
แปลโดย : saraburian (บอร์ดฟ้าเดียวกัน)
ธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย อุตสาหกรรมการส่งออก และภาพลักษณ์ของประเทศได้ถูกทำลายลงราบคาบจากเหตุการณ์ทั้งหลายที่เพิ่งเกิดขึ้น บรรดาผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์ได้เข้ายึดพื้นที่ในหน่วยราชการหลายแห่งเป็นเวลาหลายเดือน และได้เข้ายึดสนามบินกรุงเทพฯทั้งสองแห่ง ตำรวจไทยปฏิเสธที่จะทำการขับไล่กลุ่มผู้ชุมนุม กองทัพก็ปฏิเสธที่จะเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือ สัปดาห์นี้เองการยึดสนามบินจบลงหลังจากที่ศาลได้ตัดสินยุบพรรคการเมืองสามพรรคที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ทั้งสามพรรคมีแผนที่จะตั้งพรรคขึ้นใหม่ภายใต้ชื่อใหม่ และร่วมกันบริหารประเทศต่อไปท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังครุกรุ่น เปรียบดั่งเปลือกหุ้มแห่งความทันสมัยอันเป็นผลของการพัฒนาแบบก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 ได้ลอกคราบบาง ๆของมันออกมาเสียแล้ว ทั้งที่ไม่นานมานี้ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่า เป็นหัวขบวนของเอเชีย ในความเป็นสังคมอันเปิดกว้างที่ยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย ตอนนี้ดูเหมือนประเทศไทยกลับค่อย ๆ คืบคลานเข้าสู่ความเป็นอนาธิปไตย
ความขัดแย้งเริ่มปรากฎเมื่อสามปีที่แล้วจากการชุมนุมประท้วงที่สงบและเป็นระเบียบ เพื่อต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวงและการใช้อำนาจในทางที่ผิดของรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร บรรดาผู้ประท้วงซึ่งแต่งกายในชุดสีเหลืองอันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของกษัตริย์ ซึ่งกล่าวหาว่าทักษิณเป็นผู้ที่มีแนวความคิดแบบสาธารณรัฐนิยมประสบความสำเร็จ เมื่อบรรดานายทหารผู้จงรักภักดีได้ทำการยึดอำนาจจากทักษิณเมื่อปี พ.ศ. 2549 แต่เมื่อประชาธิปไตยได้กลับมาเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว คนไทยส่วนใหญ่ได้ลงคะแนนเสียงเลือกพรรคการเมืองซึ่งเป็นมิตรกับทักษิณเข้ามาบริหารประเทศ บรรดาผู้ประท้วงสวมเสื้อเหลืองซึ่งเรียกตนเองอย่างไม่ค่อยจะตรงกับความจริงนักว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กลับมาก่อการประท้วงอีกครั้ง รวมทั้งได้นำเอาวิธีการอันเป็นอันธพาลมากยิ่งขึ้นมาใช้ ซึ่งกระตุ้นให้บรรดาผู้ที่สนับสนุน ทักษิณรวมตัวกันสู้โดยมีสัญลักษณ์เป็นเสื้อสีแดง
พูดไม่ได้
ตลอดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น สิ่งที่มิอาจพูดถึงได้ ซึ่งไม่ใช่เพียงเฉพาะโดยสื่อสารมวลชนไทย แต่รวมถึงโดยผู้สื่อข่าวต่างชาติส่วนใหญ่ด้วยนั้น ก็คือ บทบาทของกษัตริย์ภูมิพล ราชวงศ์ และผู้รับใช้ใกล้ชิดทั้งหลาย กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งถูกบังคับใช้อย่างรุนแรงที่สุดในบรรดาทุกประเทศทั่วโลก เป็นเกราะกำบังสำคัญที่ทำให้แม้แต่การเอ่ยถึงบทบาทของราชวงศ์ แม้แต่อย่างที่สุภาพที่สุดก็ยังถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามในที่สาธารณะ กฎหมายดังกล่าว ซึ่งถือว่าตกสมัยไปแล้วในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกแต่ในประเทศไทยกลับได้ถูกนำมาปรับใช้อย่างแข็งขันในช่วงทศวรรษ 1970 เป็นความพิลึกยิ่งที่ใครก็ได้ สามารถที่จะฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งตำรวจจะต้องดำเนินคดีอย่างจริงจังแม้กับข้อหาขี้ประติ๋ว
ทั้งหมดนี้ทำให้กฎหมายดังกล่าวเป็นเครื่องมือย่างดีสำหรับนักการเมืองหรือใครก็ตามที่ต้องการจะทำลายศัตรูของตน และบ่อยครั้งสื่อสารมวลชนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้อธิบายถึงรายละเอียดของข้อกล่าวหาที่มีต่อราชวงศ์ ทำให้คนไทยไม่มีทางเลยที่จะได้รับทราบว่าข้อกล่าวหาที่ว่าเป็นการไม่เคารพต่อราชวงศ์จริง ๆ หรือไม่
กฎหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพนับเป็นความโหดเหี้ยมในตัวเองอยู่แล้ว และไม่ควรถูกนำมาบังคับใช้ในประเทศใดก็ตาม ที่ประกาศตนว่าเป็นประชาธิปไตย แย่ยิ่งกว่านั้นอีก ก็คือ การที่กฎหมายดังกล่าวปิดบังให้คนไทยทราบถึงเหตุผลบางประการที่เป็นต้นเหตุของปัญหาของการเมืองของประเทศตน แม้แต่สิ่งที่กษัตริย์เองตรัสเรียกว่าเป็นความ “มั่ว” ของประเทศไทยนั้น ก็มีสาเหตุในหลาย ๆ ทางที่มาจากการเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมืองของตัวพระองค์เอง ตลอด 62 ปีที่ทรงครองราชสมบัติ (โปรดดูบทความประกอบ) ส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนี้เป็นผลอันเกิดจากแก่งแย่งซึ่งอำนาจก่อนการเปลี่ยนรัชสมัย ยิ่งเหตุการณ์ที่พระมหากษัตริย์เองจะทรงมีพระชมมพรรษาครบ 81 พรรษาในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ยิ่งทำให้เหตุการณ์ที่นับวันยิ่งทวีความสำคัญยิ่งๆขึ้นเรื่อย ๆ
รายละเอียดส่วนใหญ่ของเรื่องราวที่ว่า การกระทำของกษัตริย์ได้ทำลายระบบการเมืองของประเทศตนอย่างไรนั้น เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นหู เพราะคนไทยไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับทราบ หลายคนจะพบว่า ข้อวิพากษ์วิจารณ์ของเราทำให้พวกเขาไม่สบอารมณ์ และโมโหเป็นฟืน เป็นไฟ แต่เราคิดว่า เราคงไม่ทำการการวิพากษ์วิจารณ์ครั้งนี้หากเราไม่เห็นว่ามันไม่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวิจารณ์
ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องเปิดกว้างต่อการอภิปรายในเรื่องนี้เพื่อที่จะเตรียมตนเองสำหรับการที่จะมีผู้ที่ได้รับการยอมรับนับถือน้อยกว่าขึ้นเป็นกษัตริย์ ไม่ดีแน่ ๆ ที่ประเทศใดจะหลอกตนเองกับประวัติศาสตร์ในแบบเทพนิยายปรัมปรา ซึ่งเชื่อว่ากษัตริย์ของตนนั้นไม่เคยทำสิ่งใดผิดเลย ทรงอยู่เหนือการเมือง และทรงเข้ามาแทรกแซงเพื่อรักษาประชาธิปไตยเท่านั้น ทั้งหมดนี้ไม่เป็นความจริงเลย
ประวัติศาสตร์ไทยฉบับเป็นทางการ ย้ำแล้วย้ำอีกกับเหตุการณ์ เช่นในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งกษัตริย์ภูมิพลได้แทรกแซงให้ทรราชมือเปื้อนเลือดลาออก และเป็นอิทธิพลสำคัญให้ประเทศกลับสู่ภาวะประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง แต่เหตุการณ์อื่น ๆ ซึ่งมีการแทรกแซงจากกษัตริย์ และราชวงศ์ในทางที่ส่งผลเสีย กลับไม่ได้รับการกล่าวถึง หรือนำมาอภิปรายเลย
ในปี พ.ศ. 2519 ในขณะที่กษัตริย์ภูมิพลมีความกลัวจนเกินกว่าเหตุกับภัยร้ายจากลัทธิคอมมิวนิสต์ กษัตริย์ได้ทรงละเลยถึงความโหดร้ายป่าเถื่อนของขบวนการขวาจัดซึ่งสมาชิกได้รุมเข่นฆ่ากลุ่มผู้ประท้วง นักศึกษาที่ไร้อาวุธ ในช่วงสงครามเย็น อเมริกา เห็นว่า กษัตริย์ภูมิพลเป็นพันธมิตรที่สำคัญยิ่ง และได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อกระบวนการสร้างภาพลักษณ์ของกษัตริย์ภูมิพล ความร่วมมืออันยาวนานนี้ ผนวกกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ถูกบังคับใช้อย่างรุนแรง เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้บรรดานักการฑูต นักวิชาการ และ ผู้สื่อข่าวจากโลกตะวันตกยอมกลืนเลือดตัวเองโดยการหุบปากเงียบจากการวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ
หลังจากเหตุการณ์การรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นครั้งที่ 15 ในรัชสมัยของกษัตริย์ภูมิพล เจ้าหน้าที่ทางการของไทยพยายามที่จะบอกชาวต่างชาติว่า รัฐพิธีบีบบังคับให้กษัตริย์ต้องยอมรับการยึดอำนาจของนายทหารในกองทัพ ในขณะที่คนไทยถูกบอกอีกอย่างหนึ่งว่า กษัตริย์ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้คณะผู้ก่อการรัฐประหารเข้าเฝ้าฯ และหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ได้ตีพิมพ์ภาพดังกล่าวในหน้าหนึ่งเสมือนเป็นการบอกว่า กษัตริย์ได้ให้การยอมรับกับการยึดอำนาจดังกล่าว
ในความเป็นจริงแล้วกษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจที่จะแสดงออกว่า ทรงไม่พอพระราชหฤทัยต่อการยึดอำนาจ หากทรงเห็นเช่นนั้นโดยการสั่งการให้กำลังทหารภายใต้พระองค์ออกมาต่อสู้ หรือแม้แต่การที่จะเลือกทรงนิ่งเฉยไม่ยอมรับผลดังกล่าวก็ได้ แต่ทรงกลับเลือกที่จะใช้พระราชอำนาจในอีกทางหนึ่งแทน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 ซึ่งได้ทรงมีพระราชดำรัสต่อบรรดาผู้พิพากษาให้ดำเนินการจัดการกับวิกฤตการเมืองนั้น บรรดาศาลดูเหมือนจะได้แปลพระราชประสงค์ออกมาในรูปของการเร่งดำเนินการกับคดีต่าง ๆ ต่อตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายของเขา โดยล่าสุด มีการตัดสินยุบพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลทั้งสามพรรคลง
อนาคตอันไร้ซึ่งเทพนิยาย
ในจินตนาการของคนไทยผู้นิยมเจ้า ประเทศของพวกเค้านั้นเหมือนกับภูฏาณ ประเทศซึ่งมีกษัตริย์หนุ่มที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รักของประชากรทั้งหลาย ซึ่งมีเพียงไม่กี่แสนคนซึ่งยินดีกับการอยู่ภายใต้การปกครองแบบกษัตริย์มากกว่าระบอบประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริง ท่ามกลางความโกรธแค้นของสาธารณะชนต่อการสนับสนุนของพระราชินีต่อวิธีการอันเป็นอันธพาลของพันธมิตรฯ รวมถึงการมองเห็นถึงความไม่เหมาะสมในตัวรัชทายาท ที่นับวันยิ่งกระชั้นชิดต่อการขึ้นครองราชย์ ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่เผชิญกับเหตุการณ์เฉกเช่นที่เกิดกับประเทศเนปาล คือ สงครามกลางเมือง และการที่กษัตริย์ที่ได้มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองปัจจุบัน ได้กลายเป็นประชาชนธรรมดาในประเทศสาธารณรัฐไปเสียแล้ว
พันธมิตรฯ ซึ่งได้รับการอุ้มชูและให้ท้ายโดยพระราชวัง แต่กลับกลายมาเป็นสิ่งที่บ่อนเซาะทำลายพระราชวังเสียเอง ภาพที่ปรากฎซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อสาธารณชนในหลายวันที่ผ่านมา ก็คือ บรรดาอันธพาลในกลุ่มผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ ได้ยิงทำร้ายผู้สนับสนุนรัฐบาลในขณะที่ชูพระบรมฉายาลักษณ์ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า กษัตริย์และราชวงศ์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาใหญ่นี้ และประทับอยู่เหนือสุดในลำดับชั้นอันไม่สิ้นสุดในสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันนี้ คุณไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อในการปกครองแบบสาธารณรัฐที่จะเห็นด้วยว่าเป็ ความจำเป็นที่จะต้องอภิปรายได้อย่างเปิดเผยต่อเรื่องนี้แล้ว
ก่อนที่ ดิ อีโคโนมิสต์ จะตีพิมพ์บทความชิ้นนี้ ในคืนวันก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษา มีรายงานว่า กษัตริย์ภูมิพล ทรงมีพระอาการป่วยและไม่ทรงสามารถที่จะพระราชทานพระราชดำรัสได้อย่างที่ทำเป็นประจำทุก ๆ ปี ดังนั้นกษัตริย์ภูมิพลจึงยังไม่ได้ออกมาแสดงความไม่เกี่ยวข้องของพระองค์เอง กับ บรรดาบุคคลในเสื้อเหลืองที่อ้างว่าพวกเค้านั้นดำเนินการต่าง ๆ เพื่อพระองค์ การนิ่งเฉยของกษัตริย์ได้ส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อระบบนิติรัฐของประเทศไทย กระนั้นก็ดีพระองค์ก็ยังทรงเป็นบุคคลเดียวที่จะสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ โดยการออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันคร่ำครึรวมทั้ง การตัดรัฐธรรมนูญส่วนที่สนับสนุนกฎหมายดังกล่าวทิ้งเสียทั้งหมด สิ่งนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนไทยสามารถร่วมกันอภิปรายเพื่อหาทางออกสำหรับอนาคตของตนได้
กษัตริย์ภูมิพลได้เคยกล่าวถึงกฎหมายดังกล่าวอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ เมื่อปีพ.ศ. 2548 ว่า ตัวพระองค์เองไม่ได้ทรงอยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ แต่สิ่งใดก็ตามที่น้อยกว่าการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทิ้งทั้งหมด ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาใหญ่นี้ได้ ใครก็ตามที่เป็นมิตรแท้กับประเทศ และประชาชนไทยต้องช่วยกันบอกประเทศไทย.
----------------------
บทความ ๖. (ภาคละเอียดของบทความ ๕)
พระเจ้าแผ่นดินของไทย กับวิกฤตของประเทศ :
ความวุ่นวายที่เกิดจากพระเจ้าแผ่นดินอย่างแท้จริง
(Thailand's king and its crisis : A right royal mess)
From The Economist
December 4, 2008
บทบรรณาธิการ The Economist
แปลโดย : freethai (บอร์ดฟ้าเดียวกัน)
ได้ข้อมูลผ่าน : Hello Siam
ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่มีทางออกของไทยเป็นผลมาจากคำสั่งต้องห้ามบางประการของราชวงศ์ และนี่คือเหตุผลที่ว่าข้อห้ามเหล่านั้นจะต้องถุกยกเลิก แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด ได้รับการบูชาจากประชาชนเสมือนว่าเป็นสมมติเทพ ก็ยังไม่มีชีวิตที่เป็นอมตะ คนไทยถูกเตือนถึงความจริงข้อนี้จากงานพระราชพิธีศพที่กินเวลานานถึงหกวัน ที่จัดขึ้นตามโบราณราชพิธี สำหรับงานศพของเจ้าฟ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา พี่สาวของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล มีการพูดกันในกรุงเทพว่า การจัดงานดังกล่าวเป็นเสมือน “การซ้อมใหญ่” สำหรับวันสุดท้ายของยุคสมัยของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ที่ครองราชย์ยาวนานถึง ๖๒ ปี ก่อนหน้าวันเกิดครบรอบ ๘๑ ปีของพระองค์ ในปีนี้ พระองค์ได้ปรากฏกายในที่สาธารณะน้อยมาก และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ ก็ทรงดูชราภาพสมตามอายุจริง
งานพระราชพิธีดังกล่าวช่วยชะลอความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นและมีอยู่อย่างรุนแรงตลอดเวลาสามปีได้เพียงเล็กน้อย ความขัดแย้งทางการเมืองดังกล่าวเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ที่สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกขับให้พ้นจากตำแหน่งโดยนายพลทหารที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ เมื่อปี ๒๐๐๖ และกลุ่มที่คัดค้านทักษิณซึ่งประกอบด้วยชนชั้นนำในกรุงเทพและปรากกชัดเจนว่าหนึ่งในผู้สนับสนุนพันธมิตรนั้นก็คือ พระราชินีสิริกิต แต่เพียงหนึ่งวันหลังจากพระราชพิธีศพ ก็มีการขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ที่ประท้วงทักษิณจนมีผู้เสียชีวิตหนึ่งราย หลังจากนั้น กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ PAD ซึ่งได้ยึดครองทำเนียบรัฐบาลมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมก็ได้บุกเข้ายึดสนามบินหลักของกรุงเทพ สร้างความโกลาหลวุ่นวาย การยึดสนามบินสิ้นสุดในอีกแปดวันต่อมาเมื่อศาลได้มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองหลักที่เป็นแกนนำของรัฐบาล และเป็นฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณ
ขณะนี้ ทักษิณ อยู่ระหว่างการลี้ภัย เขาถูกศาลพิพากษาคดีลับหลังและศาลตัดสินว่าเขามีความผิดฐานคอร์รัปชั่น แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยเป็นกลุ่มพรรคการเมืองที่สนับสนุนเขา และกลุ่มผู้สนับสนุนเขาก็มุ่งมั่นที่จะตั้งพรรคการเมืองใหม่แม้ พรรคเดิมจะถูกยุบตามคำสั่งศาล เมื่อเดือนที่แล้ว ได้มีการจัดการรวมตัวของกลุ่ม “เสื้อสีแดง” ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเขาจำนวนมาก เพื่อเป็นการเตือนกลุ่มศัตรูสวมเสื้อเหลืองในฝั่งพันธมิตร ซึ่งชอบอ้างว่าพันธมิตรทำเพื่อในหลวง ในขณะที่กล่าวหาว่าทักษิณต้องการสถาปนาสาธารณรัฐว่า ทักษิณยังคงเป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในประเทศไทย
นอกเหนือจากข้ออ้างในการจำกัดทักษิณที่พอจะมีมูลว่า ทักษิณใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง สิ่งหนึ่งที่พวกขวาจัดและสนับสนุนราชวงศ์วิตกก็คือ การที่ทักษิณได้สร้างความยอมรับ ความชื่นชมในหมู่ประชาชนผ่านทางนโยบายประชานิยมอย่าง สามสิบบาทรักษาทุกโรค หรือกองทุนหมู่บ้าน จะเป็นการสร้างสถานะและเครือข่ายของทักษิณที่เป็นการท้าทายอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินไปในตัว สิ่งที่วิตกกันอีกประการหนึ่ง ก็คือ ตามที่มีการกล่าวหาว่า ทักษิณได้แสดงถึงความใจกว้างต่อเจ้าฟ้าชายเป็นการกระทำเพื่อสร้างบารมีและอิทธิพลเหนือเจ้าฟ้าชายเมื่อต่อไปได้ขึ้นครองราชย์ ด้วยเหตุนี้และเหตุผลอื่นๆ การเข้าใจถึงเรื่องราวในเบื้องหลังที่ไม่มีการเปิดเผยของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะเข้าใจปัญหาที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออกของประเทศที่มีประชากรหกสิบสามล้านคนนี้
สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้จะทำให้คนไทยจำนวนมากทุรนทุราย และต้องการได้ยินเรื่องราวที่เป็นดังเทพนิยายเกี่ยวกับพระเจ้าแผ่นดินของพวกเขามากกว่า แต่การกระทำที่ผ่านมาในอดีตของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้เป็นตัวปัญหาหลักของความขัดแย้งที่กำลังแบ่งแยกประเทศนี้ให้ร้าวฉาน ด้วยเหตุผลนี้เองที่เราจะตรวจสอบเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้น
เรื่องราวของพระเจ้าแผ่นดินภูมิพล แม้จะตัดเรื่องต่าง ๆ ที่สร้างเสริมในประเทศไทยให้เป็นดังตำนานเทพนิยาย ก็ยังเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมากอยู่ดี เขาเกิดในสหรัฐ มีมารดาเป็นสามัญชนที่เป็นลูกครึ่งจีน และโดยอุบัติเหตุ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้สืบทอดราชบัลลังก์ที่เวลานั้นใกล้จะสูญสิ้น และพระองค์เป็นผู้พลิกฟื้นชะตากรรมของราชวงศ์ให้กลายเป็นราชวงศ์ ที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากที่สุดในโลก และแน่นอนที่สุด เป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวในโลกสมัยใหม่ที่มีอำนาจทางการเมืองสูงที่สุด บุคคลิกภาพ สติปัญญา และความสามารถของพระองค์ (จากการเล่นแซกโซโฟนไปจนถึงการทำฝนเทียมที่พระองค์จดสิทธิบัตรไว้ในยุโรป) และความห่วงใยที่มีต่อประชาชนทำให้พระองค์เป็นที่เคารพรักในประเทศ และชื่นชมไปทั่วโลก ภาพลักษณ์ของพระองค์ อาจจะขึ้นถึงจุดสุดยอดเมื่อปี ๑๙๙๒ หลังจากที่กองทัพใช้อาวุธฆ่าประชาชนที่ประท้วงต้องการประชาธิปไตยหลายสิบคน และโทรทัศน์ ได้ถ่ายทอดภาพที่ผู้นำกองทัพ (และนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น) สุจินดา คราประยูร และผู้นำการประท้วงอย่างจำลอง ศรีเมือง (ุ้เเกนนำของพันธมิตร) ได้คุกเข่าแทบเท้าพระองค์ หลังจากนั้นไม่นาน สุจินดาก็ลาออก และพระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศ
อย่างไรก็ดี ยังมีเรื่องราวที่ไม่เปิดเผยว่า พระองค์ได้สูญสิ้นความเชื่อถือในระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว (ถ้าพระองค์จะเคยเชื่อมั่นในการปกครองภายใต้ระบอบนี้จริง) พระองค์ได้คอยเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองในเบื้องหลังอยู่ตลอดเวลา และด้วยเหตุนี้เอง ในช่วงท้ายที่ไม่มีความชัดเจนของยุคสมัยของพระองค์ จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้ประเทศอยู่ในภาวะที่ไม่พร้อมจะมีชีวิตโดยปราศจาก “พ่อหลวง” ดังที่คนไทยเรียกพระองค์เช่นนั้น การที่จะเข้าใจปัญหาของประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประทีปของเสรีนิยมในเอเชียแต่กลับกลายเป็น ประเทศที่ยุ่งเหยิงจนน่าสิ้นหวังไปได้นั้น จะไม่สามารถทำได้ ถ้าเราไม่เข้าไปตรวจสอบเบื้องหลังฉากหนา ๆ ที่สร้างไว้รอบ ๆ พระองค์ท่าน
การกระทำครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสิ่งนี้ดูจะขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง ระหว่างพระเจ้าแผ่นดินที่อ้างกันว่าได้รับความรัก ความเคารพบูชาจากประชาชนอย่างสูงที่สุดนั้น กลับมีการบังคับใช้กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่รุนแรงมาก ในขณะที่ราชวงศ์ต่างๆทั่วโลกได้พากันยกเลิกกฏหมายนี้ หรือมิฉนั้นก็ไม่มีการบังคับใช้กฏหมายนี้แล้ว แต่ในประเทศไทยกลับมีการเพิ่มโทษสำหรับการกระทำความให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปจนถึงขั้นจำคุกสิบห้าปี แม้แต่การวิพากษณ์ วิจารณ์อย่างเบาบางก็ทำไม่ได้ และผลของกฏหมายตัวนี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะคนไทยเท่านั้น บรรดานักการทูต นักวิชาการ สื่อมวลชนจากค่ายตะวันตกก็พากันยอมรับผลของกฏหมายฉบับนี้ด้วยความขลาดกลัว
ทุกคนเป็นคนของพระราชา
ต้นตอส่วนหนึ่งของปัญหานี้เริ่มสมัยสงครามเวียดนาม เมื่อสหรัฐค้นพบว่า พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้เป็นพันธมิตรในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ และเมื่อตระหนักถึงคุณค่าของพระองค์ที่จะเป็นเสมือนไอคอนในการต่อต้านกองทัพแดง อเมริกาก็ให้เงินสนับสนุนกองทุนในการโฆษณาชวนเชื่อให้ทุกครัวเรือนของไทยมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ และแม้แต่ทุกวันนี้ ในขณะที่สหรัฐไม่รอช้าที่จะโวยวายกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย แต่น้อยครั้งนักที่อเมริกาจะประท้วงไทยเวลาที่มีการจับกุมทั้งคนไทย และต่างชาติเพราะการวิพากษณ์ วิจารณ์ราชวงศ์ ทั้งสือมวลชน และนักวิชากการจากโลกตะวันตกต้องการวีซ่าในการเดินทางเข้าไทยเพื่อมาทำงาน ดังนั้น จึงทำให้กระแสการวิพากษณ์ วิจารณ์ราชวงศ์ไทยลดลงไปโดยปริยาย และด้วยการสมรู้ร่วมคิดในการปิดบังข้อมูลนี้เอง ทำให้เราได้เห็นหนังสืออัตชีวประวัติที่เขียนอย่างจริงจังเกี่ยวกับผู้นำคนสำคัญของเอเชียเพียงเล่มเดียว นั้นก็คือหนังสือ “เดอะคิงเนเวอร์สไมล์” โดยพอล แฮนด์ลีย์ สื่อมวลชนชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งได้เขียนบันทึกไว้ว่าเรื่องราวการฟื้นฟูราชวงศ์ไทยเป็น “หนึ่งในเรื่องราวที่ไม่มีการเปิดเผยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ ๒๐”
แฮนด์ลีย์บอกว่า เป็นเวลาถึงสองปีที่ไม่มีใครจะโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ระบุในหนังสือของเขา แม้แต่ส่วนที่ถือได้ว่ารุนแรงที่สุด นั่นก็คือ การเปิดเผยว่า ความเชื่อที่ว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่แทรกแซงการเมือง และจะทรงเข้าข้างแต่ฝ่ายที่ถูกต้อง หรือดีงามนั้นไม่เป็นความจริง ข้อกล่าวหาของพอลในหนังสือเล่มนี้ที่ดูจะรุนแรงมาก (แต่ไม่มีคนโต้แย้งในเรื่องข้อเท็จจริง) ก็คือว่า สำหรับเหตุนองเลือดในปี ๒๕๑๙ นั้น ดูเหมือนพระองค์จะเป็นผู้ไม่เอาผิดกับกองกำลังฝ่ายขวาที่ร่วมมือกับกองทัพในการสังหารหมู่และทำร้ายนักศึกษาที่ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสงบ และก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ ๆ ในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ (และก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง) ที่การก่อความไม่สงบในปี ๒๕๑๙ จะกลายเป็นข้ออ้างที่จะล้มล้างรัฐบาลและตั้งรัฐบาลใหม่ที่พระเจ้าแผ่นดินเห็นชอบให้มาทำหน้าที่แทน
พระเจ้าแผ่นดินภูมิพลขึ้นครองราชย์เมื่อมีอายุ ๑๘ ปี หลังจากที่พี่ชายของพระองค์ ในหลวงอานันมหิดลตายอย่างปริศนาในปี ๑๙๔๖ พระองค์อยู่ใต้การดูแลของลุงของพระองค์ซึ่งเป็นเจ้าชายที่มีความเคียดแค้น และมุ่งมั่นที่จะฟื้นคืนอำนาจของราชวงศ์ รวมทั้งทรัพย์สินและความมั่งคั่งของราชวงศ์ ภายหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปในปี ๑๙๓๒ หรือ พศ ๒๔๗๕ เมื่อพระองค์เจริญพระชนมายุขึ้น ก็พัฒนาเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ มีการพระราชทานเกียรติยศต่าง ๆ เพื่อแลกกับการบริจาคเงินเพื่อการดำเนินการต่าง ๆ ของราชวงศ์ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ราชวงศ์กลายเป็นศูนย์กลางของการทำการกุศล และอย่างที่ศาสตราจารย์ ดันแคน แมคคาร์โก เรียกว่าเป็น “เครือข่ายราชสำนัก” network monarchy ทำให้พระเจ้าแผ่นดินกลายมาเป็นศูนย์กลางของสังคมไทยอีกครั้ง และสามารถฟื้นคืนพระราชอำนาจมาได้อย่างมากมาย
และสิ่งนี้ได้กลายมาเป็นแนวคิดหลักของพันธมิตร สืบเนื่องมาจากพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า ประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่สกปรกชั่วร้าย และประเทศชาติจะเจริญกว่าถ้ามีการบริหารโดยคนที่พระเจ้าแผ่นดินโปรดแล้วว่าเป็นคนดี ตัวอย่างที่สำคัญ ก็คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นนากรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในช่วงทศวรรษที่ ๘๐ เปรมมีบทบาทสำคัญมากในการสร้างเสริมความคิดที่ว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นเสมือนสมมติเทพ ปัจจุบันนี้ เปรมเป็นประธานองคมนตรี และโดยหลักการ เขาต้องอยู่เหนือการเมือง แต่สิ่งนี้ก็เป็นแค่เทพนิยายเช่นกัน คนส่วนใหญ่ในสังคมรับรู้ว่าเปรมเป็นผู้วางแผนการรัฐประหารในปี ๒๐๐๖ และก่อนหน้าการทำรัฐประหารไม่นาน เปรมออกมาพูดกับทหารมนที่สาธารณะว่า พระราชาเป็นเจ้าของ ”ม้าแข่ง” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ กองทัพ ในขณะที่ ทักษิณเป็นเพียง “จ็อคกี้” ที่สามารถเปลี่ยนเมื่อไหร่ก้ได้เท่านั้น
กลุ่มพันธมิตรเป็นการรวมตัวของแกนนำที่แตกต่างกันอย่างมาก อยู่รวมกันเพียงเพราะเกลียดทักษิณเหมือนกัน มีทั้ง นักธุรกิจที่ไม่พอใจทักษิณ หญิงชั้นสูงที่เป็นข้าราชการ กลุ่มคลั่งศาสนาหัวรุนแรง ปัญญาชนที่เคยต่อต้านราชวงศ์ และกองกำลังทหาร และ “การเมืองใหม่” ของกลุ่มพันธมิตร ก็คือต้องการให้รัฐสภามาจากการเลือกตั้งบางส่วน และแทนที่ด้วยการแทรกแซงจากกองทัพ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชวงศ์ ที่เรียกว่า เป็นการเลียนแบบพลเอกเปรม ปัญหาของประเทศเกิดมาจากกองทัพเป็นส่วนใหญ่ บรรดานายพลเหล่านี้เชื่อว่าพวกเขามีสิทธิที่จะเปลี่ยนรัฐบาลที่ทำให้พวกเขาหรือราชวงศ์ไม่พอใจ และพวกเขาจะรับคำสั่งจากราชวงศ์ ซึ่งให้การเห็นชอบในการทำรัฐประหารมานับครั้งไม่ถ้วน สองอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวโยงกันชนิดแยกไม่ออก
แฮนด์ลีย์ ยังวิจารณ์ถึงการที่พระเจ้าแผ่นดินเข้าไปแทรกแซงกระบวนการนิติรัฐ เมื่อพระองค์แทรกแซงด้วยการแจ้งความปรารถนาของพระองค์ให้เหล่าผู้พิพากษาทราบ อิทธิพลของพระองค์ ทำให้ผู้พิพากษารับฟังประดุจเป็นคำสั่ง ในตัวอย่างที่เขาบอก แต่เหตุเกิดขึ้นช้าเกินกว่าที่เขาจะนำมาอ้างอิงในหนังสือเล่มดังกล่าวได้ ไม่กี่เดือนก่อนการรัฐประหาร พระองค์ได้มีรับสั่งกับผู้พิพากษาให้แก้ไขปัญหาทางการเมือง หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการอัดเสียงบทสนทนาของผู้พิพากษาศาลฎีกาสองคน ที่ได้มีการนำมาเปิดเผยในอินเตอร์เนท โดยผู้พิพากษาคนหนึ่งบอกว่า ต้องหลีกเลี่ยงการทำให้คนเข้าใจว่าเป็นรับคำสั่งของในวัง เพราะ “พวกคนต่างชาติไม่มีวันยอมรับ”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การตีความพระประสงค์ของพระเจ้าแผ่นดินก็ชัดเจนขึ้นทุกที เพราะศาลได้เร่งรีบพิจารณาพิพากษาคดีความที่มีการกล่าวหาทักษิณและพวกพ้อง ในขณะที่ลดหย่อน และให้ประโยชน์แก่ฝ่ายตรงข้ามของทักษิณ ในบางกรณี เช่น การดำเนินคดีในข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชั่นที่มีต่อทักษิณก็อาจจะควรได้รับความสนใจจากศาล แต่ในบางเรื่องราวที่เหตุเล็กๆ น้อยๆ เช่น การที่ศาลสั่งปลดอดีตนายกรัฐมนตรีที่สนับสนุนทักษิณอย่าง นายสมัคร สุนทรเวชเพราะการทำอาหารออกรายการโทรทัศน์ แต่ในทางกลับกัน ข้อหากบฏที่มีต่อกลุ่มพันธมิตรเพราะบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล กลับได้รับการลดหย่อน และศาลยังปล่อยตัวพวกเขาให้เป็นอิสระ เพื่อให้กลับมายึดครองทำเนียบรัฐบาลต่อไปได้อีก
ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ได้ต้องการจะปฏิเสธความผิดของทักษิณ และพวกพ้อง แต่แม้แต่ข้อกล่าวหาต่อทักษิณที่รุนแรงที่สุดอย่างเรื่อง “สงครามยาเสพติด” ที่มีการกล่าวหาว่า ตำรวจได้ทำวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องสงสัยหลายร้อยคนนั้น จริง ๆ แล้ว ก็ไม่ใช่ความผิดของทักษิณทั้งหมด สงครามสกปรกที่ทำต่อพ่อค้ายาเสพติดได้รับการสนับสนุนจากคนไทยทุกระดับในสังคม แม้แต่พระเจ้าอยู่หัวเอง ก็เคยมีพระดำรัสในปี ๒๐๐๓ ที่ฟังดูเหมือนกับว่าพระองค์ให้การสนับสนุนการกระทำดังกล่าว
พ่อรู้ดีที่สุด
ในประเทศอื่น ๆ เช่น สเปน มาจนถึง บราซิล ได้มีการก้าวพ้นจากระบอบเผด็จการมาสู่ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งที่การต่อสู้ทางการเมืองจะทำในรัฐสภา ไม่ใช่ตามท้องถนน การที่ประเทศไทยล้มเหลวในด้านนี้ บางทีอาจเป็นเพราะการที่มี “พ่อ” ที่พร้อมจะเข้ามาแก้ปัญหาแทน ดังนั้น บรรดาลูก ๆ ของพ่อ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเติบโตมารับกับปัญหานั้น ๆ เอง พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านในรัฐสภาก็เป็นนักฉวยโอกาส คอยสนับสนุนกลุ่มพันธมิตร โดยมีความหวังว่า การทำรัฐประหารที่ได้รับความเห็นชอบจากในวังอีกครั้งหนึ่งจะช่วยให้พรรคของตนได้เป็นรัฐบาล
ความโกรธแค้นของชนชั้นนำในกรุงเทพที่มีต่อทักษิณ อาจมาจากความเจ็บใจที่เคยให้การสนับสนุนทักษิณ เมื่อทักษิณเข้าสู่ตำแหน่งในปี ๒๐๐๑ ความรู้สึกในประเทศไทยเวลานั้นก็คือ ประเทศต้องการนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำแบบซีอีโอ แบบที่อดีตนักธุรกิจผู้นี้เคยนำเสนอตนเองไว้ พรรคการเมืองของเขา พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง ได้เสียงข้างมากเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย และก็เป็นรัฐบาลที่อยู่ในตำแหน่งจนครบวาระเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน และเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคการเมืองของเขาก็ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากอีก นโยบายของทักษิณที่ต้องการปรับปรุงบริการสาธารณะ และให้เงินทุนแก่คนยากจน แม้จะทำให้เขาได้ผลประโยชน์ส่วนตัว แต่คำสัญญาที่เขาจะยกระดับความเป็นอยู่ของคนจน และสร้างความเสมอภาคในสังคม เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้กลุ่มชนนำที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ต้องการกำจัดเขาออกไป
รัฐบาลที่ประกอบด้วยนายพลและอดีตข้าราชการที่ตั้งโดยคณะรัฐประหารในปี ๒๐๐๖ นั้นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความล้มเหลว แม้ว่าพรรคไทยรักไทยจะถูกยุบ แต่เมื่อมีการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม พรรคการเมืองใหม่ของทักษิณ คือ พรรคพลังประชาชนก็ชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนสูงสุด ซึ่งทำให้กลุ่มพันธมิตรกลับเข้ามาประท้วงใหม่ เมื่อมีการปะทะกันในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พันธมิตรต่อสู้กับตำรวจด้วยปืน ระเบิดและเหล็กปลายแหลม โดยหวังว่า ความไม่สงบจะทำให้ทหารฉวยเป็นสาเหตุในการปฏิวัติ ถึงกระนั้น กลุ่มพันธมิตรก็กล่าวหาว่า ความรุนแรงทั้งหมดเกิดมาจากตำรวจ และสื่อมวลชนในกรุงเทพซึ่งเป็นพวกต่อต้านทักษิณก็ให้การสนับสนุนโดยปล่อยให้พันธมิตรรอดตัวไปได้ ทั้ง ๆ ที่สมาชิกคนหนึ่งของพันธมิตรตายด้วยระเบิดในรถของตัวเอง ในระหว่างที่ผู้ตายกำลังขนระเบิด สื่อมวลชนไทยกลับกลบเกลื่อนข่าวนี้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่การตายของผู้หญิงคนหนึ่งที่รายงานว่า ตายเพราะกระสุนแกสน้ำตาของตำรวจระเบิดใส่ กลับได้รับการเชิดชูยกย่องจากสื่อมวลชนเหล่านี้
มาจนถึงจุดนี้ ก็มีแต่เพียงการกระซิบถามกันเท่านั้น ว่าอะไรทำให้กลุ่มพันธมิตรได้รับการปฏิบัติที่ยืดหยุ่นขนาดนี้ แม้แต่กองทัพเอง ก็ปฏิเสธที่จะช่วยตำรวจ ในการจัดการเคลื่อนย้ายผู้ที่ชุมนุมประท้วง อย่างไรก็ดี ข่าวลือต่าง ๆ ก็ได้รับการยืนยันเมื่อพระราชินีได้เสด็จไปงานศพของหญิงสาวในกลุ่มพันธมิตร ในขณะที่พระเจ้าอยู่หัวยังคงเงียบเฉย
แน่นอนที่สุด ไม่มีใครสามารถแสดงความคิดเห็นว่าการที่รพราชินีสนับสนุนพันธมิตรจะมีผลอย่างไรต่อคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศที่ปรากฏชัดว่ายังคงสนับสนุนทักษิณอยู่ ท่ามกลางการกล่าวหาว่า มีการทำผิดกฏหมายเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งต่อฝ่ายที่สนับสนุนและต่อต้านทักษิณ แต่การกระทำของกลุ่มพันธมิตรดูจะยิ่งเลวร้ายกว่า การที่ราชวงศ์ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกพันธมิตร และการที่กลุ่มพันธมิตรย้ำ และยืนหยัดให้คนไทยต้องตัดสินใจเลือกว่า จะจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว หรือจะเลือกทักษิณต่อไป การกระทำดังกล่าว อาจจะส่งผลร้ายที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงต่อสถาบันพระมหากษัติรย์ของไทย
ผู้ที่สนับสนุนทักษิณจำนวนมากอาจจะพิจารณาถึงข้อโต้เถียงของพันธมิตร ถ้าราชวงศ์ต่อต้านผู้นำที่พวกเขาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเข้ามา บางที อาจเป็นการกระทำที่ต่อต้านประชาชนอย่างพวกเขาด้วยก็ได้ และความรู้สึกของคนยากจนในชนบทยิ่งถูกซ้ำเติมจากการกล่าวอ้างของกลุ่มพันธมิตรว่า คนจนในชนบทซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของทักษิณนั้น “ด้อยการศึกษาเกินว่าจะใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง” ดังนั้น จึงไม่ควรให้คนจนมีสิทธิลงคะแนน
ในการรณรงค์สนับสนุนทักษิณ เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา มีนักรณรงค์คนหนึ่งกล่าวโจมตีสถาบันโดยระบุว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็น “เสี้ยนหนามในระบอบประชาธิปไตย” เพราะการที่ทรงสนับสนุนรัฐประหารหลายครั้ง และเตือนราชวงศ์ว่า มีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับเครื่องตัดศรีษะแบบกิโยติน ไม่นานนัก เธอก็ถูกจับกุม สิ่งที่ทำให้พวกที่สนับสนุนราชวงศ์ตกใจ ไม่ใช่แค่การวิพากษณ์ วิจารณ์สถาบันอย่างรุนแรง แต่เพราะการที่ฝูงชนพากันตะโกนโห่ร้องสนับสนุนเมื่อเธอพูดต่างหาก “เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพวกเขาที่จะยังพยายามรักษาภาพลวงตาว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ชื่นชมไปทั่วโลก”
นักวิชาการชาวไทยคนหนึ่งบอกว่า ภาพลวงตากำลังถดถอยท่ามกลางความวิตกกังวลว่า อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ ความกลัวว่า ทักษิณจะมีอิทธิพลเหนือเจ้าฟ้าชาย ดูจะถูกลบไปด้วยความวิตกถึงความเหมาะสมของรัชทายาทของราชบัลลังค์ เจ้าฟ้าชาย แสดงออกถึงบุคคลิกภาพของพระบิดา หรือความทุ่มเทต่อประชาชนน้อยมาก และยังมีชื่อเสียงที่ไม่ดีในเรื่องตั้งแต่สมัยยังเยาว์วัย ในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ เจ้าฟ้าชายปฏิเสธว่า ไม่เคยทำตัวเป็นหัวหน้ามาเฟีย แต่แม้แต่พระราชินีเอง ก็เคยให้สัมภาษณ์ ในเรื่องนี้ในสหรัฐตั้งแต่ปี ๑๙๘๑ ว่า เจ้าฟ้าชาย “ค่อนข้างจะเป็นดอน ฮวน และถ้าประชาชนคนไทยไม่ยอมรับพฤติกรรมของลูกชายของเรา เขาก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม หรือไม่ก็ลาออกจากราชวงศ์ไป”
สื่อมวลชนของไทยทำการเซ็นเซอร์ข่าว ๆต่างด้วยตนเองอย่างเคร่งครัด และก็จะไม่ยอมเสนอข่าวการวิพากษณ์ วิจารณ์ใด ๆ ที่มี แต่ถึงกระนั้น คนส่วนใหญ่ของประเทศก็พากันเกลียดชังเจ้าฟ้าชายอย่างลึกซึ้ง มีข่าวลือตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า พระเจ้าอยู่หัวจะยกราชบัลลังก์ให้พระเทพฯ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนมากกว่า และทำหน้าที่ต่าง ๆ แทนพระเจ้าอยู่หัวในเวลานี้ ในข่าวภาคค่ำตอนสองทุ่ม จะเห็นพระเทพฯ พร้อมรอยยิ้มที่แจ่มใส เดินทางไปประกอบพระกรณียกิจทั่วประเทศ ไปทำบุญที่วัดต่างๆ ในขณะที่น้อยครั้งมากที่เจ้าฟ้าชายจะออกงาน และยิ่งน้อยมากที่จะพบปะกับสามัญชนแต่ธรรมเนียมการสืบเชื้อสายทางลูกชายของราชวงศ์จักรีจะไม่มีการยกเลิก บทบาทที่สำคัญของเจ้าฟ้าชายในงานพระศพสมเด็จเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ได้แก้ข้อสงสัยว่าใครคือองค์รัชทายาทที่ได้รับการเลือกแล้ว แต่กระนั้นก็ตาม คนไทยจำนวนมากต่างพากันนึกถึงคำทำนายโบราณที่ว่า ราชวงศ์นี้จะมีเพียงเก้ารัชกาล และพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันก็เป็นองค์ที่เก้า และองค์ที่สิบจะเป็นภัยพิบัติ
สักวัน เจ้าชายของเรา
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ อดีตข้าราชการชั้นสูงที่มีความใกล้ชิดกับราชวงศ์บอกเราว่า มีความหวาดวิตกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังรัชกาลปัจจุบัน “เมื่อเราพูดว่า “ทรงพระเจริญ” เราหมายความอย่างนั้นจริง ๆ เพราะเราไม่กล้าคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น” คนไทยส่วนใหญ่จะเด็กเกินกว่าที่จะจำได้ว่ าประเทศไทยก่อนที่จะมีพระเจ้าอยู่หัวปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร การสวรรคตของพระองค์จะเป็นการก้าวกระโดดเข้าไปสู่ดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก จึงดูจะเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดที่สำนักพระราชวังจะวางแผนการสืบทอดราชวงศ์ไว้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีการดำเนินการไปในทิศทางนั้น และคำแนะนำใด ๆ ก็ไม่น่าจะได้รับการตอบสนอง “พระองค์ทรงเชื่อมั่นในตนเองมาก ไม่มีใครจะแนะนำอะไรพระองค์ได้” ข้าราชการผู้นั้นบอกเรา
ในระยะอันใกล้ อาจมีการเผชิญหน้ากันอีก ถ้ารัฐบาลที่สนับสนุนทักษิณเอาตัวรอดได้ พวกเขาพยายามแก้รัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นสมัยรัฐประหาร การแก้ไขบางหลักการเช่นให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ดูเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล แต่พวกพันธมิตรสันนิษฐานว่า เป็นการแก้ไขเพื่อช่วยทักษิณ และพวกพ้องจากคดีความต่าง ๆ ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนไม่มีใครยอมประนีประนอม และต่างฝ่ายต่างพร้อมที่จะนำฝูงชนที่สนับสนุนตนมาเดินขบวนประท้วงเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ยังมีความหวังว่า “การประนีประนอมแบบไทย ๆ” ที่เลอะเทอะ แต่อาจจะได้ผล จะช่วยดึงประเทศให้พ้นจากวิกฤต ยังมีความฝันว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดงได้แปลงสภาพให้กลายเป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง และมีมารยาท โดยเรียกร้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ ก็อาจจะช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากพวกสนับสนุนราชาธิปไตย และนายพลที่พยายามจะลากประเทศไทยให้ถอยหลังกลับเข้าสู่อดีต แต่ดูเหมือนโอกาสที่เป็นไปได้จะไม่มี
ถ้ารัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลสิ้นสุดลงด้วยสงคราม หรือทำให้ประเทศไทยกลายเป็นอัมพาต เพราะความวุ่นวายที่ไม่รู้จบ โดยที่ไม่มีใครที่มีสถานะเท่าพระองค์ที่จะมายุติข้อขัดแย้งครั้งนี้ จะเป็นภัยพิบัติที่น่าเศร้า แต่พระองค์ได้มีบทบาทสำคัญในอดีตที่หาข้อยุติของปัญหา แต่ก็มีเสียงโต้แย้งว่า พระองค์จะสร้างเสถียรภาพในยามที่วุ่นวาย และการที่ทรงทุ่มเทต่อภารกิจต่าง ๆ เป็นสิ่งที่น่ายึดถือเป็นตัวอย่าง และจะทรงแต่สิ่งที่พระองค์เห็นว่าดีที่สุดสำหรับประเทศ และสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ได้มีการบอกเล่าให้คนไทยฟังทุกเช้าทุกเย็น ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา คนไทยไม่ได้รับอนุญาตให้วิพากษณ์ วิจารณ์ถึงอีกด้านหนึ่งของเหรียญในที่สาธารณะ.
----------------------------------
บทความที่ ๗. (บทวิเคราะห์ทั่วไป ไม่ได้เน้นเฉพาะกรณีพันธมิตรฯ)
รอยแตกที่ยาวขึ้นของกำแพงไทย
(The cracks widen in Thailand´s wall)
From New Straits Times
January 14, 2009
โดย : W. Scott Thompson
แปลและเรียบเรียงโดย : chapter 11
แหล่งข้อมูล : Liberal Thai
ปรัชญาชาวกรีกกล่าวว่า “คนเกิดมาด้วยความบริสุทธิ์และตายไปด้วยตัณหา” หรือความหมกมุ่น
นั่นอาจจะเป็นชะตากรรมของประเทศไทย การดิ้นรนในสองปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องระหว่างทักษิณ ชินวัตรและกลุ่มเสื้อแดง กับพันธมิตรเสื้อเหลืองฝ่ายราชวงศ์ ร่วมด้วยพรรคเพียงแต่ในนาม คือ “ประชาฺธิปัตย์”
ในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นมุมมองสองด้านว่าราชอาณาจักรควรจะดำเนินต่อไปอย่างไร หรือที่ว่า ควรจะเป็นราชอาณาจักรหรือไม่
ขณะนี้ ประเทศยังเป็นราชอาณาจักร ราชบัลลังก์เป็นส่วนค้ำจุนของระบอบชนชั้น ซึ่งวัดความมั่งคั่งจากการมีรถยนต์นำเข้า BMW และ Mercedes Benz (เมื่อเทียบกับรายได้ของประชากรต่อคน) ซึ่งไม่มีที่ไหนเทียบได้ในโลกนี้ นี่ยังไม่ได้รวมถึงเรื่องที่อาจจะเป็นไปได้ ขี้นอยู่กับระบบบัญชีอย่างไหน ว่ากษัตริย์เป็นบุคคลที่รวยที่สุดของโลก
ชนชั้นปกครองที่ประสบผลสำเร็จจะฉลาดในการซ่อนอภิสิทธิ์ของตัวเอง ผมมีเพื่อนฝรั่งในกรุงเทพซึ่งไม่ทราบความหมายของคำว่า “มรว” และ “มล” สำหรับหม่อมราชวงศ์ (เหลนของกษัตริย์) และ หม่อมหลวง อันเป็นรุ่นถัดไป พวกเขาเหล่านี้รั้งตำแหน่งปลัดกระทรวงและเอกอัครราชทูตต่างๆ ซึ่งไม่ได้สัดส่วนกับคนชนชั้นอื่น
แน่นอน พวกเขาเหล่านี้มีคุณสมบัติเหมาะสม พวกเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่เมื่ออายุ 8 ขวบได้รับการศึกษาจากโรงเรียนในอังกฤษ ที่อีตั้น วินเชสเตอร์ ออกซ์ฟอร์ด แคมบริจจ์ พวกเขาพูดภาษาอังกฤษตามวิธีการของราชินีอังกฤษพูด และเมื่อเขากลับประเทศไทยก็ได้รับสิทธิ์พิเศษมากขี้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนหนึ่งซึ่งมียศ “มรว” กล่าวว่าพวกเขารู้จักการ “บริหารประเทศ” และรู้ว่าจะรักษาสถานะภาพของตัวเองได้อย่างไร คำถามคือ ทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงอยู่สถานะนั้นตั้งแต่แรก
จากเริ่มแรก พวกเขาเห็นว่าทักษิณกำลังโจมตีพวกเขา ผ่านทางคะแนนนิยมและทำความสั่นสะเทือนให้กับระบอบของพวกเขา
มาทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า กษัตริย์เป็นสิ่งที่ดีสำหรับประเทศชาติ ท่านได้เสริมสร้างราชบัลลังค์อย่างน่าประทับใจ และในระหว่างขั้นตอนนั้น ท่านได้รวมประเทศไทยให้เป็นหนึ่งเดียว และในขณะเดียวกันก็สร้างเกราะป้องกันในระหว่าง 60 ปีที่ผ่านมา คนไทยรักกษัตริย์ด้วยเหตุผลที่ดี แต่ระบอบชนชั้นนั้นเล่า ท่านทรงพระราชทานยศและศักดิ์ซึ่งมีค่ามหาศาล กษัตริย์ได้พระราชทานสิทธิให้นายพลทั้งหลาย ซึ่งเข้าพระราชวังทางประตูหลังและออกมาประตูหน้าพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์
เอ็นจีโอ (NGO) องค์กรไม่ฝักใฝ่การเมือง (ภาษาไทยเหมือนคำว่า “โง่”) ได้เสแสร้งโจมตีระบอบชนชั้นและผู้สนับสนุนราชวงศ์ เขารู้ว่าใครค้ำจุนระบอบนี้อยู่ แน่นอน เขาไม่โจมตีกษัตริย์ในด้านส่วนตัว ไม่เหมือนโจมตีทักษิณ แต่อย่าได้เข้าใจผิด พวกองค์กรทั้งหลายเหล่านี้ได้คืบจะเอาศอก พวกเขารอฉวยโอกาสเท่านั้นเอง ที่อื่นๆ นักเรียกร้องสิทธิสามารถโจมตีเรื่องความไม่เท่าเทียมกันได้ แต่สำหรับประเทศไทยนั่นหมายถึงโจมตีราชบัลลังค์ ถ้าคุณต้องการจะสาวให้ถึงต้นเหตุ ดังนั้นพวกเขาต้องโจมตีไปที่ตัวแทนของราชวงศ์ เช่น นายพลคนโปรดทั้งหลาย
หยิบถั่วปากอ้าขี้นมาและทุก ๆ คนในกรุงเทพจะหัวเราะหัวสั่นหัวคลอน มันคล้ายคลึงกับเจ้าหญิงที่คนไม่นิยมของราชวงศ์ แต่ไม่มีใครกล้าพูดสักคำ เพราะถ้าพูดก็หมายถึงต้องโดนข้อหาหมิ่นฯ ซึ่งเป็นกฎหมายหลักสำคัญของระบอบชนชั้น
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนี้ ผลผลิตจาก อีตัน-ออกซ์ฟอร์ด เริ่มต้นดี (คนไทยพูดว่า เป็นเลขนำโชคของเขา) มีพรรคร่วมรัฐบาล 5 พรรคชนะการเลือกตั้งซ่อมได้เสียงเพิ่มมาอีก 20 เสียง ที่เห็นชัดที่สุด ในวันรับพระราชทานโอวาส คืออภิสิทธิ์นั่งเก้าอี้ต่ำว่ากษัตริย์แน่ ๆ
บางทีกษัตริย์ซึ่งทรงมีพระปรีชาสามารถ ทรงพยายามที่จะทำพระองค์ให้ห่างจากความวุ่นวาย ที่ท่านช่วยสร้างในระยะสองปีครึ่งที่ผ่านมา
ไม่ใช่พระราชินี ท่านแยกกันอยู่กับกษัตริย์ ประทับในพระราชวังจิตรลดาอันเป็นพระราชวังสไตน์เอ็ดวาเดียนในกรุงเทพ มีกษัตริย์ครองแผ่นดิน (และส่วนใหญ่ของเวลาหลายปีที่ผ่านมา ได้ปกครองแผ่นดิน) จากหัวหิน ราชินีทรงเลือกที่รักมักที่ชัง เห็นได้จากการไปงานศพของผู้หญิงที่เสียชีวิตในการประท้วงของกลุ่มพันธมิตร ทำให้พระองค์ถูกโจมตีอย่างหนักและสุดท้ายพระองค์ส่งของขวัญพระราชทานแก่ครอบครัวของผู้ประสบเคราะห์ร้ายทุกครอบครัว
คนโปรดของพระองค์ คือ บรรดาเหล่าพันธมิตร
ราชวังอาจแยกเป็นสองข้าง แต่คำถามเปิดก็คือ ราชินีได้สนับสนุนทางการเงินตามความต้องการของกษัตริย์จริง ๆ หรือไม่
กษัตริย์ได้กำจัดทักษิณออกไป ซึ่งในการเลือกตั้งเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พรรคตัวแทนของทักษิณไม่สามารถนำชัยชนะมาได้
ชนชั้นสูงของมนิลาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ชนชั้นสูงอาศัยเบื้องหลังกำแพงแก้วสูงถัดจากหมู่บ้านที่เผาฟืน
ชนชั้นปกครองของอเมริกา (แน่นอน มีชนชั้น) ได้หลบซ่อนความสำเร็จโดยใช้การปฎิเสธแบบหน้าตายว่า ประเทศตัวเองให้สิทธิเสมอภาคและจะไม่อดทนต่อความไม่เสมอภาคกัน ในทางตรงข้ามกัน ศักดินาไทยอาศัยอยู่ในถิ่นหรู มีรั้วซ่อนรถที่จอดไว้หลาย ๆคัน ผมยังจำอาหารมื้อค่ำที่หัวข้อสนทนาเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่น่าอัศจรรย์ของไทย และพวกศักดินาชั้นสูงของไทยได้เสริฟไวน์ Petrus, Haut, andBeaune ที่แพงลิบลิ่ว ความหรูหรานี่เกิดขี้นก่อน ที่จะเกิดการปะทะในปี 2540
แม้ว่ายุทธวิธีของศักดินาจะได้ผลดี แต่กำแพงมีรอยแยกเสียแล้ว แค่รูปของอภิสิทธิ์กับกษัตริย์คงไม่พอหรอก
ความจริงที่ว่า สองปีที่ศักดินามีอำนาจเหนือประชาชนควรจะเป็นการเตือนภัยได้เพียงพอ แม้ทักษิณจะจากไปแต่สิ่งที่เขาทำไว้ยังคงอยู่
ในปี 2533 อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ถนัด คอมันต์ ได้อธิบายให้ผมฟังถึงเหตุผล 3 อย่างของความสำเร็จของประเทศไทย คือ กษัตริย์ ชนชั้นปกครองศักดินา และนักธุรกิจศักดินารวมทั้งครอบครัว
“ชนชั้นปกครองศักดินาอนุญาตให้กลุ่มนักธุรกิจศักดินาคุมเศรษฐกิจ” ซึ่งความลับเล็กน้อยที่ว่าเป็นคนจีนทั้งหมด (นายกรัฐมนตรีหลายคนก็เป็นคนเชื้อสายจีน มีนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งที่เกิดที่เมืองจีนด้วยซ้ำไป) กฎสำหรับการบริหารธุรกิจครอบครัวคือการไม่มีหนี้ ซึ่งทำให้ราชอาณาจักรคงยังอยู่ได้หลังจากการปะทะกันในปี 2540 แต่นักธุรกิจศักดินาลูกครึ่งจีนไทยต้องการมากกว่านั้น พวกเขาได้บริหารองค์กร NGO ด้วย นอกเหนือจากนายธนาคารและนายหน้าค้าหุ้น มีการอนุญาตให้แต่งงานได้แต่เฉพาะในกลุ่มชนชั้นปกครองศักดินา ซึ่งผลที่จะได้ตอบแทนไม่ทราบแน่ชัด บางทีคนรุ่นถัดไปอาจจะรู้มากขี้น
ขณะนี้ประเทศไทยได้เริ่มปีใหม่ด้วยความเรียบร้อยเกินความคาดหวัง เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทุกประเทศก็ควรยินดีด้วย
*นักเขียนเป็นอาจารย์ที่เกษียณของโรงเรียนกฎหมายและการฑูตเฟลทเช่อร์
REF : http://www.combiolaw.de/article/265/English-and-Thai-Articles-Analysis-about-Thai-monarchy-2008-2009.html 05/07/2010
นิติรัฐศาสตร์วัฒนธรรม โดยนักประวัติศาสตร์
นิติรัฐศาสตร์วัฒนธรรม โดยนักประวัติศาสตร์
Author : นิธิ เอียวศรีวงศ์
Quelle : มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
Category : บทความกฎหมาย
Publisher : BioLawCom
บทความกฎหมาย
หมายเหตุ: บางส่วน (เฉพาะนิติศาสตร์) จากรวมบทความทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และวัฒนธรรม มติชนรายวันและมติชนสุดสัปดาห์ ระหว่างกลางเดือนเมษายน - กลางเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๘ เผยแพร่บนเว็ปไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
๑.หลักรัฐศาสตร์และหลักนิติศาสตร์
ฟังดูเหมือนเรื่องตลก แต่เป็นเรื่องจริงครับ ประธานศาลรัฐธรรมนูญให้สัมภาษณ์ในโอกาสฉลองครบรอบ 7 ปีของศาลรัฐธรรมนูญว่า ต่อแต่นี้ไป ศาลรัฐธรรมนูญจะคำนึงถึงหลักรัฐศาสตร์ให้มากขึ้น ควบคู่กันไปกับหลักนิติศาสตร์
ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่คงนึกว่าท่านประธาน น่าจะพูดกลับกันเสียล่ะมากกว่า ในฐานะคนที่ไม่เคยเรียนทั้งรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ผมอยากจะออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผิดถูกก็ช่างหัวมัน เพราะอย่างน้อยก็เป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้าน "ทรราชย์ของผู้เชี่ยวชาญ" ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้สถาปนาขึ้น
ในประเทศไทย คำว่าหลักรัฐศาสตร์เมื่อเอามาใช้ในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติเอาไว้ แปลว่าไม่ทำตามกฎหมาย เท่านั้นเอง และในทางตรงกันข้าม หลักนิติศาสตร์แปลว่าทำตามบัญญัติของกฎหมายอย่างเคร่งครัด พูดอย่างนี้คนที่ชอบอ้างหลักรัฐศาสตร์ ก็อาจเห็นว่าผมไม่อธิบายบริบทของการไม่ทำตามกฎหมาย ซึ่งย่อมไม่เป็นธรรมแก่ท่านเหล่านั้น
ที่จริงแล้วผู้อ้างหลักรัฐศาสตร์หรือไม่ทำตามกฎหมายเห็นว่า ในกรณีนั้นๆ หากทำตามกฎหมายแล้ว อาจเกิดปัญหาทางการเมือง, การบริหาร, หรือการวางนโยบายต่างประเทศ ฉะนั้นจึงเห็นว่าจำเป็นต้องเบี้ยวกฎหมาย เพื่อทำให้เกิดความราบรื่นทางการเมือง, การบริหาร หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แม้การไม่ทำตามบัญญัติของกฎหมาย ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่มุ่งประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ก็ยังมีปัญหาที่ในทรรศนะของผมหนักหนาสากรรจ์อยู่สองอย่างตามมา
ประการแรกก็คือ ใครเป็นคนวินิจฉัยล่ะครับว่า ในกรณีนั้นๆ หากทำตามกฎหมายแล้วจะก่อให้เกิดความไม่ราบรื่นทางการเมือง, การบริหาร หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ใช่ประชาชนนะครับ เพราะไม่มีการทำประชามติ (อีกทั้งหากถือว่ากฎหมายทุกฉบับมาจากตัวแทนของประชาชนตามกระบวนการนิติบัญญัติของ
ระบอบประชาธิปไตย… ถ้าอย่างนั้นประชาชนได้แสดงมติของตนไว้ในกฎหมายแล้ว) ไม่ใช่การโยนกลับไปให้ฝ่ายนิติบัญญัติตีความใหม่ให้ชัด ไม่ใช่แม้แต่การโยนหัวโยนก้อย (ซึ่งก็คือยกให้พระเจ้าช่วยตัดสินให้) แต่คนที่วินิจฉัยนั้นก็คือ คนที่ถือกฎหมายไว้ในมือนั้นเอง (ตุลาการหรือฝ่ายบริหารที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายก็ตาม)
คนเหล่านี้แหละครับที่อ้างตัวเอง โดยได้รับคำรับรองอย่างแข็งขันจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันว่า คือผู้เชี่ยวชาญทางรัฐศาสตร์หรือนิติศาสตร์ และความเชี่ยวชาญของเขานี่แหละที่เป็นหลักประกันว่า การจะเลือกทำตามกฎหมายหรือไม่ทำตามกฎหมาย (หลักรัฐศาสตร์และหลักนิติศาสตร์) ย่อมดีแก่ส่วนรวมเสมอ
ถ้าอย่างนั้นทำไมเราต้องมีกฎหมาย ในเมื่อความเชี่ยวชาญจะเลือกใช้หรือไม่ใช้กฎหมายได้ตามใจชอบเช่นนี้
ปัญหาประการที่สองก็คือ อคติประจำวิชากฎหมายในประเทศไทย ก็คือปลูกฝังให้ผู้ใช้กฎหมายพิทักษ์ปกป้องรัฐเหนือสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ (ดังจะเห็นตัวอย่างคำพิพากษาของศาลได้มากมาย แต่จะขอยกตัวอย่างจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคนพิการเรียกร้องสิทธิการสอบเป็นอัยการเพียงกรณีเดียว) ถ้าหลักรัฐศาสตร์มีความหมายแต่เพียงการรักษาความราบรื่นทางการเมือง, การบริหาร และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คนที่ถือกฎหมายไว้ในมือย่อมเลือกจะใช้หลักรัฐศาสตร์เหนือนิติศาสตร์อยู่เสมอ เพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจอันไร้ขีดจำกัดของรัฐเอาไว้
ถ้าอย่างนั้น ทำไมเราต้องมีรัฐธรรมนูญ ในเมื่อถึงอย่างไร กฎหมายก็จะถูกอ่านเพื่อผดุงอำนาจรัฐไว้เหนือการตรวจสอบถ่วงดุลอยู่ตลอดไป
อันที่จริงการคำนึงถึงความสงบสุขของสังคมโดยรวม มิได้ขัดแย้งกับหลักนิติศาสตร์แต่อย่างใด กฎหมายทุกฉบับย่อมมีขึ้นเพี่อเป้าหมายปลายทางเดียวกัน คือความสงบสุขของสังคมโดยรวม แม้แต่กฎหมายแพ่งที่อำนวยความเป็นธรรมแก่บุคคล ก็มีหลักการว่า ความเป็นธรรมที่บุคคลได้รับหลักประกันนั่นแหละ ทำให้เกิดความสงบสุขในสังคม เป้าหมายสำคัญของกฎหมายมหาชนก็คือ ความสงบสุขของสังคมโดยรวม (อันที่จริงพูดอย่างนี้ได้กับทุกศาสตร์ในโลก)
ยิ่งกว่านี้ นักนิติศาสตร์(ที่ดี) ยังคำนึงไปไกลกว่าความสงบสุขของสังคมด้วยซ้ำ นั่นก็คือความสงบสุขไม่ได้หมายถึงสถานะเดิมหรือสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้นแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ละสังคมย่อมมีศักยภาพที่จะพัฒนาไปสู่ความสงบสุข และความรุ่งเรืองได้มากกว่าสถานะเดิม ฉะนั้นจึงต้องอ่านและใช้กฎหมายโดยคำนึงถึงประโยชน์สุขของสังคมในระยะยาวอีกด้วย
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หลักนิติศาสตร์ต้องคำนึงถึงทั้งความสงบสุขของสังคม ควบคู่กันไปกับศักยภาพของสังคมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าด้วย ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรแตกต่างกันระหว่างหลักนิติศาสตร์กับหลัก
รัฐศาสตร์
เพื่อให้เห็นทั้งสองประเด็นนี้ได้ชัด จะขอยกตัวอย่างให้เห็นเป็นบางคดี
สมมุติว่า นักการเมืองซึ่งตุลาการได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานแล้วว่า กระทำผิดกฎหมาย แต่นักการเมืองผู้นั้นได้รับเลือกตั้งจากประชาชนมาอย่างท่วมท้น ตุลาการจึงเกรงว่าหากตัดสินไปตามบัญญัติของกฎหมาย อาจทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วงจนขั้นก่อจลาจลได้ ตุลาการจึงตัดสินใจพิพากษาให้ยกคำร้องของฝ่ายที่ฟ้องนักการเมืองนั้นเสีย
ถามว่า นี่เป็นการใช้หลักรัฐศาสตร์แทนนิติศาสตร์ใช่หรือไม่ ผมคิดว่าไม่ใช่ ซ้ำยังเป็นการละเมิดหลักนิติศาสตร์อย่างน่าละอายด้วย เพราะตุลาการในสังคมปัจจุบัน ควรรู้ว่าคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งไม่ได้มีความหมายว่า ประชาชนลงมติอย่างท่วมท้นให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งอยู่เหนือกฎหมาย ความนิยมชมชื่นนักการเมืองก็มีขึ้นมีลงอย่างรวดเร็วเหมือนกับดาราหรือนักร้อง เราจึงไม่สามารถอาศัยแต่บรรทัดฐานที่ไม่มั่นคงแน่นอนนี้ ในการออกคำพิพากษา
ยิ่งคิดถึงประโยชน์สุขในระยะยาวของสังคมโดยรวมแล้ว การใช้คะแนนนิยมซึ่งวูบวาบ, จัดตั้งได้, และไม่มีความหมายที่แน่ชัดเป็นบรรทัดฐาน จะกลายเป็นการตั้งบรรทัดฐานใหม่ให้แก่สังคม นั่นก็คือถ้าใครสามารถได้คะแนนเลือกตั้งมากๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเคารพกฎหมาย นั่นยิ่งเป็นอันตรายต่อความสงบสุขของสังคมเสียยิ่งกว่าการก่อจลาจลของฝูงชน (ม็อบขนานแท้และดั้งเดิมเลย)
ถ้าอ้างหลักรัฐศาสตร์ในการพิจารณาคดี รัฐศาสตร์ก็มีความหมายแต่เพียงภาพที่คนสายตาสั้นมองเห็นเท่านั้น
เช่นเดียวกับการตัดสินว่า หนังสือแสดงเจตจำนงที่ไทยต้องส่งให้ไอเอ็มเอฟไม่ใช่สนธิสัญญา จึงไม่ต้องผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภา ก็ไม่ได้เอื้อต่อความสงบสุขและศักยภาพของสังคมแต่อย่างใด ไม่เข้าเกณฑ์ทั้งหลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์
ตุลาการของโลกปัจจุบันควรเข้าใจว่า สัญญาที่ผูกมัดประเทศชาติให้ต้องทำหรือต้องไม่ทำอะไรในภายหน้านั้น อาจอยู่ได้ในหลายรูปแบบ การที่กฎหมายกำหนดให้รัฐสภาต้องอนุมัติสนธิสัญญาย่อมมีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า ประชาชนมีสิทธิตัดสินอนาคตของตนเองโดยผ่านผู้แทนของตนในสภา ถ้าถือเอาความหมายแบบอักษรศาสตร์ของกฎหมายเพียงอย่างเดียว สิทธิพื้นฐานอันนี้ของประชาชนย่อมถูกริบไปโดยปริยาย เพราะโลกปัจจุบันและอนาคตจะสัมพันธ์กันด้วยกลไกอื่นๆ มากกว่าสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
สังคมที่ประชาชนไม่มีสิทธิตัดสินอนาคตของตน จะเป็นสังคมที่เกิดความสงบสุข และมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้อย่างไร
หลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์มิได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด จะพูดว่าเป็นเรื่องเดียวกันยังได้ เพราะต่างมุ่งประโยชน์สุขของสังคมทั้งในกาลปัจจุบันและอนาคตเป็นที่ตั้ง คำพิพากษาของศาล(ทุกประเภท) ย่อมเป็นบรรทัดฐานที่จะอำนวยเป้าประสงค์ดังกล่าว อคติสี่นั้นไม่มีหลักอะไรให้อ้างหรอกครับ เบี้ยวคือเบี้ยว ไม่มีเบี้ยวตามหลักโน้นหลักนี้หรอกครับ
ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้หลักรัฐศาสตร์ให้มากก็ได้ แต่รัฐศาสตร์ที่แท้จริงไม่ได้ยืนอยู่ได้โดยปราศจากหลักนิติศาสตร์ เช่นเดียวกับนิติศาสตร์ก็ไม่สามารถยืนอยู่ได้โดยปราศจากหลักรัฐศาสตร์ สำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญซึ่งรัฐธรรมนูญมอบอำนาจไว้ให้นั้น ต้องเข้าใจหลักทั้งสองอย่างถูกต้องเท่านั้น
๒.โลกของนักกฎหมาย
ผมนึกบอกตัวเองเสมอว่าโชคดีที่ไม่ได้เรียนกฎหมาย เพราะโลกของนักกฎหมายเป็นโลกที่ผมไม่มีวันเข้าถึง เราใช้ตรรกะกันคนละชุด พลังงานที่ขับเคลื่อนให้โลกอันสงบสุขหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามวิถีของมันก็เป็นพลังงานคนละตัว
เมื่อไม่นานมานี้ นักกฎหมายคิดจะออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการประชุม ครม. โดยกำหนดองค์ประชุมของ ครม.ว่าต้องมีเท่าไร และในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนมีรัฐมนตรีร่วมประชุมกับนายกฯคนเดียว ก็นับเป็นองค์ประชุมได้แล้ว เหตุผลที่ท่านยกขึ้นมาสนับสนุนมาตรการนี้ก็คือ ท่านบอกว่าเพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดองค์ประชุมเอาไว้
ผมนึกในใจว่า การที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดเอาไว้ก็แสดงอยู่แล้วว่าไม่ต้องกำหนดล่ะสิครับ เพราะอะไรหรือ ก็เพราะถึงไม่กำหนด การบริหารจัดการรัฐก็ยังดำเนินไปได้เป็นปกติดี ซ้ำยังเปิดช่องให้พลิกผันไปตามสถานการณ์ได้ตามความจำเป็นอีกด้วย
นักกฎหมายยังชี้ให้เห็นกรณีตัวอย่างในอดีตว่า เคยมีการประชุม ครม.สองคน แล้วผ่านมติออกมาเป็นมติ ครม.มาแล้ว เช่น กรณีเมษาฮาวาย และกรณีนายกรัฐมนตรีออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเองก่อนอำลาตำแหน่ง เป็นต้น ในโลกที่ใช้ตรรกะชุดเดียวกับผม กรณีที่ยกเป็นตัวอย่างทั้งสองยิ่งชี้ให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องมีกฤษฎีกากำหนดองค์ประชุมของ ครม.ต่างหาก ก็เพราะไม่มีจึงทำได้ไงครับ
ผมเข้าใจเสมอมาว่า กฎหมาย (ที่เป็นทางการ) คือกติกาสำหรับสังคมในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกัน (ฉะนั้นกฎหมายจึงต้องว่าด้วยอำนาจ, ว่าด้วยภาระหน้าที่, และว่าด้วยสิทธิ) แต่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ไหนในโลก ที่ถูกกำกับด้วยกฎหมายเพียงอย่างเดียว ยังมีวัฒนธรรมประเพณี, ศีลธรรม, แรงกดดันของสังคม, สำนึกในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ฯลฯ อีกร้อยแปดอย่างที่คอยกำกับพฤติกรรมของมนุษย์อยู่
กฎหมายเสียอีก กลับมีกำลังในการกำกับน้อยกว่าอะไรอื่นๆ เหล่านั้น เช่นคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่ลักขโมย ไม่ใช่เพราะเกรงว่าผิดกฎหมาย แต่เห็นว่าผิดศีลธรรม ผิดความนับถือตัวเอง หรือผิดคำสั่งสอนของพ่อแม่ เป็นต้น
สังคมใดที่ไม่มีอะไรอื่นกำกับเลย นอกจากกฎหมายเพียงอย่างเดียว สังคมนั้นต้องออกกฎหมายห้ามฉี่ในลิฟต์อย่างสิงคโปร์ (ซึ่งนักการเมืองและสื่อชอบวางเป็นเป้าหมายของการพัฒนาสังคมไทย)
แต่ในโลกของนักกฎหมาย การไม่มีกฎหมายใดกำกับอยู่เลย ผู้คนก็อาจเอาโอกาสนั้นไปใช้ในทางเสียหาย เช่นในกรณีองค์ประชุมของ ครม. นายกฯอาจใช้โอกาสนี้เรียกประชุมกับรัฐมนตรีคนเดียว แล้วผ่านมติ ครม.พิกลพิการออกมา โลกอย่างนี้ผมเข้าไม่ถึง เพราะในโลกของผมนั้น อย่างที่บอกแล้วว่าถึงไม่มีกฎหมายกำกับ ก็ยังมีอะไรอื่นคอยกำกับพฤติกรรมอยู่ดี
แม้ไม่ได้ศรัทธาท่านนายกฯคนปัจจุบัน ผมก็ยังไม่เชื่อว่าท่านจะทำอย่างนั้นได้อยู่ดี เพราะในฐานะบุคคลสาธารณะท่านย่อมต้องแสวงหาความชอบธรรมจากการกระทำของท่านด้วย และความชอบธรรมในโลกนี้ไม่ได้เกิดจากกฎหมายเพียงอย่างเดียว มติ ครม.ที่ฉ้อฉลพิกลพิการย่อมทำลายความชอบธรรมของตัวท่าน
มติ ครม.ในกรณีเมษาฮาวาย คนส่วนใหญ่คงเห็นว่ามีความชอบธรรม ในท่ามกลางสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนั้น ก็สมควรแล้วที่จะต้องออกมติ ครม.ด้วยองค์ประชุมเล็กกระจิ๋วหลิวเช่นนั้น ตรงกันข้ามกับมติ ครม.ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมตัวเอง ผมยังได้ยินคนก่นด่ามาจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่ทราบว่ามีผลมากน้อยเพียงไรต่อความนับถือที่บางคนเคยมีต่อนักกฎหมายที่ร่วมกันเสนอมตินี้ไปสู่ ครม.ด้วยลายเซ็น
สังคมทุกสังคมย่อมมีมาตรฐานของตัวเอง ไม่ว่าจะมีกฎหมายรองรับมาตรฐานนั้นหรือไม่ แล้วเราจะไม่ปล่อยให้มาตรฐานเหล่านั้นทำงานของมันโดยไม่ต้องมีกฎหมายรองรับบ้างหรือ
ตรงกันข้าม สิ่งที่กฎหมายบัญญัติไว้ยิ่งกลับนำไปสู่ความไม่ชอบธรรมได้ง่าย ถ้าเนติบริกรที่แวดล้อมผู้มีอำนาจ เพียงแต่เปิดกฎหมายดูว่า อะไรที่กฎหมายไม่ได้ห้าม ก็ทำได้เลย โดยไม่ต้องเหลียวไปดูมาตรฐานความชอบธรรมซึ่งมาจากอะไรอื่นอีกมากกว่ากฎหมาย ก็อย่างที่พูดแหละครับ กฎหมายอย่างเดียวรองรับความชอบธรรมไม่ได้ ซ้ำตรงกันข้ามด้วย ถ้ามีกฎหมายเพียงอย่างเดียวเสียอีก ที่ความชอบธรรมจะไม่เหลืออีกเลย
อย่างพระราชกฤษฎีกาที่ว่านี่แหละครับ ทำให้ผ่านมติ ครม.ด้วยองค์ประชุมกระจิ๋วหลิวได้ง่ายกว่าไม่มีกฎหมายรองรับเสียอีก เพราะเมื่อไม่มีกฎหมาย ก็ยิ่งต้องคิดหนักมากขึ้นว่าจะผ่านมติ ครม.ที่ไม่ชอบธรรมได้อย่างไร
โลกของนักกฎหมายดำเนินไปเพราะกฎหมายเปิดช่องให้ทำได้ ถ้าไม่มีกฎหมายโลกของเขาอาจหยุดหมุน ผิดหรือถูกมีความหมายแต่เพียงจะตีความจักเส้นผมบัญญัติของกฎหมายกันอย่างไร เพราะผิดหรือถูกที่ไม่มีกฎหมายรองรับนั้นไม่มีในโลกของนักกฎหมาย
ผมคิดว่ากรณีสติ๊กเกอร์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เฉพาะในโลกของนักกฎหมายเท่านั้น ไม่มีสาระในโลกที่มนุษย์คนอื่นมีชีวิตอยู่ตามปกติธรรมดา ผมไม่ทราบหรอกว่าใครเป็นคนทำสติ๊กเกอร์ หรือใครเป็นคนไม่ได้ทำสติ๊กเกอร์ เพียงแต่ความรู้อันจำกัดของผมเกี่ยวกับกฎหมายทำให้เชื่อว่า การอ้างพระราชดำรัสไม่เป็นความผิดทางกฎหมาย ยกเว้นแต่อ้างในบริบทที่เจตนาจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่องค์พระมหากษัตริย์
ประเด็นปัญหาก็คือ การอ้างพระราชดำรัสในการโจมตีคู่ต่อสู้ทางการเมือง ในบรรยากาศการแข่งขันของการเลือกตั้ง มีเจตนาจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่องค์พระมหากษัตริย์หรือไม่
ผมคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียได้อย่างไร การยกพระราชดำรัสก็แสดงอยู่แล้วว่าให้ความสำคัญแก่พระราชดำรัส แม้มีเจตนาจะทำให้ความนิยมของคู่แข่งทางการเมืองเสียหาย ก็ไม่ใช่การหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์แต่อย่างใด
แม้ไม่ผิดกฎหมาย แต่คำถามที่สำคัญกว่าก็คือสมควรกระทำหรือไม่ เพราะถ้าสติ๊กเกอร์นั้นทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าองค์พระมหากษัตริย์ไม่โปรดคู่แข่งทางการเมือง ก็ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันทางการเมือง บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นนี้ไม่มีใครรับได้สักฝ่ายเดียว
คนที่อยากเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องถามว่า ทำเช่นนี้แล้วจะดีแก่ระบอบประชาธิปไตยหรือ? เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเนปาลเวลานี้ น่าจะชี้ให้เห็นได้อยู่แล้ว
คนที่อยากเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ก็ต้องถามว่า ทำเช่นนี้แล้วจะดีแก่สถาบันพระมหากษัตริย์หรือ? เพราะยิ่งอยู่เหนือขึ้นไปมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องอิงอาศัยฐานความชอบธรรมที่สังคมยอมรับมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าไม่อาศัยแต่กฎหมายเป็นมาตรฐานเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าฝ่ายกระทำ หรือฝ่ายที่ชิงความได้เปรียบทางการเมืองจากการกระทำนั้น ล้วนทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมทั้งสิ้น ผิดแน่ๆ แต่ไม่ใช่ผิดกฎหมาย หากผิดความชอบธรรมทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแน่นอน
(ขอนอกเรื่องตรงนี้ด้วยว่า ผมไม่ได้ใช้ราชาศัพท์ผิด เพราะพระมหากษัตริย์ในที่นี้หมายถึงสถาบัน ไม่ใช่องค์พระมหากษัตริย์ จึงไม่ต้อง "ทรง" เป็น ส่วนประมุขนั้นหมายถึงประมุขของประเทศไทยซึ่งไม่ใช่เจ้า จึงไม่ควรใช้ "พระ" ประมุข… นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ทางภาษาตามวิธีคิดในโลกของนักกฎหมาย ทั้งๆ ที่ภาษาทุกภาษาในโลกย่อมเป็นไปตามปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่างนอกจากกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์และหลักภาษา)
นี่แหละครับ ผมถึงนึกว่าโชคดีที่ไม่ได้เรียนกฎหมาย ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงยังไม่จบปริญญาตรี
REF : http://www.combiolaw.de/article/75/ 05/07/2010
Author : นิธิ เอียวศรีวงศ์
Quelle : มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
Category : บทความกฎหมาย
Publisher : BioLawCom
บทความกฎหมาย
หมายเหตุ: บางส่วน (เฉพาะนิติศาสตร์) จากรวมบทความทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และวัฒนธรรม มติชนรายวันและมติชนสุดสัปดาห์ ระหว่างกลางเดือนเมษายน - กลางเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๘ เผยแพร่บนเว็ปไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
๑.หลักรัฐศาสตร์และหลักนิติศาสตร์
ฟังดูเหมือนเรื่องตลก แต่เป็นเรื่องจริงครับ ประธานศาลรัฐธรรมนูญให้สัมภาษณ์ในโอกาสฉลองครบรอบ 7 ปีของศาลรัฐธรรมนูญว่า ต่อแต่นี้ไป ศาลรัฐธรรมนูญจะคำนึงถึงหลักรัฐศาสตร์ให้มากขึ้น ควบคู่กันไปกับหลักนิติศาสตร์
ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่คงนึกว่าท่านประธาน น่าจะพูดกลับกันเสียล่ะมากกว่า ในฐานะคนที่ไม่เคยเรียนทั้งรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ผมอยากจะออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผิดถูกก็ช่างหัวมัน เพราะอย่างน้อยก็เป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้าน "ทรราชย์ของผู้เชี่ยวชาญ" ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้สถาปนาขึ้น
ในประเทศไทย คำว่าหลักรัฐศาสตร์เมื่อเอามาใช้ในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติเอาไว้ แปลว่าไม่ทำตามกฎหมาย เท่านั้นเอง และในทางตรงกันข้าม หลักนิติศาสตร์แปลว่าทำตามบัญญัติของกฎหมายอย่างเคร่งครัด พูดอย่างนี้คนที่ชอบอ้างหลักรัฐศาสตร์ ก็อาจเห็นว่าผมไม่อธิบายบริบทของการไม่ทำตามกฎหมาย ซึ่งย่อมไม่เป็นธรรมแก่ท่านเหล่านั้น
ที่จริงแล้วผู้อ้างหลักรัฐศาสตร์หรือไม่ทำตามกฎหมายเห็นว่า ในกรณีนั้นๆ หากทำตามกฎหมายแล้ว อาจเกิดปัญหาทางการเมือง, การบริหาร, หรือการวางนโยบายต่างประเทศ ฉะนั้นจึงเห็นว่าจำเป็นต้องเบี้ยวกฎหมาย เพื่อทำให้เกิดความราบรื่นทางการเมือง, การบริหาร หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แม้การไม่ทำตามบัญญัติของกฎหมาย ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่มุ่งประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ก็ยังมีปัญหาที่ในทรรศนะของผมหนักหนาสากรรจ์อยู่สองอย่างตามมา
ประการแรกก็คือ ใครเป็นคนวินิจฉัยล่ะครับว่า ในกรณีนั้นๆ หากทำตามกฎหมายแล้วจะก่อให้เกิดความไม่ราบรื่นทางการเมือง, การบริหาร หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ใช่ประชาชนนะครับ เพราะไม่มีการทำประชามติ (อีกทั้งหากถือว่ากฎหมายทุกฉบับมาจากตัวแทนของประชาชนตามกระบวนการนิติบัญญัติของ
ระบอบประชาธิปไตย… ถ้าอย่างนั้นประชาชนได้แสดงมติของตนไว้ในกฎหมายแล้ว) ไม่ใช่การโยนกลับไปให้ฝ่ายนิติบัญญัติตีความใหม่ให้ชัด ไม่ใช่แม้แต่การโยนหัวโยนก้อย (ซึ่งก็คือยกให้พระเจ้าช่วยตัดสินให้) แต่คนที่วินิจฉัยนั้นก็คือ คนที่ถือกฎหมายไว้ในมือนั้นเอง (ตุลาการหรือฝ่ายบริหารที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายก็ตาม)
คนเหล่านี้แหละครับที่อ้างตัวเอง โดยได้รับคำรับรองอย่างแข็งขันจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันว่า คือผู้เชี่ยวชาญทางรัฐศาสตร์หรือนิติศาสตร์ และความเชี่ยวชาญของเขานี่แหละที่เป็นหลักประกันว่า การจะเลือกทำตามกฎหมายหรือไม่ทำตามกฎหมาย (หลักรัฐศาสตร์และหลักนิติศาสตร์) ย่อมดีแก่ส่วนรวมเสมอ
ถ้าอย่างนั้นทำไมเราต้องมีกฎหมาย ในเมื่อความเชี่ยวชาญจะเลือกใช้หรือไม่ใช้กฎหมายได้ตามใจชอบเช่นนี้
ปัญหาประการที่สองก็คือ อคติประจำวิชากฎหมายในประเทศไทย ก็คือปลูกฝังให้ผู้ใช้กฎหมายพิทักษ์ปกป้องรัฐเหนือสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ (ดังจะเห็นตัวอย่างคำพิพากษาของศาลได้มากมาย แต่จะขอยกตัวอย่างจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคนพิการเรียกร้องสิทธิการสอบเป็นอัยการเพียงกรณีเดียว) ถ้าหลักรัฐศาสตร์มีความหมายแต่เพียงการรักษาความราบรื่นทางการเมือง, การบริหาร และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คนที่ถือกฎหมายไว้ในมือย่อมเลือกจะใช้หลักรัฐศาสตร์เหนือนิติศาสตร์อยู่เสมอ เพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจอันไร้ขีดจำกัดของรัฐเอาไว้
ถ้าอย่างนั้น ทำไมเราต้องมีรัฐธรรมนูญ ในเมื่อถึงอย่างไร กฎหมายก็จะถูกอ่านเพื่อผดุงอำนาจรัฐไว้เหนือการตรวจสอบถ่วงดุลอยู่ตลอดไป
อันที่จริงการคำนึงถึงความสงบสุขของสังคมโดยรวม มิได้ขัดแย้งกับหลักนิติศาสตร์แต่อย่างใด กฎหมายทุกฉบับย่อมมีขึ้นเพี่อเป้าหมายปลายทางเดียวกัน คือความสงบสุขของสังคมโดยรวม แม้แต่กฎหมายแพ่งที่อำนวยความเป็นธรรมแก่บุคคล ก็มีหลักการว่า ความเป็นธรรมที่บุคคลได้รับหลักประกันนั่นแหละ ทำให้เกิดความสงบสุขในสังคม เป้าหมายสำคัญของกฎหมายมหาชนก็คือ ความสงบสุขของสังคมโดยรวม (อันที่จริงพูดอย่างนี้ได้กับทุกศาสตร์ในโลก)
ยิ่งกว่านี้ นักนิติศาสตร์(ที่ดี) ยังคำนึงไปไกลกว่าความสงบสุขของสังคมด้วยซ้ำ นั่นก็คือความสงบสุขไม่ได้หมายถึงสถานะเดิมหรือสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้นแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ละสังคมย่อมมีศักยภาพที่จะพัฒนาไปสู่ความสงบสุข และความรุ่งเรืองได้มากกว่าสถานะเดิม ฉะนั้นจึงต้องอ่านและใช้กฎหมายโดยคำนึงถึงประโยชน์สุขของสังคมในระยะยาวอีกด้วย
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หลักนิติศาสตร์ต้องคำนึงถึงทั้งความสงบสุขของสังคม ควบคู่กันไปกับศักยภาพของสังคมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าด้วย ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรแตกต่างกันระหว่างหลักนิติศาสตร์กับหลัก
รัฐศาสตร์
เพื่อให้เห็นทั้งสองประเด็นนี้ได้ชัด จะขอยกตัวอย่างให้เห็นเป็นบางคดี
สมมุติว่า นักการเมืองซึ่งตุลาการได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานแล้วว่า กระทำผิดกฎหมาย แต่นักการเมืองผู้นั้นได้รับเลือกตั้งจากประชาชนมาอย่างท่วมท้น ตุลาการจึงเกรงว่าหากตัดสินไปตามบัญญัติของกฎหมาย อาจทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วงจนขั้นก่อจลาจลได้ ตุลาการจึงตัดสินใจพิพากษาให้ยกคำร้องของฝ่ายที่ฟ้องนักการเมืองนั้นเสีย
ถามว่า นี่เป็นการใช้หลักรัฐศาสตร์แทนนิติศาสตร์ใช่หรือไม่ ผมคิดว่าไม่ใช่ ซ้ำยังเป็นการละเมิดหลักนิติศาสตร์อย่างน่าละอายด้วย เพราะตุลาการในสังคมปัจจุบัน ควรรู้ว่าคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งไม่ได้มีความหมายว่า ประชาชนลงมติอย่างท่วมท้นให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งอยู่เหนือกฎหมาย ความนิยมชมชื่นนักการเมืองก็มีขึ้นมีลงอย่างรวดเร็วเหมือนกับดาราหรือนักร้อง เราจึงไม่สามารถอาศัยแต่บรรทัดฐานที่ไม่มั่นคงแน่นอนนี้ ในการออกคำพิพากษา
ยิ่งคิดถึงประโยชน์สุขในระยะยาวของสังคมโดยรวมแล้ว การใช้คะแนนนิยมซึ่งวูบวาบ, จัดตั้งได้, และไม่มีความหมายที่แน่ชัดเป็นบรรทัดฐาน จะกลายเป็นการตั้งบรรทัดฐานใหม่ให้แก่สังคม นั่นก็คือถ้าใครสามารถได้คะแนนเลือกตั้งมากๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเคารพกฎหมาย นั่นยิ่งเป็นอันตรายต่อความสงบสุขของสังคมเสียยิ่งกว่าการก่อจลาจลของฝูงชน (ม็อบขนานแท้และดั้งเดิมเลย)
ถ้าอ้างหลักรัฐศาสตร์ในการพิจารณาคดี รัฐศาสตร์ก็มีความหมายแต่เพียงภาพที่คนสายตาสั้นมองเห็นเท่านั้น
เช่นเดียวกับการตัดสินว่า หนังสือแสดงเจตจำนงที่ไทยต้องส่งให้ไอเอ็มเอฟไม่ใช่สนธิสัญญา จึงไม่ต้องผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภา ก็ไม่ได้เอื้อต่อความสงบสุขและศักยภาพของสังคมแต่อย่างใด ไม่เข้าเกณฑ์ทั้งหลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์
ตุลาการของโลกปัจจุบันควรเข้าใจว่า สัญญาที่ผูกมัดประเทศชาติให้ต้องทำหรือต้องไม่ทำอะไรในภายหน้านั้น อาจอยู่ได้ในหลายรูปแบบ การที่กฎหมายกำหนดให้รัฐสภาต้องอนุมัติสนธิสัญญาย่อมมีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า ประชาชนมีสิทธิตัดสินอนาคตของตนเองโดยผ่านผู้แทนของตนในสภา ถ้าถือเอาความหมายแบบอักษรศาสตร์ของกฎหมายเพียงอย่างเดียว สิทธิพื้นฐานอันนี้ของประชาชนย่อมถูกริบไปโดยปริยาย เพราะโลกปัจจุบันและอนาคตจะสัมพันธ์กันด้วยกลไกอื่นๆ มากกว่าสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
สังคมที่ประชาชนไม่มีสิทธิตัดสินอนาคตของตน จะเป็นสังคมที่เกิดความสงบสุข และมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้อย่างไร
หลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์มิได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด จะพูดว่าเป็นเรื่องเดียวกันยังได้ เพราะต่างมุ่งประโยชน์สุขของสังคมทั้งในกาลปัจจุบันและอนาคตเป็นที่ตั้ง คำพิพากษาของศาล(ทุกประเภท) ย่อมเป็นบรรทัดฐานที่จะอำนวยเป้าประสงค์ดังกล่าว อคติสี่นั้นไม่มีหลักอะไรให้อ้างหรอกครับ เบี้ยวคือเบี้ยว ไม่มีเบี้ยวตามหลักโน้นหลักนี้หรอกครับ
ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้หลักรัฐศาสตร์ให้มากก็ได้ แต่รัฐศาสตร์ที่แท้จริงไม่ได้ยืนอยู่ได้โดยปราศจากหลักนิติศาสตร์ เช่นเดียวกับนิติศาสตร์ก็ไม่สามารถยืนอยู่ได้โดยปราศจากหลักรัฐศาสตร์ สำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญซึ่งรัฐธรรมนูญมอบอำนาจไว้ให้นั้น ต้องเข้าใจหลักทั้งสองอย่างถูกต้องเท่านั้น
๒.โลกของนักกฎหมาย
ผมนึกบอกตัวเองเสมอว่าโชคดีที่ไม่ได้เรียนกฎหมาย เพราะโลกของนักกฎหมายเป็นโลกที่ผมไม่มีวันเข้าถึง เราใช้ตรรกะกันคนละชุด พลังงานที่ขับเคลื่อนให้โลกอันสงบสุขหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามวิถีของมันก็เป็นพลังงานคนละตัว
เมื่อไม่นานมานี้ นักกฎหมายคิดจะออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการประชุม ครม. โดยกำหนดองค์ประชุมของ ครม.ว่าต้องมีเท่าไร และในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนมีรัฐมนตรีร่วมประชุมกับนายกฯคนเดียว ก็นับเป็นองค์ประชุมได้แล้ว เหตุผลที่ท่านยกขึ้นมาสนับสนุนมาตรการนี้ก็คือ ท่านบอกว่าเพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดองค์ประชุมเอาไว้
ผมนึกในใจว่า การที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดเอาไว้ก็แสดงอยู่แล้วว่าไม่ต้องกำหนดล่ะสิครับ เพราะอะไรหรือ ก็เพราะถึงไม่กำหนด การบริหารจัดการรัฐก็ยังดำเนินไปได้เป็นปกติดี ซ้ำยังเปิดช่องให้พลิกผันไปตามสถานการณ์ได้ตามความจำเป็นอีกด้วย
นักกฎหมายยังชี้ให้เห็นกรณีตัวอย่างในอดีตว่า เคยมีการประชุม ครม.สองคน แล้วผ่านมติออกมาเป็นมติ ครม.มาแล้ว เช่น กรณีเมษาฮาวาย และกรณีนายกรัฐมนตรีออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเองก่อนอำลาตำแหน่ง เป็นต้น ในโลกที่ใช้ตรรกะชุดเดียวกับผม กรณีที่ยกเป็นตัวอย่างทั้งสองยิ่งชี้ให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องมีกฤษฎีกากำหนดองค์ประชุมของ ครม.ต่างหาก ก็เพราะไม่มีจึงทำได้ไงครับ
ผมเข้าใจเสมอมาว่า กฎหมาย (ที่เป็นทางการ) คือกติกาสำหรับสังคมในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกัน (ฉะนั้นกฎหมายจึงต้องว่าด้วยอำนาจ, ว่าด้วยภาระหน้าที่, และว่าด้วยสิทธิ) แต่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ไหนในโลก ที่ถูกกำกับด้วยกฎหมายเพียงอย่างเดียว ยังมีวัฒนธรรมประเพณี, ศีลธรรม, แรงกดดันของสังคม, สำนึกในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ฯลฯ อีกร้อยแปดอย่างที่คอยกำกับพฤติกรรมของมนุษย์อยู่
กฎหมายเสียอีก กลับมีกำลังในการกำกับน้อยกว่าอะไรอื่นๆ เหล่านั้น เช่นคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่ลักขโมย ไม่ใช่เพราะเกรงว่าผิดกฎหมาย แต่เห็นว่าผิดศีลธรรม ผิดความนับถือตัวเอง หรือผิดคำสั่งสอนของพ่อแม่ เป็นต้น
สังคมใดที่ไม่มีอะไรอื่นกำกับเลย นอกจากกฎหมายเพียงอย่างเดียว สังคมนั้นต้องออกกฎหมายห้ามฉี่ในลิฟต์อย่างสิงคโปร์ (ซึ่งนักการเมืองและสื่อชอบวางเป็นเป้าหมายของการพัฒนาสังคมไทย)
แต่ในโลกของนักกฎหมาย การไม่มีกฎหมายใดกำกับอยู่เลย ผู้คนก็อาจเอาโอกาสนั้นไปใช้ในทางเสียหาย เช่นในกรณีองค์ประชุมของ ครม. นายกฯอาจใช้โอกาสนี้เรียกประชุมกับรัฐมนตรีคนเดียว แล้วผ่านมติ ครม.พิกลพิการออกมา โลกอย่างนี้ผมเข้าไม่ถึง เพราะในโลกของผมนั้น อย่างที่บอกแล้วว่าถึงไม่มีกฎหมายกำกับ ก็ยังมีอะไรอื่นคอยกำกับพฤติกรรมอยู่ดี
แม้ไม่ได้ศรัทธาท่านนายกฯคนปัจจุบัน ผมก็ยังไม่เชื่อว่าท่านจะทำอย่างนั้นได้อยู่ดี เพราะในฐานะบุคคลสาธารณะท่านย่อมต้องแสวงหาความชอบธรรมจากการกระทำของท่านด้วย และความชอบธรรมในโลกนี้ไม่ได้เกิดจากกฎหมายเพียงอย่างเดียว มติ ครม.ที่ฉ้อฉลพิกลพิการย่อมทำลายความชอบธรรมของตัวท่าน
มติ ครม.ในกรณีเมษาฮาวาย คนส่วนใหญ่คงเห็นว่ามีความชอบธรรม ในท่ามกลางสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนั้น ก็สมควรแล้วที่จะต้องออกมติ ครม.ด้วยองค์ประชุมเล็กกระจิ๋วหลิวเช่นนั้น ตรงกันข้ามกับมติ ครม.ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมตัวเอง ผมยังได้ยินคนก่นด่ามาจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่ทราบว่ามีผลมากน้อยเพียงไรต่อความนับถือที่บางคนเคยมีต่อนักกฎหมายที่ร่วมกันเสนอมตินี้ไปสู่ ครม.ด้วยลายเซ็น
สังคมทุกสังคมย่อมมีมาตรฐานของตัวเอง ไม่ว่าจะมีกฎหมายรองรับมาตรฐานนั้นหรือไม่ แล้วเราจะไม่ปล่อยให้มาตรฐานเหล่านั้นทำงานของมันโดยไม่ต้องมีกฎหมายรองรับบ้างหรือ
ตรงกันข้าม สิ่งที่กฎหมายบัญญัติไว้ยิ่งกลับนำไปสู่ความไม่ชอบธรรมได้ง่าย ถ้าเนติบริกรที่แวดล้อมผู้มีอำนาจ เพียงแต่เปิดกฎหมายดูว่า อะไรที่กฎหมายไม่ได้ห้าม ก็ทำได้เลย โดยไม่ต้องเหลียวไปดูมาตรฐานความชอบธรรมซึ่งมาจากอะไรอื่นอีกมากกว่ากฎหมาย ก็อย่างที่พูดแหละครับ กฎหมายอย่างเดียวรองรับความชอบธรรมไม่ได้ ซ้ำตรงกันข้ามด้วย ถ้ามีกฎหมายเพียงอย่างเดียวเสียอีก ที่ความชอบธรรมจะไม่เหลืออีกเลย
อย่างพระราชกฤษฎีกาที่ว่านี่แหละครับ ทำให้ผ่านมติ ครม.ด้วยองค์ประชุมกระจิ๋วหลิวได้ง่ายกว่าไม่มีกฎหมายรองรับเสียอีก เพราะเมื่อไม่มีกฎหมาย ก็ยิ่งต้องคิดหนักมากขึ้นว่าจะผ่านมติ ครม.ที่ไม่ชอบธรรมได้อย่างไร
โลกของนักกฎหมายดำเนินไปเพราะกฎหมายเปิดช่องให้ทำได้ ถ้าไม่มีกฎหมายโลกของเขาอาจหยุดหมุน ผิดหรือถูกมีความหมายแต่เพียงจะตีความจักเส้นผมบัญญัติของกฎหมายกันอย่างไร เพราะผิดหรือถูกที่ไม่มีกฎหมายรองรับนั้นไม่มีในโลกของนักกฎหมาย
ผมคิดว่ากรณีสติ๊กเกอร์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เฉพาะในโลกของนักกฎหมายเท่านั้น ไม่มีสาระในโลกที่มนุษย์คนอื่นมีชีวิตอยู่ตามปกติธรรมดา ผมไม่ทราบหรอกว่าใครเป็นคนทำสติ๊กเกอร์ หรือใครเป็นคนไม่ได้ทำสติ๊กเกอร์ เพียงแต่ความรู้อันจำกัดของผมเกี่ยวกับกฎหมายทำให้เชื่อว่า การอ้างพระราชดำรัสไม่เป็นความผิดทางกฎหมาย ยกเว้นแต่อ้างในบริบทที่เจตนาจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่องค์พระมหากษัตริย์
ประเด็นปัญหาก็คือ การอ้างพระราชดำรัสในการโจมตีคู่ต่อสู้ทางการเมือง ในบรรยากาศการแข่งขันของการเลือกตั้ง มีเจตนาจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่องค์พระมหากษัตริย์หรือไม่
ผมคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียได้อย่างไร การยกพระราชดำรัสก็แสดงอยู่แล้วว่าให้ความสำคัญแก่พระราชดำรัส แม้มีเจตนาจะทำให้ความนิยมของคู่แข่งทางการเมืองเสียหาย ก็ไม่ใช่การหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์แต่อย่างใด
แม้ไม่ผิดกฎหมาย แต่คำถามที่สำคัญกว่าก็คือสมควรกระทำหรือไม่ เพราะถ้าสติ๊กเกอร์นั้นทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าองค์พระมหากษัตริย์ไม่โปรดคู่แข่งทางการเมือง ก็ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันทางการเมือง บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นนี้ไม่มีใครรับได้สักฝ่ายเดียว
คนที่อยากเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องถามว่า ทำเช่นนี้แล้วจะดีแก่ระบอบประชาธิปไตยหรือ? เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเนปาลเวลานี้ น่าจะชี้ให้เห็นได้อยู่แล้ว
คนที่อยากเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ก็ต้องถามว่า ทำเช่นนี้แล้วจะดีแก่สถาบันพระมหากษัตริย์หรือ? เพราะยิ่งอยู่เหนือขึ้นไปมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องอิงอาศัยฐานความชอบธรรมที่สังคมยอมรับมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าไม่อาศัยแต่กฎหมายเป็นมาตรฐานเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าฝ่ายกระทำ หรือฝ่ายที่ชิงความได้เปรียบทางการเมืองจากการกระทำนั้น ล้วนทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมทั้งสิ้น ผิดแน่ๆ แต่ไม่ใช่ผิดกฎหมาย หากผิดความชอบธรรมทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแน่นอน
(ขอนอกเรื่องตรงนี้ด้วยว่า ผมไม่ได้ใช้ราชาศัพท์ผิด เพราะพระมหากษัตริย์ในที่นี้หมายถึงสถาบัน ไม่ใช่องค์พระมหากษัตริย์ จึงไม่ต้อง "ทรง" เป็น ส่วนประมุขนั้นหมายถึงประมุขของประเทศไทยซึ่งไม่ใช่เจ้า จึงไม่ควรใช้ "พระ" ประมุข… นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ทางภาษาตามวิธีคิดในโลกของนักกฎหมาย ทั้งๆ ที่ภาษาทุกภาษาในโลกย่อมเป็นไปตามปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่างนอกจากกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์และหลักภาษา)
นี่แหละครับ ผมถึงนึกว่าโชคดีที่ไม่ได้เรียนกฎหมาย ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงยังไม่จบปริญญาตรี
REF : http://www.combiolaw.de/article/75/ 05/07/2010
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)